การล้างรถถือเป็นขั้นตอนในการดูแลรักษารถที่ เป็นการทำให้รถดูสะอาดดูดีอยู่สม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังเป็นการถนอมสีรถไปด้วยเช่นกัน แต่การล้างรถนี้ถ้าหากล้างไม่ถูกวิธีก็อาจส่งผลอันตรายต่อรถยนต์ของเราได้ด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นเรามาอ่านขั้นตอนการล้างรถที่ถูกวิธีกันดีกว่าค่ะ ว่ามีวิธีการขั้นตอนอะไรบ้าง ขั้นตอนวิธีการล้างรถที่ถูกวิธี มีขั้นตอนอะไรบ้าง ฉีดน้ำล้างคราบสกปรก ขั้นตอนแรกจะเป็นการฉีดน้ำล้างคราบสกปรกออกก่อน ด้วยการฉีดน้ำจากบนหลังคาเพื่อให้คราบสกปรกไหลจากด้านบนลงมาด้านล่าง ใช้น้ำเย็นเพื่อเป็นการชะล้างคราบสกปรกฝังแน่นให้อ่อนตัวลง ผสมน้ำอุ่นกับน้ำยาล้างรถ ขั้นตอนที่สองผสมน้ำอุ่นกับน้ำยาล้างรถเข้าด้วยกันตามอัตราส่วนที่ฉลากสินค้านั้นๆ แนะนำ เนื่องจากน้ำยาล้างรถแต่ละยี่ห้อมีอัตราส่วนการผสมไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นต้องอ่านฉลากกันก่อนที่จะใช้งานนะคะ ล้างจากหลังคาลงด้านข้าง ขั้นตอนที่สามวิธีล้างรถที่ถูกต้อง ควรใช้ฟองน้ำทำความสะอาดจากด้านบนหลังคาไล่ลงมาด้านล่าง บริเวณขอบต่างๆ และกระจกรถให้ช้ผ้าสำลีเช็ดทำความสะอาดแทน เพราะฟองน้ำล้างรถอาจจะมีเม็ดทรายติดอยู่ในรูพรุนของฟองน้ำ อาจทำให้เกิดรอยสร้างความเสียหายให้กับรถยนต์ได้ค่ะ ใช้ฟองน้ำล้างแยกส่วน ขั้นตอนนี้เป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเสียหายต่อรถของคุณได้ เราจึงต้องควรแยกฟองน้ำล้างรถตามส่วนต่างๆ ของตัวรถ เช่น ฟองน้ำอันแรกใช้ทำความสะอาดหลังคารถ ฝากระโปรงหน้า ฝากระโปรงหลัง ผ้าสำลีใช้ทำความสะอาดกระจกรถและขอบต่าง ๆ ฟองน้ำอีกอันใช้ล้างล้อรถ และส่วนที่มีคราบสกปรกมากๆ ล้างน้ำเปล่าทันที เมื่อทำความสะอาดรถด้วยน้ำยาล้างรถเสร็จแล้ว ต้องล้างน้ำเปล่าทันที ก่อนที่จะไปล้างส่วนอื่นต่อและต้องทำแบบนี้กับทุกส่วนของรถ จากนั้นจึงค่อยล้างรถยนต์ด้วยน้ำเปล่าทั้งคันอีกครั้ง ใช้น้ำยาขจัดรอยเปื้อน หากล้างรถเสร็จเรียบร้อยแล้วยังพบคราบหรือรอยเปื้อน ให้ใช้น้ำยาขจัดรอยเปื้อนสำหรับรถโดยเฉพาะทำความสะอาดทันที หลังล้าง เช็ดรถให้แห้งทันที ขั้นตอนสุดท้าย เมื่อเราทำความสะอาดรถเสร็จครบทุกขั้นตอนแล้ว ควรใช้ผ้านุ่มๆ ที่ซับน้ำได้ดีหรือผ้าซามัวร์มาเช็ดรถ โดยเฉพาะกระจกหน้ารถ ด้านในฝากระโปรงด้านในบริเวณขอบประตู และด้านในฝาถังน้ำมัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดคราบน้ำ รวมทั้งฝุ่นที่จะมาเกาะกับพื้นผิวรถ ข้อห้ามสำคัญ ที่ห้ามทำขณะล้างรถ ข้อห้ามสำคัญในการล้างรถ นั่นก็คือ “ห้ามล้างรถกลางแดด” เนื่องจากจะทำให้น้ำแห้งเร็วจนเราเช็ดทำความสะอาดไม่ทัน แล้วอาจเกิดเป็นคราบน้ำเกาะบริเวณพื้นผิวรถยนต์ได้ และไม่ควรล้างในช่วงเย็นหรือกลางคืน เพราะหากเราเช็ดไม่แห้งสนิทก็อาจทำให้เกิดสนิมขึ้นในพื้นที่ที่ไม่แห้งได้ และข้อห้ามข้อสุดท้าย ไม่ควรใช้ผ้าชุปน้ำล้างรถ แทนฟองน้ำล้างรถ เพื่อป้องกันเศษฝุ่นหรือเม็ดทรายที่ติดผ้าจะทำให้เกิดรอยขีดข่วนกับตัวรถได้ นอกจากนี้ไม่แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์อื่น เช่น น้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก มาใช้แทนน้ำยาล้างรถ เนื่องจากจะเป็นการทำลายให้สีรถหมองในระยะยาว และไม่ควรใช้ไม้ขนไก่ปัดฝุ่น เพราะอาจเกิดรอบขีดข่วนต่อตัวรถได้ ขั้นตอนการทำความสะอาดภายในตัวรถ เป็นขั้นตอนสำคัญที่หลายๆ คนคิดว่ายากแต่วันนี้เรามีวิธีการล้างภายในตัวรถมานำเสนอ และทุกคนามารถไปทำตามกันได้ค่ะ 1) กำจัดเศษสิ่งสกปรกต่างๆ ออก เริ่มต้นด้วยการจำกัดเศษสิ่งสกปรกที่อยู่ภายในรถออกก่อน ด้วยการเก็บของที่จำเป็นออกเพื่อให้สะดวกต่อการเก็บกวาด จากนั้นเริ่มต้นเก้บกวาดเอาเศษสิ่งสกปรกออกด้วยมือ หลังจากนั้นนำเครื่องดูดฝุ่นดูดฝุ่นซ้ำเพื่อกำจัดฝุ่นเล็กๆ น้อยๆ ออกไป ทั้งบนเบาะและบนพื้น 2) เช็ดเบาะไวนิลและเบาะหนัง ขั้นตอนต่อไปเป็นขั้นตอนการล้างส่วนภายในโดยเริ่มทำความสะอาดจากเบาะผ้าไวนิลหรือเบาะหนังด้วยการใช้ผ้าเปียกหมาดเช็ดให้ทั่ว หรือจะใช้ผ้าแบบ wipe ที่ออกแบบมาสำหรับเช็ดเบาะหนังและไวนิลก็ได้ โดยผลิตภัณฑ์จำพวกนี้ เหมาะสำหรับการใช้เช็ดอุปกรณ์ภายในรถ แต่ก่อนจะให้ควรอ่านคำแนะนำและวิธีการใช้งานให้ดีก่อนใช้งานนะคะ 3) ซักเบาะผ้าถ้าจำเป็น ถ้าหากรถเป็นเบาะผ้า สามารถซักเบาะได้เมื่อจำเป็น ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับซักพรม หรือสำหรับซักเบาะผ้าในรถที่มีขายตามแผนกอุปกรณ์รถทั่วไป และก่อนจะใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้อย่าลืมทดสอบผลิตภัณฑ์ก่อนว่าจะไม่ทำให้เบาะรถของเรานั้นมีสีซีดหรือจางลง โดยให้ทดสอบบริเวณที่ไม่เป็นจุดสังเกตุเพื่อดุผลลัพธ์ 4) ทำความสะอาดหน้าต่างด้านใน อย่าลืมทำความสะอาดหน้าต่างด้านใน สามารถใช้ที่เช็ดกระจกทั่วไปหรือกระดาษทิจชู่เช็ดก็ได้ค่ะ แต่พอเช็ดเสร็จเรียบร้อยแล้ว มักจะทั้งคราบฝุ่นอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นใช้ผลิตภัณฑ์เช็ดกระจกสำหรับรถยนต์ หรือผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง แต่ระวังอย่าใช้น้ำยาเช็ดกระจกที่มีส่วนผสมของแอมโมเนีย เพราะจะทำให้กระจกรถเป็นรอยได้ค่ะ 5) ลงน้ำยาเคลือบหนังและผ้าไวนิล หลังจากที่ทำความสะอาดล้างด้านในตัวรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ลงน้ำยาเคลือบหนังและไวนิล ลงบนเบาะ เพื่อปกป้องและป้องกันดูแลเบาะรถให้มีสภาพดีอยู่ตลอด โดยน้ำยาเคลือบเบาะนี้จะช่วยให้ภายในตัวรถไม่มีฝุ่นเกาะ และปกป้องวัสดุจากแสงแดดรวมทั้งลดรอยแตกต่างๆได้ด้วย การลงแว๊กซ์หลังล้างรถ ในการดูแลการล้างรถในขั้นตอนสุดท้าย ควรการหาผลิตภัณฑ์ แว๊กซ์ (Wax) มาใช้เคลือบสีนอกจากจะเป็นเกราะป้องกันชั้นแรก มันยังทำให้สีรถของคุณ ดูเงางามขึ้นมาอีกด้วย เพราะการแว๊กซ์จะเปรียบเสมือนเกาะป้องกันรอยขีดข่วนให้ตัวรถ แว็กซ์จะทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันโดยมันมีการสร้างชั้นฟิล์มบางๆ มาเคลือบทับกับสีรถนั่นเอง ซึ่งการแว็กซ์สีรถเป็นประจำมันจะช่วยเพิ่มชั้นป้องกันรถ ซึ่งจะทำให้ผิวรถมีความลื่น ช่วยป้องกันคราบสกปรกต่าง ๆ ทำให้คราบไม่สามารถเกาะติดบนสีรถได้ เหมือนกับใบบอนที่น้ำจะกลิ้งไปกลิ้งมาทำให้เราล้างรถได้ง่ายมากขึ้น แล้วยิ่งถ้าเลือกใช้แว๊กซ์ที่มีคุณภาพสูงๆ ก็สามารถป้องกันได้แม้กระทั้งกรวดเล็กกันเลย และข้อดีอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับตัวรถเมื่อต้องการขายต่อรถมือสอง สีของรถเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ราคารถดีหรือไม่ดี แต่หากสีรถของคุณเป็นสีเดิมจากโรงงานและยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ สิ่งนี้มันจะสามารถบ่งบอกได้ว่า คุณเป็นคนที่ใช้รถอย่างทะนุถนอม ดูแลรักษารถดี มันทำให้ผู้ชื้อเกิดความเชื่อใจได้ราคาดีนั่นเอง และข้อสุดท้ายแว็กซ์ยังกันน้ำที่ต้องกันน้ำเพราะในบางสภาพอากาศการที่ฝนตกลงมาอาจมีสภาวะเป็นฝนกรด ซึ่งอาจเกิดความเสียหายต่อสีรถได้ เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับวิธีการล้างรถที่เรานำมาเสนอให้อ่านกัน ที่ผ่านมาทุกคนล้างรถด้วยวิธีการที่ถูกต้องกันหรือเปล่าเอ่ยหรือล้างครบทุกขั้นตอนที่เรานำเสนอไปไหมคะ หากยังล้างไม่ถูกต้องสามารถนำขั้นตอนที่เรานำมาเสนอไปปฏิบัติกันนะคะ รับรองว่าเป็นการดูแลรถที่ถูกต้องและทำให้รถของทุกคนดูใหม่และสุขภาพดีอยู่ตลอดแน่นอน
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการดูแลรถสักคันนั้นยากเกินไปสำหรับมือใหม่ จะทำตามคู่มือไหนก็ลำบากไปหมด จนบางทีก็เผลอละเลยจุดเล็กจนกลายเป็นปัญหาใหญ่แบบไม่รู้ตัว วันนี้เราจึงมาแชร์เคล็ดลับง่ายๆ ที่ไม่ว่าหญิงหรือชายก็สามารถนำไปลองทำได้สบายๆ เป็นประจำทุกวัน บทที่ 1 เช็กลมยาง เริ่มจากเรื่องพื้นฐานง่ายๆ ที่ไม่ว่ามือใหม่หรือใครๆ ก็สามารถทำเองได้ นั่นก็คือการเช็กลมยางของรถยนต์นั่นเอง ซึ่งผู้ใช้รถส่วนใหญ่มักจะละเลย และส่งผลให้ลมยางนั้นจะอ่อนลงไปทุกวันเนื่องจากการใช้งาน นานวันเข้าก็จะทำให้ยางเสื่อมสมรรถภาพไวกว่าปกติ ลมยางมาตรฐานของล้อรถยนต์จะระบุอยู่ข้างประตูคนขับ ซึ่งเราสามารถตรวจเช็กได้ด้วยตัวเองเลย ดังนั้นหากเราจะเริ่มดูแลรถก็ควรเริ่มจากการตรวจเช็กลมยางนี่แหละ ลองก้มดูด้านล่างสักนิด เพื่อตรวจเช็กลมยางสักหน่อยก่อนออกจากบ้าน อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพื่อความปลอดภัย พร้อมทั้งดูด้วยว่ายางรถยนต์ไม่มีสิ่งปกติทิ่มคาอยู่ มั่นใจได้เลยว่าหลังจากนี้คุณจะรู้สึกดีขึ้นทุกครั้งที่ขับขี่ ที่สำคัญ! การเติมลมยางที่เหมาะสมช่วยประหยัดน้ำมันด้วยนะ อย่าลืมไปลองทำกัน Tips : ลมยางสูงสุดที่เติมได้ไม่ควรเกินที่ระบุไว้บริเวณแก้มยางนะ บทที่ 2 เช็กที่ปัดน้ำฝน ที่ปัดน้ำฝนเป็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่อยู่นอกสายตาเสมอ เมื่อใช้รถไปสักระยะ ยางปัดน้ำฝนก็อาจเสื่อมสภาพไปไม่น้อย เนื่องจากมีสิ่งสกปรกอย่าง ฝุ่น ทราย หรือเศษหินขนาดเล็ก เกาะติดอยู่ระหว่างยางใบปัดกับกระจก หากเราต้องการดูแลรถให้มีสภาพใหม่และสวยงามเหมือนซื้อใหม่อยู่เสมอ ให้สังเกตเวลาใช้งานอยู่เสมอว่าที่ปัดน้ำฝนต้องไม่ทิ้งลอยคราบต่างๆ ไว้ หรือปัดแล้วมีเสียงดังกว่าปกติ ถ้าหากเกิดอาการดังกล่าวแสดงว่าถึงเวลาต้องรีบเปลี่ยน เป็นอีกหนึ่งวีธีดูแลรถง่ายๆ ที่สามารถทำเองได้ บทที่ 3 เช็กสัญญาณไฟเตือนที่หน้าปัด แผงหน้าปัดที่แสดงสัญญาณไฟเตือนด้านหน้าพวงมาลัย เป็นอีกหนึ่งจุดที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับผู้ใช้รถมือใหม่ หลายคนอาจจะไม่ค่อยได้สังเกตหรือใส่ใจ จะก้มลงมองก็เฉพาะตอนที่นึกสงสัยว่าตอนนี้น้ำมันเหลืออยู่แค่ไหน แต่เราอยากให้คุณคอยสังเกตอยู่เสมอว่า ในขณะขับขี่รถยนต์อยู่นั้นมีไฟสัญญาณเตือนอะไรผิดแปลกขึ้นมาหรือไม่ ถ้าหากมี เราแนะนำให้คุณควรหาเวลานำรถคู่ใจไปตรวจเช็กที่ศูนย์ทันที เพราะสัญญาณไฟนั้นเป็นสัญญาณเตือนที่ช่วยให้เรารู้ตัวก่อนที่ปัญหาจะลุกลามไปมากกว่าเก่า บทที่ 4 เช็กแบตเตอรี่ หลายคนอาจจะมองว่าแบตเบอรี่รถยนต์เป็นส่วนที่ไม่สามารถดูแลรักษาได้ด้วยตนเอง แต่ความจริงแล้วเราสามารถตรวจเช็กแบตเตอรี่เบื้องต้นเองได้ เพียงตรวจสอบสภาพตัวแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอว่ามีความเสียหายใดๆ หรือไม่ ลองสังเกตสีที่แตกต่างกันของช่องตาแมวแบตเตอรี่ ซึ่งแต่ละลูกจะมีสีที่บอกสถานะของแบตที่แตกต่างกัน โดยสามารถศึกษาคำอธิบายสีต่างๆ ได้จากสติ๊กเกอร์บนตัวแบตเตอรี่ นอกจากนี้ยังควรตรวจสอบระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่ ไม่ให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าที่ควรอยู่เสมอ โดยแบตเตอรี่แบบเติมน้ำกลั่นควรตรวจเช็กทุกๆ 1 เดือน แบบกึ่งแห้งควรตรวจเช็กทุกๆ 6-12 เดือน หากรู้สึกว่าที่กล่าวไปนั้นยากเกินไป มี วิธีตรวจเช็คที่ง่ายที่สุดคือ ลองสังเกตว่า หากรถสตาร์ทติดยาก และเป็นแบตเตอรี่ที่ใช้อายุนานเกิน 2 ปี สันนิษฐานได้เลยว่าแบตเตอรี่ใกล้หมดอายุแล้ว ควรเปลี่ยนทันที Tips : ระวังอย่าเติมน้ำกลั่นจนเต็มหรือล้นจนเกินไปเพราะน้ำกลั่นที่อยู่ในแบตเตอรี่จะล้นออกมากัดกร่อนตัวถังรถและชิ้นส่วนต่าง ๆ เสียหายได้ บทที่ 5 เช็กน้ำมันเครื่อง มาถึงข้อสุดท้าย อ่านหัวข้อแล้วอาจจะรู้สึกว่ายาก ไม่เห็นจะง่ายเลย ก็อย่าเพิ่งปิดหน้านี้ทิ้งไป ความจริงแล้ว เราสามารถตรวจเช็กน้ำมันเครื่องเบื้องต้นด้วยตัวเองได้ โดยต้องอุ่นเครื่องยนต์จนถึงอุณหภูมิทำงานก่อน จอดรถให้อยู่ในแนวระนาบไม่ลาดเอียง หลังจากนั้นดับรถ รอ 1-3 นาทีแล้วจึงเปิดฝากระโปรงรถยนต์ มองหาก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องและดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมา จากนั้นใช้ผ้าสะอาดเช็ดน้ำมันเครื่องที่ติดอยู่กับก้านออก แล้วเสียบก้านวัดน้ำมันเครื่องคืนกลับไปจุดเดิม และสุดท้ายท้ายด้วยดึงก้านวัดออกมาอีกครั้งหนึ่งเพื่อตรวจดูระดับน้ำมันเครื่องที่ปลายก้านวัด ถ้าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่าง F กับ L หรือ Max กับ Min แสดงว่า ระดับน้ำมันเครื่องปกติ ไม่มากจนเกินไปและไม่น้อยจนเกินไป ควรหมั่นตรวจเช็กเป็นประจำ 1-2 ครั้ง/สัปดาห์ หรืออย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่ามีปริมาณน้ำมันเพียงพอสำหรับหล่อลื่นให้กับเครื่องยนต์ทั้งระบบ และปลอดภัยในทุกการขับขี่ เห็นไหมว่า 5 วิธีดูแลรถเบื้องต้นที่ให้ไป ง่ายนิดเดียว เหมาะสำหรับมือใหม่ เป็นวิธีที่สามารถสังเกต และทำด้วยตัวเองได้เป็นประจำ โดยไม่ต้องง้อใคร แต่ถ้าคุณยังรู้สึกว่ายากเกินไปที่จะทำด้วยตัวเอง เราแนะนำว่า ให้พารถคู่ใจของคุณเข้ามาตรวจเช็กที่อู่ของเรา SCG Performance อู่ซ่อมรถมาตรฐาน บริการด้วยความตั้งใจ รับตรวจเช็กและซ่อมดูแลรถโดยช่างมากประสบการ์ณ ยืนยันว่าเซอร์วิสครบจบในที่เดียว Quick Wash x SCG Performance