หากพูดถึงแบรนด์รถยนต์ทรงสปอร์ตดีไซน์สุดหรูหรา ที่คนทั่วโลกชื่นชอบและโปรดปราน คงมีชื่อของ BMW แล่นเข้ามาในหัวเป็นชื่อแรกๆ แน่นอน บทความนี้จะมาเปิดตำนานความเก๋าของรถยนต์เชื้อสายเยอรมันแบรนด์นี้ว่า.. เพราะเหตุใด BMW ถึงไม่เคยหายไปจากท้องถนน แถมยังเพิ่มดีกรีความหรูหราและมูลค่าขึ้นทุกปี จนเป็นที่ต้องการอย่างมากในวงการของเหล่านักสะสม หากคุณเป็น Bimmer ตัวยง มาเช็กลิสต์ที่มาและความลับ ที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ไปทีละข้อกันเลย ความเป็นมาของ BMW ที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ กว่า BMW จะเป็น BMW แบรนด์รถยุโรปสุดหรู รถในฝันของใครหลายคน พวกเขาผ่านอะไรมาบ้าง เอกลักษณ์ที่โดดเด่นและเป็นตำนานในทุกรายละเอียดนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร มาไขความลับไปทีละข้อกันเลย สิ่งแรกที่ผลิตไม่ใช่รถยนต์ แต่เป็น.. เครื่องบิน BMW เป็นบริษัทผลิตยานยนต์ของประเทศเยอรมัน ถือกำเนิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เดิมที BMW ไม่ได้เริ่มมาจากการผลิตรถยนต์อย่างที่ใครหลายคนเข้าใจ แต่มีบริษัทผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินรบของประเทศเยอรมัน ที่มีชื่อว่า Rapp Motorenwerke ก่อตั้งเมื่อ ปี 1913 โดย Karl Friedrich Rapp แม้จะเป็นแนวหน้าของวงการเครื่องบินในช่วงเวลานั้น แต่เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง ประเทศเยอรมันเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จึงได้เกิดการทำสนธิสัญญาแวร์ซายที่ไม่อนุญาตให้ฝ่ายที่พ่ายแพ้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องบิน ทำให้กิจการเครื่องบินของ BMW ที่มาของโลโก้ทรงพลัง ไม่ใช่แค่ใบพัดเครื่องบิน สิ่งหนึ่งที่ช่วยทำให้รถยนต์ของ BMW โดดเด่นกว่าแบรนด์อื่นก็คือ โลโก้ หรือตราสัญลักษณ์ของ BMW นั่นเอง ด้วยรูปทรงที่คล้ายกับใบพัดที่กำลังหมุน บวกกับการที่ BMW เคยเป็นผลิตชิ้นส่วนเครื่องบิน ส่งผลให้หลายคนเข้าใจว่าโลโก้นั้นมาจากใบพัดของเครื่องบิน แต่ความจริงแล้ว โลโก้รูปทรงวงกลมนั้นมีความหมายสื่อถึงการขับเคลื่อนไปข้างหน้า ในส่วนสีขาวและสีฟ้า มาจากสีประจำรัฐ Bavarian ในประเทศเยอรมัน ซึ่งเป็นสถานที่ที่เป็นบ้านเกิดของ BMW นั่นเอง โดยที่ผ่านมาทาง BMW ก็พัฒนาโลโก้ให้เข้ากับยุคสมัยอยู่เสมอ แต่ก็ยังคงเอกลักษณ์ที่ทรงพลังไว้ไม่มีเปลี่ยนแปลง เอกลักษณ์กระจังหน้าที่มีมากว่า 100 ปี อีกสิ่งที่ซิกเนเจอร์โดดเด่นจนทำให้ไม่ว่าใครที่พบเห็นก็ทราบได้ทันทีว่ารถคันนี้เป็นรถยนต์จากค่าย BMW ก็คือ กระจังหน้า ลักษณะคล้ายฟันหนูที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะของรถยนต์แบบนี้ แต่น้อยคนจะรู้ว่าเจ้ากระจังหน้าคู่สุดคูลนี้มีชื่อเรียกว่า “Kidney Grille” แถมยังมีอายุมายาวนานกว่า 100 ปี โดยเริ่มใช้ครั้งแรกกับรุ่น BMW 303 ในปี 1933 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของเอกลักษณ์กระจังหน้าไตคู่ที่มีใน BMW ทุกรุ่นทุกคัน ไม่เว้นแม้แต่รถแข่ง Formula 1 ก็มีการใส่กระจังหน้าไตคู่ลงไปในรูปแบบของลวดลายที่อยู่บนตัวรถด้วยเช่นกัน BMW ผลิตรถไฟฟ้ามากว่า 40 ปีแล้ว แม้กระแสและความนิยมรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่งเป็นที่พูดถึงไม่กี่ปีมานี้ และมีหลายคนที่เข้าว่ารถยนต์ไฟฟ้าของค่าย BMW มีแค่รุ่น iX3 หรือ BMW i3S แต่ว่าความจริงแล้ว BMW ได้เริ่มทำการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามาเป็นเวลานานกว่า 40 ปีแล้ว โดยเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกออกมาในปี 1972 ในรุ่น BMW 1602 Elektro-Antrieb ซึ่งได้รับเสียงฮือฮาเป็นจำนวนมากในยุคนั้นเกี่ยวกับเรื่องความล้ำสมัย แต่ด้วยเครื่องยนต์ของรถรุ่นนี้มีกำลังสูงสุดเพียง 43 แรงม้า อัตราการเร่ง 0-48 กิโลเมตร/ชั่วโมง ความเร็วสูงสุดเพียง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และในการชาร์จไฟฟ้าเต็ม 1 ครั้ง สามารถใช้งานวิ่งได้เพียง 20 นาทีเท่านั้น ซึ่งยังไม่เพียงพอและไม่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้คนในชีวิตประจำวัน และด้วยความที่ยุคนั้นการพัฒนาด้านเทคโนโลยียังไม่เติบโตเต็มที่ รถรุ่นนี้จึงถือว่าเป็นรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่ารถยนต์ทั่วไปที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงค่อนข้างมาก แต่อย่างไรก็ตาม การผลิตครั้งนี้นับว่าเป็นก้าวแรกของ BMW เข้าสู่วงการรถยนต์ไฟฟ้าที่ยิ่งใหญ่ก้าวนึงเลยทีเดียว ความหมายของรหัสท้ายรถ BMW ปกติแล้วรถยนต์ของ BMW จะมีการบอกรุ่น และรหัสต่างๆ ไว้ที่ด้านท้ายของรถ ตรงตำแหน่งด้านขวาของฝากระโปรงท้าย โดยมีความหมายเพื่อบอกชนิดของรถและรุ่นรถ รวมถึงลักษณะของเครื่องยนต์ โดยมีตัวอักษรและตัวเลขทั้งหมด 4 ตัวด้วยกัน ตัวเลขตัวแรก หมายถึง แบบหรือรุ่นต่างๆ ของรถ เช่น Series 3, Series 5, Series 7 และ Series 8 ตัวเลข 2 ตัวหลัง หมายถึง ขนาดเครื่องยนต์หรือกระบอกสูบที่ใช้หน่วยเป็นลิตร แต่ในบางรุ่นเลขท้ายอาจจะไม่ตรงกับขนาดเครื่องยนต์ เช่น รถรุ่น 318i E46 มีขนาดเครื่องยนต์ 1.9 ลิตร มากกว่ารหัสท้ายรถ เพราะ BMW ได้ทำการเพิ่มขนาดกระบอกสูบ ตัวอักษรตัวสุดท้าย หมายถึง ตัวย่อของรุ่นรถ และรายละเอียดอื่นๆ เช่น ระบบน้ำมันหรือระบบการขับเคลื่อน โดยแต่ละอักษรมีความหมายและรายละเอียด ดังนี้ A = Automatic Transmission หรือรถรุ่นที่ใช้เกียร์แบบออโตเมติก C , CS = Coupe รถรุ่น 2 ประตูหรือรุ่นสปอร์ต บางรุ่นจะใส่ S เข้ามาด้วย ซึ่งเป็นรุ่นที่ปรับแต่งทั้งภายนอกภายในเป็นแบบสปอร์ต อาจมีการเพิ่มสมรรถนะเครื่องยนต์ เช่น CS Coupe Sport d = Diesel รถรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล เช่น 320d e = Economy Engine เน้นการลดมลพิษและความประหยัดมากกว่าความแรง เช่น 325e แต่ในปัจจุบัน หมายถึง Electric หรือรถไฟฟ้า เช่น 530e i = Fuel-Injected Engine จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีดอีเลคทรอนิคส์ L = Long Wheel Base Model รถรุ่นฐานล้อยาว เช่น L7 ใน Series 7 SE = Special Edition รถรุ่นพิเศษ เช่น 520d SE T = Turbocharger Engine หรือ Touring X, xDrive = All Wheel Drive สำหรับรถขับเคลื่อน 4 ล้อ เช่น xDrive 30e รถยนต์ BMW รุ่นใหม่ที่พร้อมเปิดตัวในปี 2022 จากประวัติความเป็นมาที่เอามาฝากทั้งหมดนี้ อาจทำให้หลายคนรู้จัก BMW มากขึ้นแล้ว ต่อไปเราจะเอาลิสต์รุ่นรถ BMW ที่เปิดตัวและกำลังจะเปิดตัวในปี 2022 นี้ ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า 3 รุ่น รถยนต์อเนกประสงค์ตระกูล X 2 รุ่น และรถสปอร์ตอย่าง Series 4 ลงตลาดจำหน่ายในประเทศไทย จะมีรุ่นไหนให้หน้าติดตามบ้าง มาดูกัน BMW i4 M50 ใหม่ ราคา 4.999 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง) BMW i4 eDrive40 M Sport ใหม่ ราคา 4.499 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง) BMW iX3 M Sport ใหม่ ราคา 3.399 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง) BMW 430i Convertible M Sport ใหม่ ราคา 4.499 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง) BMW X6 xDrive40i M Sport ใหม่ (รุ่นประกอบในประเทศ) ราคา 5.499 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard) BMW X7 xDrive40d M Sport ใหม่ (รุ่นประกอบในประเทศ) ราคา 6.199 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง) บทความนี้ อาจทำให้หลายคนได้รู้จัก BMW มากยิ่งขึ้น ทั้งในแง่มุมที่หลายคนอาจจะทราบกันดีอยู่แล้ว และในแง่เกร็ดความลับเล็กน้อยที่น้อยคนที่จะรู้ความจริง หลังจากนี้มารอลุ้นกันดีกว่า BMW จะพัฒนารถยนต์ออกมาในทิศทางไหน และเดินหน้าผลิตรถยนต์สุดคูลรุ่นไหนออกมาให้เหล่าสาวกได้เซอร์ไพรส์อีก เราจะรีบเอามาอัปเดตให้ทุกคนได้รู้กัน กดติดตาม (Subscribe) บทความนี้ไว้ เพื่อไม้ให้พลาดสาระความรู้ และตามทันข่าวสารด้านยานยนต์ก่อนใคร
รถสั่นเป็นเจ้าเข้า ปัญหาที่ทำให้คนรักรถอย่างเราต้องเกาหัว สตาร์ทรถทีไรเครื่องยนต์ก็เกิดอาการสั่นสะเทือนเหมือนแผ่นดินไหว สวิงขึ้นๆ ลงๆ หนักเข้าท่อไอเสียก็มีควันดำออกมา โดยปัญหาน่าปวดใจเหล่านี้อาจมาจาก “รอบเดินเบาไม่นิ่ง” แต่จะแก้ยังไงไม่ให้เกิดขึ้นอีก เราจะพามาขุดหาต้นตอของปัญหานี้ เพื่อแก้ไขให้มันจบได้ตรงจุดจริงๆ แต่ก่อนจะแก้ไขเราต้องเข้าใจซะก่อน รอบเดินเบาคืออะไร? รอบเดินเบา คือ รอบเครื่องยนต์ขณะที่รถยนต์ไม่เคลื่อนที่แต่มีการสตาร์ทเครื่องยนต์ไว้โดยปกติ ซึ่งรอบเดินเบาปกติแล้ว เข็มจะเคลื่อนขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ถึงเลข 1 โดยรอบเครื่องจะอยู่ที่ช่วง 700 - 800 รอบ/นาที หากรอบเครื่องยนต์นั้นมีความผิดแปลกไปจากนี้ คุณอาจต้องเฝ้าระวังหรือรีบตรวจเช็คทันที เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่ารอบเดินเบาของคุณกำลังมีปัญหาอยู่ วิธีสังเกตง่ายๆ ที่มองเห็นได้ชัดที่สุดคือ เมื่อจอดรถให้หยุดนิ่ง เครื่องยนต์จะสั่นจนหวิดดับเหมือนกำลังจะขาดใจ สลับกับรอบเครื่องที่สวิงขึ้นลงช่วง 500 – 1,200 รอบ/นาที ซึ่งการเติมคันเร่งอาจช่วยไม่ให้เครื่องดับได้ แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ให้จบได้จริงๆ ปัญหานี้ก็ยังคงวนกลับมากวนใจอยู่เรื่อยไป หากไม่รีบแก้ อาจทำให้ไม่สามารถคุมรอบเครื่องยนต์ได้ จนนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุ รอบเดินเบาไม่นิ่งมักจะพบในรถเก่าอายุการใช้งานหลายปี แต่ไม่ว่าจะรถเก่าปีเยอะหรือรถใหม่ปีน้อยก็ควรระวัง เพราะตัวการสำคัญของเรื่องนี้คือความสกปรก และความเสื่อมสภาพของอะไหล่เครื่องยนต์ ส่งผลให้การทำงานของเครื่องยนต์นั้นผิดปกติไป แต่จะเกิดจากชิ้นส่วนไหนบ้าง เราจะมาสาเหตุที่แท้จริง และแก้ปัญหานี้ให้จบได้จริงๆ กัน รอบเดินเบาไม่นิ่ง อาจเกิดปัญหาจาก… มอเตอร์รอบเดินเบาสกปรก สาเหตุอันดับต้นๆ ที่ทำให้รอบเดินเบาไม่นิ่งก็คือ มอเตอร์รอบเดินเบา (Idle Speed Control) โดยมอเตอร์รอบเดินเบา ทำหน้าที่ควบคุมรอบเครื่องยนต์ให้คงที่ หากลองสังเกตแล้วพบว่าเครื่องยนต์มีอาการสั่น เราแนะนำให้เริ่มเช็คที่จุดนี้เป็นอันดับแรกก่อนเลย โดยอาการที่เกิดจากมอเตอร์รอบเดินเบาสกปรก คือ รถจะมีอาการเครื่องยนต์สั่น เมื่อจอดรถนิ่งอยู่กับที่ รอบเครื่องยนต์จะค่อยๆ ตกลง จนมีอาการสั่นสะเทือนและหวิดดับ มักเกิดขึ้นกับรถที่มีอายุการใช้งาน 5 ปีขึ้นไป แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน หากใช้งานอย่างหนัก สมบุกสมบัน รถใหม่ก็อาจเกิดอาการนี้ขึ้นได้เช่นกัน วิธีแก้ไขเบื้องต้น หากคุณพอมีความรู้พื้นฐานด้านเครื่องยนต์อยู่บ้าง เราสามารถแก้ไขมอเตอร์รอบเดินเบาสกปรกได้เอง โดยการถอดมอเตอร์รอบเดินเบาออกมาแล้วใช้แปรงสีฟันขัดด้วยน้ำมันเบนซินให้สะอาด คราบสกปรกจะติดอยู่โดยรอบตัวมอเตอร์ จากนั้นให้นำไปผึ่งลมให้แห้ง แต่ถ้าหากคุณไม่ค่อยมีความรู้พื้นฐานด้านเครื่องยนต์หรืออาจไม่มั่นใจ แนะนำว่าควรส่งไม้ต่อให้ช่างผู้เชี่ยวชาญจัดการให้ดีกว่า Tips : ขณะถอดมอเตอร์ออกมา ระวังอย่าให้แหวนโอริงหายโดยเด็ดขาด ลิ้นปีกผีเสื้อสกปรก ลิ้นปีกผีเสือ (Air Throttle) มีรูปลักษณ์เหมือนปีกผีเสื้อ ทำหน้าที่ควบคุมการไหลของอากาศภายนอกเข้าห้องเครื่องยนต์ เมื่อต้องทำงานคบคู่กับเครื่องยนต์ การที่ลิ้นปีกผีเสื้อสกปรกจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก อาจเกิดเขม่าดำ คราบเหนียว ไอน้ำมันเกาะที่ลิ้นปีกผีเสื้อตลอด และเกิดเป็นคราบสกปรกสะสม เกาะติดแน่น จนเป็นสาเหตุให้อากาศไม่สามารถเข้าไปช่วยในเรื่องของการเผาไหม้ได้ ทำให้รถรอบเดินเบาไม่นิ่ง สวิงขึ้นลง รอบเครื่องต่ำจึงทำให้เครื่องดับ เกิดอาการสั่นขณะเร่ง และอาจทำให้รถมีอาการกินน้ำมันมากยิ่งขึ้น วิธีแก้ไขเบื้องต้น เราควรตรวจเช็คและทำความสะอาดลิ้นปีกผีเสื้อเป็นประจำ ในทุกระยะการใช้งาน 20,000 – 30,000 กิโลเมตร หากคุณมีความรู้พื้นฐานเรื่องเครื่องยนต์ ลิ้นปีกผีเสื้อสามารถถอดมาทำความสะอาดได้เช่นกัน ซึ่งมีวิธีการคล้ายกับมอเตอร์รอบเดินเบา เพียงใช้สเปรย์ฉีดทำความสะอาดไปที่คราบน้ำมันและสิ่งสกปรกที่เกาะแน่นที่ลิ้นปีกผีเสื้อที่ถอดออกมา แล้วใช้แปรงขัดให้สะอาดหมดจดไปเลย เซนเซอร์ลิ้นปีกผีเสื้อ ระบบเซนเซอร์ลิ้นปีกผีเสื้อ ทำหน้าที่วัดปริมาณของอากาศที่ผ่านเข้าไปในท่อ เมื่อไม่ค่อยได้ดูแล เซนเซอร์ก็จะสกปรกและเกิดคราบฝังแน่น ส่งผลให้เครื่องยนต์เบาดับได้ วิธีแก้ไขเบื้องต้น หากมีความรู้พื้นฐาน คุณสามารถใช้สเปรย์ทำความสะอาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปในการทำความสะอาด จากนั้นเช็ดให้แห้ง เครื่องยนต์จะกลับมาใช้งานได้ปกติอีกครั้ง ในบางกรณีที่ลองทำแล้วอาการเหล่านี้ไม่หายไป ยังคงสั่นอยู่ แนะนำให้ขับรถคู่ใจไปเปลี่ยนเซนเซอร์ใหม่ได้เลย ท่อแวคคั่มรั่ว สายท่อแวคคั่ม (Vacuum) ทำหน้าที่ช่วยเร่งไฟจุดระเบิดในรอบเดินเบา ผู้ใช้รถรุ่นที่ผลิตก่อนปี 2000 อาจเจอกับปัญหานี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะรถทั้งแบบจ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด หรือคาบูเรเตอร์ ล้วนมีสายท่อแวคคั่มควบคุมการทำงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งท่อแวคคั่มนั้นทำจากสายยาง หรือซิลิโคน จึงเสื่อมสภาพตามอายุใช้งานเป็นเรื่องปกติ ควรตรวจเช็คและเปลี่ยนใหม่เรื่อยๆ เพื่อป้องกันการรั่วหรือแตก และส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานแบบไม่มีประสิทธิภาพ รอบเดินเบาไม่นิ่ง เครื่องยนต์สั่น ยิ่งถ้าจอดนิ่งติดไฟแดงก็มีโอกาสเครื่องดับสูงมากขึ้น วิธีแก้ไขเบื้องต้น หากมีความรู้พื้นฐาน ให้ลองตรวจสอบสายแวคคั่มทุกสาย ไล่ตรวจเช็คไปทีละเส้น หากพบรอยรั่วตรงจุดไหนให้ตัดออก แล้วสวมส่วนที่เหลือใส่กลับเข้าไป แนะนำว่าหากพบว่ามีสายแวคคั่มเส้นหนึ่งผิดปกติหรือเปื่อยทะลุ ให้เปลี่ยนยกเซ็ต เพราะสายอื่นย่อมมีสภาพที่ใกล้เคียงกัน หัวเทียนบอด หัวเทียนเป็นส่วนสุดท้ายที่เราอยากให้คุณไล่ตรวจสอบ เพราะมีความสำคัญต่อการสตาร์ทรถมาก ทำหน้าที่จุดระเบิดของเครื่องยนต์ โดยปล่อยกระแสไฟแรงดันสูง ไม่ต่ำกว่า 10,000 โวลต์ ทนความร้อนไม่ต่ำกว่า 2,000 องศาเซลเซียส เพื่อติดเครื่องรถยนต์ หากหัวเทียนบอด รถจะเกิดอาการสตาร์ทติดยาก เมื่อเครื่องยนต์ติดและจอดอยู่กับที่ รอบจะสวิงลงต่ำจนเกือบดับ หากเป็นขณะรถวิ่งก็จะมีอาการกระตุก สำลักความเร็ว และกินน้ำมันเชื้อเพลิงมากยิ่งขึ้น วิธีแก้ไขเบื้องต้น หัวเทียนบอดเป็นอาการที่ไม่สามารถซ่อมได้ มีเพียงวิธีการเปลี่ยนเท่านั้นที่ช่วยได้ แต่ราคาการเปลี่ยนหัวเทียนนั้นไม่สูงอย่างที่คิด สามารถซื้อหัวเทียนมือหนึ่งมาเปลี่ยนเองได้เลยหากมีความรู้พื้นฐานมากพอ เริ่มจากเปิดฝากระโปรงเครื่องยนต์ แล้วหาจุดที่ติดตั้งหัวเทียน เพื่อเปลี่ยนหัวเทียนใหม่ลงไปแทน จากนั้นลองสตาร์ทรถดูอีกครั้ง หากติดง่ายขึ้น และรอบเดินเบาไม่สะดุดก็แสดงว่าเราแก้ปัญหานี้ได้ตรงจุดแล้วจริงๆ เมื่อรู้ปัญหาที่แท้จริงแล้วว่าเกิดควรที่ส่วนไหน ควรรีบดำเนินการตรวจเช็คและแก้ปัญหาให้ถูกจุดทันที แม้รอบเดินเบาไม่นิ่งอาจเป็นเพียงปัญหากวนใจในตอนนี้ แต่มั่นใจได้เลยว่าหากละเลยจุดนี้ต่อไป อาจจะเพิ่มค่าใช้จ่ายจนกระเป๋าสตางค์รับไม่ไหวก็เป็นได้ และที่แย่ไปกว่านั้น คืออาจจะทำให้คุณและเพื่อนร่วมทางเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ รีบแก้ไขไว้ปลอดภัยกว่า แต่สำหรับมือใหม่ รวมถึงผู้ใช้รถที่ไม่มั่นใจ และไม่มีความรู้พื้นฐานด้านเครื่องยนต์มาก่อน ปัญหาในแต่ละส่วนที่บอกไปอาจยากที่จะตรวจเช็คและแก้ไขได้ด้วยตัวเอง เราแนะนำให้คุณหาศูนย์บริการที่เชื่อถือได้มาช่วยแก้ไขปัญหารอบเดินเบาไม่นิ่งให้กับคุณ หรือลองเปิดใจเข้ามาตรวจเช็คที่อู่ของเรา SCG Performance พร้อมตรวจเช็คเครื่องยนต์ และแก้ไขปัญหารอบเดินเบาได้อย่างตรงจุด โดยช่างมากประสบการณ์ มั่นใจได้ว่าเช็คครบ ซ่อมจบในที่เดียวครับ Quickwash x SCG Performance
ระบบช่วงล่าง เป็นอีกส่วนสำคัญที่ส่งผลต่อการขับเคลื่อนรถยนต์ โดยเฉพาะระบบเบรคและยางที่ทำหน้าที่ในการควบคุมรถ ความปลอดภัยของผู้ใช้ขึ้นอยู่กับการดูแลในส่วนนี้ แต่จะมีวิธีดูแลอย่างไรบ้าง เราจะมาแชร์ให้ได้ทุกคนรู้กัน แม้ระบบช่วงล่างจะประกอบด้วยส่วนสำคัญอีกหลายส่วน อาทิเช่น.. ลูกหมาก โช๊คอัพ และชุดคันส่ง แต่บทความนี้เราจะมาเจาะลึกวิธีดูแลระบบเบรกและยางที่ไม่ควรละเลยเป็นอันขาด เพื่อลดโอกาสเสี่ยงไม่ให้เกิด อุบัติเหตุ หรือปัญหาบานปลายที่เพิ่มค่าใช้จ่ายให้กับคุณ เราจึงควรดูแลให้ถูกหลัก เพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยในการขับขี่รถยนต์ แต่เบรกและยางจะมีวิธีแตกต่างกันอย่างไรบ้าง สัญญาณเตือน ถ้าละเลยระบบเบรก.. เหยียบเบรกไม่สุด : กำลังมีปัญหาเกี่ยวกับระบบเบรก อาจเป็นเพราะน้ำมันเบรคต่ำ หรือผ้าเบรกสึกแล้ว มีเสียงดังเวลาเหยียบเบรค : ตัวเหล็กที่ยึดติดกับแผ่นดิสค์เบรก ไปขูดกับขอบบนของจานเบรค ไฟหน้าปัดมีสัญญาณเบรกเตือน : เวลาเหยียบเบรกแล้วรู้สึกว่า ต้องออกแรงเหยียบมากขึ้น หากรถยนต์ของคุณกำลังเกิดอาการดังกล่าว แสดงว่าคุณกำลังละเลยระบบเบรก และถึงเวลาที่ต้องตรวจเช็คและดูแลอย่างละเอียด เพื่อรีบแก้ปัญหาเล็กๆ ก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ และทำให้คุณต้องเสียค่าซ่อมจนกระเป๋าฉีก หรืออาจจะนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุหรือความอันตรายต่อชีวิตได้ แต่จะมีวิธีดูแลอย่างไรบ้าง มาดูกัน วิธีดูแลระบบเบรก ระบบเบรก (Brake) หนึ่งในระบบช่วงล่างที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการชะลอความเร็วของรถ และหยุดรถ แต่หลายคนก็อาจละเลยและไม่ได้ตรวจเช็ค เพราะคิดว่ายังไม่มีปัญหา ยังเบรกอยู่ และบางคนก็คิดว่าเบรกอยู่ในจุดที่มองเห็นได้ยาก ไม่สามารถเช็คได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งยังมีอุปกรณ์มากมายหลายส่วนที่เกี่ยวข้องอีก ไม่ว่าจะเป็น จานเบรก ผ้าเบรก น้ำมันเบรก และสายต่างๆ แต่ความจริงแล้วเราสามารถตรวจเช็คและดูแลในขั้นเบื้องต้นได้ ดังนี้ 1. ตรวจเช็คผ้าเบรก ผ้าเบรก ถือว่าเป็นส่วนที่สึกหรอไวที่สุดในระบบเบรก เนื่องจากผ้าเบรกอาจมีเหล็กหรือเศษหินมาติดอยู่ หรืออาจเสียดสีกับจานเบรก ซึ่งอาจทำให้จานเบรกเป็นรอยได้ เราควรตรวจเช็คผ้าเบรกเสมอว่าเนื้อผ้าเบรกเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าความหนาลดลงเรื่อยๆ จนต่ำกว่า 3 มิลลิเมตร นั้นแสดงว่าเริ่มไม่ปลอดภัยแล้ว เพราะผ้าเบรกที่บางมากจะเกิดการสึกหรอได้รวดเร็วกว่าปกติหลายเท่า เนื้อผ้าเบรกอาจหลุดร่อนกะทันหัน ส่งผลให้แผ่นเหล็กเสียดสีกับจานเบรกจนเสียหาย หรือนำไปสู่เหตุการณ์อันตรายอย่าง เบรกแตก ได้ 2. ตรวจเช็คจานเบรก จานเบรกเป็นส่วนที่คดงอได้ง่าย ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นกับรถที่ใช้งานหนักแล้วเกิดความร้อนสะสมจะจานเบรกมีอุณหภูมิสูงจัด เมื่อขับรถผ่านจุดที่มีน้ำขัง หรือนำรถไปฉีดล้างทันทีก็อาจทำให้จานเบรกที่ทำจากโลหะเกิดอาการคดเบี้ยวอย่างเฉียบพลันได้ เราจึงควรเช็คจานเบรกอยู่เสมอ หากจานเบรกเบี้ยว คดงอ หรือมีร่องลึกเป็นเส้นยาวที่เกิดจากเศษหินเศษเหล็กมาติด ให้นำจานเบรกไปเจียหรือเปลี่ยนทันทีเลย ซึ่งควรได้รับการดูแลจากช่างที่มากประสบการณ์ เพราะหากเจียจานเบรกจนบางเกินไป อาจเกิดการแตกร้าวได้ 3.เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรก น้ำมันเบรกอาจจะมีอายุที่นานกว่าน้ำมันเครื่องจนละเลยไป แต่ความจริงแล้วเราควรเปลี่ยนน้ำมันเบรกอย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี หรือเปลี่ยนทุก 25,000 กิโลเมตร เพราะน้ำมันเบรกก็มีโอกาสเสื่อมสภาพเหมือนกับของเหลวเติมเครื่องยนต์ชนิดอื่นๆ เช่นกัน น้ำมันเบรกที่เปลี่ยนควรจะใช้ค่ามาตราเดิมตามคู่มือหรือตามที่ระบบเบรคนั้นๆ บอกไว้ เช่น DOT 4 ควรใช้ DOT 4 เท่านั้น ไม่ควรนำน้ำมันเบรกค่าอื่นๆ มาผสมลงไป เพราะอาจทำให้ลูกยางหรือท่อสายต่างๆ บวมได้ เป็นอีกจุดที่สำคัญมากและไม่ควรละเลย 4. ตรวจเช็คท่อและสายต่างๆ เราอาจจะไม่สามารถตรวจเช็คท่อและสายต่างๆ ได้ทั้งหมด เนื่องจากอาจมีส่วนที่ลึกลงไปใต้ท้องรถ แต่เราควรตรวจเช็คท่อและสายต่างๆ ที่สามารถมองเห็นจากด้านบนหรือห้องเครื่อง ว่าสายยังนิ่มอยู่ไม่เสียรูป หรือแตกร้าว หากเกิดอาการแข็งกระด้างมาก อาจทำให้น้ำมันเบรกอาจจะซึมออกขณะใช้งาน จนทำให้รถเบรกแตกได้ สัญญาณเตือน ถ้าละเลยเรื่องยางรถยนต์.. แก้มยางแตกและมีรอยร้าว : จอดรถกลางแดดเป็นเวลานาน จนยางเสื่อมสภาพ และเกิดรอยแตกที่เนื้อยาง ดอกยางสึก : หน้ายางสัมผัสพื้นถนนมากเกินไปจนสึกหรอ รู้สึกล้อสั่นสะเทือนผิดปกติ : เกิดช่องว่างระหว่างดุมล้อ และล้อแม็ก ลมยางอ่อนลงเร็วกว่าปกติ : อาจมีบางอย่างกำลังทิ่มหรือตำยางอยู่ ยางมีเสียงดังแปลกๆ : เกิดช่องว่างระหว่างดุมล้อ และล้อแม็ก หากยางรถยนต์ของคุณกำลังเกิดอาการดังกล่าว แสดงว่าคุณกำลังละเลยยางรถจนมันเกิดปัญหาเสียแล้ว ถึงเวลาที่ต้องตรวจเช็คและดูแลอย่างละเอียด เพื่อยับยั้งปัญหาที่จะบานปลาย ที่อาจจะนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุหรือความอันตรายต่อชีวิตได้ วิธีดูแลยางรถยนต์ ยางรถยนต์ เป็นส่วนที่เห็นได้ชัดและสังเกตได้ไม่ยาก แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าควรเปลี่ยนยางตอนไหน ควรดูแลยังไง เราจึงจะมาแชร์ทริคดูแลยางง่ายๆ ให้ทุกคน ดังนี้ ตรวจสอบความดันลมยาง หากยางของคุณลมอ่อน ยางจะสะสมความร้อนอยู่ในตัว และเป็นแผลแตกได้ง่าย และหากยางของคุณมีลมมากเกินไป ยางก็อาจระเบิด และดอกยางก็เสื่อมเร็วกว่ากำหนด การตรวจเช็คความดันลมยางนั้นสำคัญมาก หากละเลยอาจส่งผลให้ยางเสื่อมไว และทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงได้ ควรใช้ความดันลมยางให้เหมาะสมตามที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ห้ามบรรทุกเกินดัชนีน้ำหนัก การบรรทุกน้ำหนักเกินดัชนีน้ำหนักที่ยางกำหนดไว้ จะทำให้ขอบยางรับน้ำหนักมากเกินจนถูกบดทับทำให้เกิดรอยแตกลายงา และเสื่อมเร็วกว่าปกติได้ 3. หลีกเลี่ยงถนนขรุขระ สภาพถนนที่มีลักษณะขรุขระของหลุมบ่ออาจทำให้แก้มยางรถบวม ดอกยางลอก และเจาะยางแตกได้ หากได้รับแรงกระแทกสูง ยางรถอาจมีรอยแตก หรือรอยบุบได้ จึงควรหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ขรุขระหากไม่จำเป็น ไม่เพียงเพื่อความปลอดภัยแต่เพื่อยืดอายุการใช้ของยางให้นานยิ่งขึ้น 4. ขับขี่อย่างนุ่มนวล ยางของรถยนต์จะสึกหรอไปมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับขับขี่รถยนต์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการเบรกอย่างระมัดระวัง ไม่เบรกกะทันหัน การเปลี่ยนเกียร์อย่างนุ่มนวล การเร่งเครื่อง และการเข้าโค้งอย่างนุ่มนวล ก็มีส่วนช่วยยืดอายุของยาง ป้องกันไม่ให้ยางของคุณสึกหรอเร็วกว่าที่ควร 5. การเช็คดอกยาง เมื่อคุณใช้รถยนต์มาเป็นเวลานาน ยางของคุณอาจเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา แต่ไม่สามารถวางใจได้เลยว่าดอกยางของยางรถจะหมดสภาพไปแบบเท่าๆ กัน การตรวจเช็คดอกยางเป็นประจำทุกปีจะช่วยให้รู้สภาพยางของรถยนต์ในขณะนั้นได้เป็นอย่างดี ทุกวิธีดูแลระบบช่วงล่างในของส่วนของเบรกและยางที่เราแชร์ให้นั้น เป็นเพียงวิธีพื้นฐานที่ช่วยให้เราสามารถดูแลรักษาเบรกและยางให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานยิ่งขึ้นได้อย่างง่ายๆ ด้วยตัวเอง ทั้งนี้การจะดูแลและตรวจเช็คระบบเบรกและยางให้แม่นยำและถูกต้องครบจุดนั้น อาจต้องพึ่งพาความชำนาญการของช่างมืออาชีพ เพื่อให้คุณมั่นใจว่าดูแลได้ครบจุดและตรงจุด สร้างความปลอดภัยในทุกการขับขี่ เราขอแนะนำให้ SCG Performance เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการดูแลตรวจเช็คระบบช่วงล่างรถยนต์ให้กับคุณ หากพบปัญหา เจออาการไม่ว่าหนักหรือเบา เราพร้อมดูแลเต็มที่โดยช่างมากประสบการณ์ ลองเข้ามาตรวจเช็คเบรกและยางที่อู่ของเราได้นะครับ Quickwash x SCG Performance
การล้างรถถือเป็นขั้นตอนในการดูแลรักษารถที่ เป็นการทำให้รถดูสะอาดดูดีอยู่สม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังเป็นการถนอมสีรถไปด้วยเช่นกัน แต่การล้างรถนี้ถ้าหากล้างไม่ถูกวิธีก็อาจส่งผลอันตรายต่อรถยนต์ของเราได้ด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นเรามาอ่านขั้นตอนการล้างรถที่ถูกวิธีกันดีกว่าค่ะ ว่ามีวิธีการขั้นตอนอะไรบ้าง ขั้นตอนวิธีการล้างรถที่ถูกวิธี มีขั้นตอนอะไรบ้าง ฉีดน้ำล้างคราบสกปรก ขั้นตอนแรกจะเป็นการฉีดน้ำล้างคราบสกปรกออกก่อน ด้วยการฉีดน้ำจากบนหลังคาเพื่อให้คราบสกปรกไหลจากด้านบนลงมาด้านล่าง ใช้น้ำเย็นเพื่อเป็นการชะล้างคราบสกปรกฝังแน่นให้อ่อนตัวลง ผสมน้ำอุ่นกับน้ำยาล้างรถ ขั้นตอนที่สองผสมน้ำอุ่นกับน้ำยาล้างรถเข้าด้วยกันตามอัตราส่วนที่ฉลากสินค้านั้นๆ แนะนำ เนื่องจากน้ำยาล้างรถแต่ละยี่ห้อมีอัตราส่วนการผสมไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นต้องอ่านฉลากกันก่อนที่จะใช้งานนะคะ ล้างจากหลังคาลงด้านข้าง ขั้นตอนที่สามวิธีล้างรถที่ถูกต้อง ควรใช้ฟองน้ำทำความสะอาดจากด้านบนหลังคาไล่ลงมาด้านล่าง บริเวณขอบต่างๆ และกระจกรถให้ช้ผ้าสำลีเช็ดทำความสะอาดแทน เพราะฟองน้ำล้างรถอาจจะมีเม็ดทรายติดอยู่ในรูพรุนของฟองน้ำ อาจทำให้เกิดรอยสร้างความเสียหายให้กับรถยนต์ได้ค่ะ ใช้ฟองน้ำล้างแยกส่วน ขั้นตอนนี้เป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเสียหายต่อรถของคุณได้ เราจึงต้องควรแยกฟองน้ำล้างรถตามส่วนต่างๆ ของตัวรถ เช่น ฟองน้ำอันแรกใช้ทำความสะอาดหลังคารถ ฝากระโปรงหน้า ฝากระโปรงหลัง ผ้าสำลีใช้ทำความสะอาดกระจกรถและขอบต่าง ๆ ฟองน้ำอีกอันใช้ล้างล้อรถ และส่วนที่มีคราบสกปรกมากๆ ล้างน้ำเปล่าทันที เมื่อทำความสะอาดรถด้วยน้ำยาล้างรถเสร็จแล้ว ต้องล้างน้ำเปล่าทันที ก่อนที่จะไปล้างส่วนอื่นต่อและต้องทำแบบนี้กับทุกส่วนของรถ จากนั้นจึงค่อยล้างรถยนต์ด้วยน้ำเปล่าทั้งคันอีกครั้ง ใช้น้ำยาขจัดรอยเปื้อน หากล้างรถเสร็จเรียบร้อยแล้วยังพบคราบหรือรอยเปื้อน ให้ใช้น้ำยาขจัดรอยเปื้อนสำหรับรถโดยเฉพาะทำความสะอาดทันที หลังล้าง เช็ดรถให้แห้งทันที ขั้นตอนสุดท้าย เมื่อเราทำความสะอาดรถเสร็จครบทุกขั้นตอนแล้ว ควรใช้ผ้านุ่มๆ ที่ซับน้ำได้ดีหรือผ้าซามัวร์มาเช็ดรถ โดยเฉพาะกระจกหน้ารถ ด้านในฝากระโปรงด้านในบริเวณขอบประตู และด้านในฝาถังน้ำมัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดคราบน้ำ รวมทั้งฝุ่นที่จะมาเกาะกับพื้นผิวรถ ข้อห้ามสำคัญ ที่ห้ามทำขณะล้างรถ ข้อห้ามสำคัญในการล้างรถ นั่นก็คือ “ห้ามล้างรถกลางแดด” เนื่องจากจะทำให้น้ำแห้งเร็วจนเราเช็ดทำความสะอาดไม่ทัน แล้วอาจเกิดเป็นคราบน้ำเกาะบริเวณพื้นผิวรถยนต์ได้ และไม่ควรล้างในช่วงเย็นหรือกลางคืน เพราะหากเราเช็ดไม่แห้งสนิทก็อาจทำให้เกิดสนิมขึ้นในพื้นที่ที่ไม่แห้งได้ และข้อห้ามข้อสุดท้าย ไม่ควรใช้ผ้าชุปน้ำล้างรถ แทนฟองน้ำล้างรถ เพื่อป้องกันเศษฝุ่นหรือเม็ดทรายที่ติดผ้าจะทำให้เกิดรอยขีดข่วนกับตัวรถได้ นอกจากนี้ไม่แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์อื่น เช่น น้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก มาใช้แทนน้ำยาล้างรถ เนื่องจากจะเป็นการทำลายให้สีรถหมองในระยะยาว และไม่ควรใช้ไม้ขนไก่ปัดฝุ่น เพราะอาจเกิดรอบขีดข่วนต่อตัวรถได้ ขั้นตอนการทำความสะอาดภายในตัวรถ เป็นขั้นตอนสำคัญที่หลายๆ คนคิดว่ายากแต่วันนี้เรามีวิธีการล้างภายในตัวรถมานำเสนอ และทุกคนามารถไปทำตามกันได้ค่ะ 1) กำจัดเศษสิ่งสกปรกต่างๆ ออก เริ่มต้นด้วยการจำกัดเศษสิ่งสกปรกที่อยู่ภายในรถออกก่อน ด้วยการเก็บของที่จำเป็นออกเพื่อให้สะดวกต่อการเก็บกวาด จากนั้นเริ่มต้นเก้บกวาดเอาเศษสิ่งสกปรกออกด้วยมือ หลังจากนั้นนำเครื่องดูดฝุ่นดูดฝุ่นซ้ำเพื่อกำจัดฝุ่นเล็กๆ น้อยๆ ออกไป ทั้งบนเบาะและบนพื้น 2) เช็ดเบาะไวนิลและเบาะหนัง ขั้นตอนต่อไปเป็นขั้นตอนการล้างส่วนภายในโดยเริ่มทำความสะอาดจากเบาะผ้าไวนิลหรือเบาะหนังด้วยการใช้ผ้าเปียกหมาดเช็ดให้ทั่ว หรือจะใช้ผ้าแบบ wipe ที่ออกแบบมาสำหรับเช็ดเบาะหนังและไวนิลก็ได้ โดยผลิตภัณฑ์จำพวกนี้ เหมาะสำหรับการใช้เช็ดอุปกรณ์ภายในรถ แต่ก่อนจะให้ควรอ่านคำแนะนำและวิธีการใช้งานให้ดีก่อนใช้งานนะคะ 3) ซักเบาะผ้าถ้าจำเป็น ถ้าหากรถเป็นเบาะผ้า สามารถซักเบาะได้เมื่อจำเป็น ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับซักพรม หรือสำหรับซักเบาะผ้าในรถที่มีขายตามแผนกอุปกรณ์รถทั่วไป และก่อนจะใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้อย่าลืมทดสอบผลิตภัณฑ์ก่อนว่าจะไม่ทำให้เบาะรถของเรานั้นมีสีซีดหรือจางลง โดยให้ทดสอบบริเวณที่ไม่เป็นจุดสังเกตุเพื่อดุผลลัพธ์ 4) ทำความสะอาดหน้าต่างด้านใน อย่าลืมทำความสะอาดหน้าต่างด้านใน สามารถใช้ที่เช็ดกระจกทั่วไปหรือกระดาษทิจชู่เช็ดก็ได้ค่ะ แต่พอเช็ดเสร็จเรียบร้อยแล้ว มักจะทั้งคราบฝุ่นอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นใช้ผลิตภัณฑ์เช็ดกระจกสำหรับรถยนต์ หรือผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง แต่ระวังอย่าใช้น้ำยาเช็ดกระจกที่มีส่วนผสมของแอมโมเนีย เพราะจะทำให้กระจกรถเป็นรอยได้ค่ะ 5) ลงน้ำยาเคลือบหนังและผ้าไวนิล หลังจากที่ทำความสะอาดล้างด้านในตัวรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ลงน้ำยาเคลือบหนังและไวนิล ลงบนเบาะ เพื่อปกป้องและป้องกันดูแลเบาะรถให้มีสภาพดีอยู่ตลอด โดยน้ำยาเคลือบเบาะนี้จะช่วยให้ภายในตัวรถไม่มีฝุ่นเกาะ และปกป้องวัสดุจากแสงแดดรวมทั้งลดรอยแตกต่างๆได้ด้วย การลงแว๊กซ์หลังล้างรถ ในการดูแลการล้างรถในขั้นตอนสุดท้าย ควรการหาผลิตภัณฑ์ แว๊กซ์ (Wax) มาใช้เคลือบสีนอกจากจะเป็นเกราะป้องกันชั้นแรก มันยังทำให้สีรถของคุณ ดูเงางามขึ้นมาอีกด้วย เพราะการแว๊กซ์จะเปรียบเสมือนเกาะป้องกันรอยขีดข่วนให้ตัวรถ แว็กซ์จะทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันโดยมันมีการสร้างชั้นฟิล์มบางๆ มาเคลือบทับกับสีรถนั่นเอง ซึ่งการแว็กซ์สีรถเป็นประจำมันจะช่วยเพิ่มชั้นป้องกันรถ ซึ่งจะทำให้ผิวรถมีความลื่น ช่วยป้องกันคราบสกปรกต่าง ๆ ทำให้คราบไม่สามารถเกาะติดบนสีรถได้ เหมือนกับใบบอนที่น้ำจะกลิ้งไปกลิ้งมาทำให้เราล้างรถได้ง่ายมากขึ้น แล้วยิ่งถ้าเลือกใช้แว๊กซ์ที่มีคุณภาพสูงๆ ก็สามารถป้องกันได้แม้กระทั้งกรวดเล็กกันเลย และข้อดีอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับตัวรถเมื่อต้องการขายต่อรถมือสอง สีของรถเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ราคารถดีหรือไม่ดี แต่หากสีรถของคุณเป็นสีเดิมจากโรงงานและยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ สิ่งนี้มันจะสามารถบ่งบอกได้ว่า คุณเป็นคนที่ใช้รถอย่างทะนุถนอม ดูแลรักษารถดี มันทำให้ผู้ชื้อเกิดความเชื่อใจได้ราคาดีนั่นเอง และข้อสุดท้ายแว็กซ์ยังกันน้ำที่ต้องกันน้ำเพราะในบางสภาพอากาศการที่ฝนตกลงมาอาจมีสภาวะเป็นฝนกรด ซึ่งอาจเกิดความเสียหายต่อสีรถได้ เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับวิธีการล้างรถที่เรานำมาเสนอให้อ่านกัน ที่ผ่านมาทุกคนล้างรถด้วยวิธีการที่ถูกต้องกันหรือเปล่าเอ่ยหรือล้างครบทุกขั้นตอนที่เรานำเสนอไปไหมคะ หากยังล้างไม่ถูกต้องสามารถนำขั้นตอนที่เรานำมาเสนอไปปฏิบัติกันนะคะ รับรองว่าเป็นการดูแลรถที่ถูกต้องและทำให้รถของทุกคนดูใหม่และสุขภาพดีอยู่ตลอดแน่นอน
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการดูแลรถสักคันนั้นยากเกินไปสำหรับมือใหม่ จะทำตามคู่มือไหนก็ลำบากไปหมด จนบางทีก็เผลอละเลยจุดเล็กจนกลายเป็นปัญหาใหญ่แบบไม่รู้ตัว วันนี้เราจึงมาแชร์เคล็ดลับง่ายๆ ที่ไม่ว่าหญิงหรือชายก็สามารถนำไปลองทำได้สบายๆ เป็นประจำทุกวัน บทที่ 1 เช็กลมยาง เริ่มจากเรื่องพื้นฐานง่ายๆ ที่ไม่ว่ามือใหม่หรือใครๆ ก็สามารถทำเองได้ นั่นก็คือการเช็กลมยางของรถยนต์นั่นเอง ซึ่งผู้ใช้รถส่วนใหญ่มักจะละเลย และส่งผลให้ลมยางนั้นจะอ่อนลงไปทุกวันเนื่องจากการใช้งาน นานวันเข้าก็จะทำให้ยางเสื่อมสมรรถภาพไวกว่าปกติ ลมยางมาตรฐานของล้อรถยนต์จะระบุอยู่ข้างประตูคนขับ ซึ่งเราสามารถตรวจเช็กได้ด้วยตัวเองเลย ดังนั้นหากเราจะเริ่มดูแลรถก็ควรเริ่มจากการตรวจเช็กลมยางนี่แหละ ลองก้มดูด้านล่างสักนิด เพื่อตรวจเช็กลมยางสักหน่อยก่อนออกจากบ้าน อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพื่อความปลอดภัย พร้อมทั้งดูด้วยว่ายางรถยนต์ไม่มีสิ่งปกติทิ่มคาอยู่ มั่นใจได้เลยว่าหลังจากนี้คุณจะรู้สึกดีขึ้นทุกครั้งที่ขับขี่ ที่สำคัญ! การเติมลมยางที่เหมาะสมช่วยประหยัดน้ำมันด้วยนะ อย่าลืมไปลองทำกัน Tips : ลมยางสูงสุดที่เติมได้ไม่ควรเกินที่ระบุไว้บริเวณแก้มยางนะ บทที่ 2 เช็กที่ปัดน้ำฝน ที่ปัดน้ำฝนเป็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่อยู่นอกสายตาเสมอ เมื่อใช้รถไปสักระยะ ยางปัดน้ำฝนก็อาจเสื่อมสภาพไปไม่น้อย เนื่องจากมีสิ่งสกปรกอย่าง ฝุ่น ทราย หรือเศษหินขนาดเล็ก เกาะติดอยู่ระหว่างยางใบปัดกับกระจก หากเราต้องการดูแลรถให้มีสภาพใหม่และสวยงามเหมือนซื้อใหม่อยู่เสมอ ให้สังเกตเวลาใช้งานอยู่เสมอว่าที่ปัดน้ำฝนต้องไม่ทิ้งลอยคราบต่างๆ ไว้ หรือปัดแล้วมีเสียงดังกว่าปกติ ถ้าหากเกิดอาการดังกล่าวแสดงว่าถึงเวลาต้องรีบเปลี่ยน เป็นอีกหนึ่งวีธีดูแลรถง่ายๆ ที่สามารถทำเองได้ บทที่ 3 เช็กสัญญาณไฟเตือนที่หน้าปัด แผงหน้าปัดที่แสดงสัญญาณไฟเตือนด้านหน้าพวงมาลัย เป็นอีกหนึ่งจุดที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับผู้ใช้รถมือใหม่ หลายคนอาจจะไม่ค่อยได้สังเกตหรือใส่ใจ จะก้มลงมองก็เฉพาะตอนที่นึกสงสัยว่าตอนนี้น้ำมันเหลืออยู่แค่ไหน แต่เราอยากให้คุณคอยสังเกตอยู่เสมอว่า ในขณะขับขี่รถยนต์อยู่นั้นมีไฟสัญญาณเตือนอะไรผิดแปลกขึ้นมาหรือไม่ ถ้าหากมี เราแนะนำให้คุณควรหาเวลานำรถคู่ใจไปตรวจเช็กที่ศูนย์ทันที เพราะสัญญาณไฟนั้นเป็นสัญญาณเตือนที่ช่วยให้เรารู้ตัวก่อนที่ปัญหาจะลุกลามไปมากกว่าเก่า บทที่ 4 เช็กแบตเตอรี่ หลายคนอาจจะมองว่าแบตเบอรี่รถยนต์เป็นส่วนที่ไม่สามารถดูแลรักษาได้ด้วยตนเอง แต่ความจริงแล้วเราสามารถตรวจเช็กแบตเตอรี่เบื้องต้นเองได้ เพียงตรวจสอบสภาพตัวแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอว่ามีความเสียหายใดๆ หรือไม่ ลองสังเกตสีที่แตกต่างกันของช่องตาแมวแบตเตอรี่ ซึ่งแต่ละลูกจะมีสีที่บอกสถานะของแบตที่แตกต่างกัน โดยสามารถศึกษาคำอธิบายสีต่างๆ ได้จากสติ๊กเกอร์บนตัวแบตเตอรี่ นอกจากนี้ยังควรตรวจสอบระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่ ไม่ให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าที่ควรอยู่เสมอ โดยแบตเตอรี่แบบเติมน้ำกลั่นควรตรวจเช็กทุกๆ 1 เดือน แบบกึ่งแห้งควรตรวจเช็กทุกๆ 6-12 เดือน หากรู้สึกว่าที่กล่าวไปนั้นยากเกินไป มี วิธีตรวจเช็คที่ง่ายที่สุดคือ ลองสังเกตว่า หากรถสตาร์ทติดยาก และเป็นแบตเตอรี่ที่ใช้อายุนานเกิน 2 ปี สันนิษฐานได้เลยว่าแบตเตอรี่ใกล้หมดอายุแล้ว ควรเปลี่ยนทันที Tips : ระวังอย่าเติมน้ำกลั่นจนเต็มหรือล้นจนเกินไปเพราะน้ำกลั่นที่อยู่ในแบตเตอรี่จะล้นออกมากัดกร่อนตัวถังรถและชิ้นส่วนต่าง ๆ เสียหายได้ บทที่ 5 เช็กน้ำมันเครื่อง มาถึงข้อสุดท้าย อ่านหัวข้อแล้วอาจจะรู้สึกว่ายาก ไม่เห็นจะง่ายเลย ก็อย่าเพิ่งปิดหน้านี้ทิ้งไป ความจริงแล้ว เราสามารถตรวจเช็กน้ำมันเครื่องเบื้องต้นด้วยตัวเองได้ โดยต้องอุ่นเครื่องยนต์จนถึงอุณหภูมิทำงานก่อน จอดรถให้อยู่ในแนวระนาบไม่ลาดเอียง หลังจากนั้นดับรถ รอ 1-3 นาทีแล้วจึงเปิดฝากระโปรงรถยนต์ มองหาก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องและดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมา จากนั้นใช้ผ้าสะอาดเช็ดน้ำมันเครื่องที่ติดอยู่กับก้านออก แล้วเสียบก้านวัดน้ำมันเครื่องคืนกลับไปจุดเดิม และสุดท้ายท้ายด้วยดึงก้านวัดออกมาอีกครั้งหนึ่งเพื่อตรวจดูระดับน้ำมันเครื่องที่ปลายก้านวัด ถ้าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่าง F กับ L หรือ Max กับ Min แสดงว่า ระดับน้ำมันเครื่องปกติ ไม่มากจนเกินไปและไม่น้อยจนเกินไป ควรหมั่นตรวจเช็กเป็นประจำ 1-2 ครั้ง/สัปดาห์ หรืออย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่ามีปริมาณน้ำมันเพียงพอสำหรับหล่อลื่นให้กับเครื่องยนต์ทั้งระบบ และปลอดภัยในทุกการขับขี่ เห็นไหมว่า 5 วิธีดูแลรถเบื้องต้นที่ให้ไป ง่ายนิดเดียว เหมาะสำหรับมือใหม่ เป็นวิธีที่สามารถสังเกต และทำด้วยตัวเองได้เป็นประจำ โดยไม่ต้องง้อใคร แต่ถ้าคุณยังรู้สึกว่ายากเกินไปที่จะทำด้วยตัวเอง เราแนะนำว่า ให้พารถคู่ใจของคุณเข้ามาตรวจเช็กที่อู่ของเรา SCG Performance อู่ซ่อมรถมาตรฐาน บริการด้วยความตั้งใจ รับตรวจเช็กและซ่อมดูแลรถโดยช่างมากประสบการ์ณ ยืนยันว่าเซอร์วิสครบจบในที่เดียว Quick Wash x SCG Performance