แม้ยุคนี้จะเป็นยุคที่รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไร้คนขับกำลังมีบทบาทและได้รับความสนใจจากคนทั่วโลก แต่รถยนต์คลาสสิกก็ยังเป็นความเก๋าที่ไม่เคยเก่าอยู่ ผู้คนในวงการยานยนต์ยังคงสนใจและสะสมรถยนต์คลาสสิกกันเป็นจำนวนมาก รถยนต์คลาสสิกเก่าๆ กลายเป็น Rare Item ที่นักสะสมยอมจ่ายเพื่อเก็บไว้เป็นหนึ่งในคอลเล็กชัน อะไรที่ทำให้รถคลาสสิกยังคงความคลาสสิกไม่เปลี่ยนแปลง มาดูกัน นิยามของ รถยนต์คลาสสิก คือ? หากพูดถึงนิยามของ รถคลาสสิก (Classic Car) คนส่วนใหญ่อาจกล่าวรวมๆ ว่าหมายถึงรถยนต์เก่า หรือรถยนต์ที่ได้รับความนิยมในอดีต ผู้ที่หลงใหลในรถยนต์บางกลุ่ม อย่าง Classic Car Club of America ได้นิยามว่ารถยนต์คลาสสิก คือ รถยนต์ในช่วงก่อนปี ค.ศ. 1948 เท่านั้น แต่ก็มีอีกกลุ่มที่ให้นิยามตามรสนิยมว่ารถยนต์คลาสสิกคือ รถยนต์ที่มีรูปลักษณ์และลักษณะที่ดูคลาสสิก แม้ว่ารถคันนั้นจะผลิตหลังปี ค.ศ. 1948 ก็ตาม เช่น ฟอร์ด มัสแตง โฉมแรก อีกทั้งยังมีอีกกลุ่มจากฟากฝั่งยุโรปอย่างประเทศอังกฤษ ที่สรุปนิยามของรถยนต์คลาสสิกไว้อย่างเข้าใจง่ายว่า ถ้าหากพิจารณาเฉพาะช่วงเวลาที่ผลิต รถยนต์คลาสสิก (Classic Car) หมายถึง รถยนต์ที่ผลิตขึ้นตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ปี ค.ศ. 1945) จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1977 (ตามกฎหมายการยกเว้นภาษี Road Tax ของอังกฤษประจำปี 2018 ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปตามระยะเวลาในอนาคต) แต่ทั้งนี้ การจะพิจารณาว่ารถยนต์ยี่ห้อไหน หรือรุ่นใด เข้าข่ายการเป็นรถยนต์คลาสสิกนั้น มีการตีความที่ซับซ้อนมากกว่าการพิจารณาจากปีที่ผลิต เนื่องจากในแต่ละปีมีการผลิตรถยนต์ขึ้นจำนวนมหาศาล การจัดกลุ่มว่ารถรุ่นใดเข้าข่ายเป็นรถคลาสสิก จึงอาจต้องพิจารณาในด้านคุณค่า คุณภาพ ความพิเศษ การออกแบบ ความนิยม และอื่นๆ ประกอบไปด้วย จึงจะถือได้ว่ารถรุ่นดังกล่าวนั้นเป็นรถคลาสสิกอย่างแท้จริง โดยวิธีที่จะใช้ในการพิจารณาเรื่องคุณค่าหรือความพิเศษต่างๆ นั้น สามารถพิจารณาโดยรวมได้จากดัชนีชี้วัดในด้าน “ราคาตลาด” ซึ่งในที่นี้หมายถึงราคาตลาดที่เป็นสากล ซึ่งรถยนต์คลาสสิกนั้นจะเป็นรถที่มีแนวโน้มของราคาตลาดอยู่ในลักษณะ “ไม่เสื่อมราคาลง” (Stop Depreciate) แต่กลับจะ “มีมูลค่าเพิ่มขึ้น” สรุปง่ายๆ คือ “รถยนต์คลาสสิก หมายถึง รถยนต์ที่ผลิตขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1945 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1977 และมีคุณค่าเพิ่มขึ้นผ่านกาลเวลา” โดยรถยนต์ที่มีมูลค่าในตลาดเพิ่มขึ้นพิจารณาได้จากหลายปัจจัย อาทิเช่น รถยนต์รุ่นที่ราคาโดยทั่วไปในปัจจุบันสูงกว่าราคาผลิตในช่วงปีที่เปิดตัวหรือออกขายใหม่ๆ หรือรถยนต์ที่มีเจ้าของมาก่อน (pre-owned) เป็นรุ่นที่ราคาในปัจจุบันสูงกว่าราคาเมื่อหลายปีก่อนหน้า ทั้งที่มีสภาพเหมือนๆ กัน โดยจะต้องดูราคาเฉลี่ยทั่วๆ ไปในตลาด ไม่ใช่ราคาเฉพาะเพียงคันสองคันเท่านั้น โดยสามารถแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ดังนี้ รถยนต์ โมเดิร์น คลาสสิก (Modern Classic) : หมายถึง รถยนต์ที่มีแนวโน้มที่จะมีมูลค่าสูงขึ้น แต่ไม่ได้ผลิตก่อน 1 มกราคม 1978 เช่น Ferrari 328, McLaren F1, Lamborghini Diablo, Lotus Esprit S4, Mercedes Benz C126, Aston Martin DB7 รถยนต์ ฟิวเจอร์ คลาสสิก (Future Classic Car) : หมายถึง รถยนต์ที่มีคุณภาพสูง มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ แม้ในปัจจุบันมูลค่าอาจจะยังไม่ได้ขยับตัวสูงขึ้น แต่ก็เป็นที่เชื่อมั่นจากนักสะสม และเหล่าผู้ที่หลงใหลในรถยนต์จำนวนมากว่า อาจะเป็นรถยนต์ที่มีแนวโน้มว่าจะมีมูลค่าราคาสูงขึ้น ไม่ว่าจะผลิตก่อน 1 มกราคม 1978 หรือไม่ก็ตาม เช่น Porsche Boxster 986, BMW Z3, Mercedes Benz SLK R170, Mazda MX-5, Lotus Elise, Aston Martin (all models) ส่วนรถยนต์ที่ยังคงมูลค่าทรงตัว และมีแนวโน้มราคาต่ำลง แม้ว่าจะผลิตก่อน 1 มกราคม 1978 ก็ตาม ถ้าหากว่ารถยนต์กลุ่มนั้นไม่ได้รับความนิยม และไม่มีความเชื่อมั่นจากวงการรถยานยนต์ว่าจะมีมูลค่าสูงขึ้นในอนาคตอันใกล้ ก็ยังคงต้องถือว่าเป็น “รถเก่า” ทั่วๆ ไปนั่นเอง ตัวอย่าง รถยนต์คลาสสิก ยอดนิยม จากที่เราพยายามหาคำนิยามมากมายมาจำกัดความให้กับรถยนต์คลาสสิก ตอนนี้ถึงเวลาพาทุกคนมารู้จักสุดยอดรถยนต์คลาสสิกที่ทั้งเก๋า และไม่เคยเก่า แถมยังเป็นรถยนต์คลาสสิกรุ่นโปรดในดวงใจของหลายๆ คนอีกด้วย จะมีรุ่นอะไรบ้าง มาดูกัน Volkswagen Beetle ความเก๋าของรถเต่าในตำนาน หรือ Volkswagen Beetle ครองใจผู้หลงใหลรถยนต์คลาสสิกแนวน่ารักๆ มานานกว่า 80 ปี เป็นรถยนต์รุ่นแรกของค่ายรถยนต์ Volkswagen โดยเป็นรุ่นที่ออกแบบเพียงครั้งเดียว แต่สามารถทำยอดขายได้สูงสุด และผลิตเป็นระยะเวลานานที่สุดในประวัติศาสตร์ยานยนต์ Mercedes-Benz 300SL รถยนต์คูเป้เปิดประทุนสุดหรูหราที่ประสบความสำเร็จเรื่องครองการแข่งรถสปอร์ตในช่วงต้นยุค 50 ทั้งสวยและดูดียกระดับให้ผู้ใช้ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แม้จะเป็นรถเก่า แต่ยังคงสวยในสายตาสาวกแบรนด์ Mercedes-Benz เสมอ Porsche 911 Porsche 911 คันแรกนั้นถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1963 โดยถูกผลิตขึ้นมาแทนที่ Porsche 356 และได้กลายมาเป็นขวัญใจกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบรถสปอร์ตอย่างกว้างขวางในขณะนั้น ปัจจุบันรถคลาสสิกรุ่นนี้ได้กลายเป็นรุ่นที่เก่าที่สุดของค่าย Porsche ที่ยังดำเนินสายการผลิตอยู่ และเป็นหนึ่งในชื่อรุ่นประเภทคูเป้ที่เก่าที่สุดในโลกอีกด้วย BMW 3.0 CSL สุดยอดรถสปอร์ตคูเป้ในปี ค.ศ. 1971 แม้กาลเวลาจะเดินทางผ่านไปถึง 40 กว่าปีแล้ว ความงดงามคลาสสิกของตัวรถรุ่นนี้กลับยิ่งเพิ่มสูงขึ้น ทั้งสเปคเเละสมรรถนะของรถ ทำให้รถรุ่นนี้เป็นที่หมายปองของนักเล่นรถทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบัน Jaguar E type รถยนต์รุ่นนี้ได้รับการขนานนามมาอย่างยาวนานว่าเป็นรถสปอร์ตที่สวยตลอดกาล โดยผลิตออกสู่ตลาดตั้งแต่ปี 1961 ซึ่งมีการพัฒนาเครื่องยนต์อย่างต่อเนื่องจนเป็นขวัญใจนักซิ่งหลายๆ คน Ford Mustang 1965 Ford Mustang รถยนต์สายพันธุ์อเมริกันเปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 1964 มีดีไซน์แนวสปอร์ตแข็งแรง จนถูกนำไปใช้ในภาพยนตร์เรื่อง The Fast and the furious จนทำให้มีกระแสความนิยมมากกว่าแต่ก่อนขึ้นไปอีก Nissan Skyline รถยนต์รุ่นนี้เป็นที่รู้จักในฐานะของรถครอบครัวตระกูลชั้นสูง มีคลาสระดับหรูหรา ถูกผลิตในปี ค.ศ. 1968 – ปี ค.ศ. 1972 และยังได้รับความนิยมมาถึงทุกวันนี้ Honda NSX Type R Honda NSX มีการใช้อากาศพลศาสตร์และการออกแบบที่ล้ำสมัย ก้าวข้าม หรือเทียบเท่าความสามารถเครื่องยนต์ V8 ของ Ferrari ในยุคนั้น โดยเป็นรถสปอร์ตสมรรถณะสูงจากดินแดนปลาดิบอย่างญี่ปุ่น ที่ทุกวันนี้ยังมีความต้องการของตลาดสูงอยู่ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงรถยนต์คลาสสิกยอดนิยมบางส่วนเท่านั้น ยังมีรุ่น Volvo P1800, AC COBRA, Chevrolet chevelle ss, Aston Martin, Toyota Supra, Mitsubishi Evo, Subaru Impreza, และอีกมากมายที่เราไม่ได้กล่าวถึง แต่ได้รับความนิยมสูงมากในตลาดและวงการรถยนต์คลาสสิก ครั้งหน้าเราจะเอาสาระที่น่าสนใจเกี่ยวกับวงการรถยนต์คลาสสิกเรื่องไหน หรือรุ่นใดมากฝากอีก กดติดตาม (Subscribe) ไว้ก่อนได้เลย เพื่อไม่ให้พลาดบทความดีๆ จากพวกเรา
รถสั่นเป็นเจ้าเข้า ปัญหาที่ทำให้คนรักรถอย่างเราต้องเกาหัว สตาร์ทรถทีไรเครื่องยนต์ก็เกิดอาการสั่นสะเทือนเหมือนแผ่นดินไหว สวิงขึ้นๆ ลงๆ หนักเข้าท่อไอเสียก็มีควันดำออกมา โดยปัญหาน่าปวดใจเหล่านี้อาจมาจาก “รอบเดินเบาไม่นิ่ง” แต่จะแก้ยังไงไม่ให้เกิดขึ้นอีก เราจะพามาขุดหาต้นตอของปัญหานี้ เพื่อแก้ไขให้มันจบได้ตรงจุดจริงๆ แต่ก่อนจะแก้ไขเราต้องเข้าใจซะก่อน รอบเดินเบาคืออะไร? รอบเดินเบา คือ รอบเครื่องยนต์ขณะที่รถยนต์ไม่เคลื่อนที่แต่มีการสตาร์ทเครื่องยนต์ไว้โดยปกติ ซึ่งรอบเดินเบาปกติแล้ว เข็มจะเคลื่อนขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ถึงเลข 1 โดยรอบเครื่องจะอยู่ที่ช่วง 700 - 800 รอบ/นาที หากรอบเครื่องยนต์นั้นมีความผิดแปลกไปจากนี้ คุณอาจต้องเฝ้าระวังหรือรีบตรวจเช็คทันที เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่ารอบเดินเบาของคุณกำลังมีปัญหาอยู่ วิธีสังเกตง่ายๆ ที่มองเห็นได้ชัดที่สุดคือ เมื่อจอดรถให้หยุดนิ่ง เครื่องยนต์จะสั่นจนหวิดดับเหมือนกำลังจะขาดใจ สลับกับรอบเครื่องที่สวิงขึ้นลงช่วง 500 – 1,200 รอบ/นาที ซึ่งการเติมคันเร่งอาจช่วยไม่ให้เครื่องดับได้ แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ให้จบได้จริงๆ ปัญหานี้ก็ยังคงวนกลับมากวนใจอยู่เรื่อยไป หากไม่รีบแก้ อาจทำให้ไม่สามารถคุมรอบเครื่องยนต์ได้ จนนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุ รอบเดินเบาไม่นิ่งมักจะพบในรถเก่าอายุการใช้งานหลายปี แต่ไม่ว่าจะรถเก่าปีเยอะหรือรถใหม่ปีน้อยก็ควรระวัง เพราะตัวการสำคัญของเรื่องนี้คือความสกปรก และความเสื่อมสภาพของอะไหล่เครื่องยนต์ ส่งผลให้การทำงานของเครื่องยนต์นั้นผิดปกติไป แต่จะเกิดจากชิ้นส่วนไหนบ้าง เราจะมาสาเหตุที่แท้จริง และแก้ปัญหานี้ให้จบได้จริงๆ กัน รอบเดินเบาไม่นิ่ง อาจเกิดปัญหาจาก… มอเตอร์รอบเดินเบาสกปรก สาเหตุอันดับต้นๆ ที่ทำให้รอบเดินเบาไม่นิ่งก็คือ มอเตอร์รอบเดินเบา (Idle Speed Control) โดยมอเตอร์รอบเดินเบา ทำหน้าที่ควบคุมรอบเครื่องยนต์ให้คงที่ หากลองสังเกตแล้วพบว่าเครื่องยนต์มีอาการสั่น เราแนะนำให้เริ่มเช็คที่จุดนี้เป็นอันดับแรกก่อนเลย โดยอาการที่เกิดจากมอเตอร์รอบเดินเบาสกปรก คือ รถจะมีอาการเครื่องยนต์สั่น เมื่อจอดรถนิ่งอยู่กับที่ รอบเครื่องยนต์จะค่อยๆ ตกลง จนมีอาการสั่นสะเทือนและหวิดดับ มักเกิดขึ้นกับรถที่มีอายุการใช้งาน 5 ปีขึ้นไป แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน หากใช้งานอย่างหนัก สมบุกสมบัน รถใหม่ก็อาจเกิดอาการนี้ขึ้นได้เช่นกัน วิธีแก้ไขเบื้องต้น หากคุณพอมีความรู้พื้นฐานด้านเครื่องยนต์อยู่บ้าง เราสามารถแก้ไขมอเตอร์รอบเดินเบาสกปรกได้เอง โดยการถอดมอเตอร์รอบเดินเบาออกมาแล้วใช้แปรงสีฟันขัดด้วยน้ำมันเบนซินให้สะอาด คราบสกปรกจะติดอยู่โดยรอบตัวมอเตอร์ จากนั้นให้นำไปผึ่งลมให้แห้ง แต่ถ้าหากคุณไม่ค่อยมีความรู้พื้นฐานด้านเครื่องยนต์หรืออาจไม่มั่นใจ แนะนำว่าควรส่งไม้ต่อให้ช่างผู้เชี่ยวชาญจัดการให้ดีกว่า Tips : ขณะถอดมอเตอร์ออกมา ระวังอย่าให้แหวนโอริงหายโดยเด็ดขาด ลิ้นปีกผีเสื้อสกปรก ลิ้นปีกผีเสือ (Air Throttle) มีรูปลักษณ์เหมือนปีกผีเสื้อ ทำหน้าที่ควบคุมการไหลของอากาศภายนอกเข้าห้องเครื่องยนต์ เมื่อต้องทำงานคบคู่กับเครื่องยนต์ การที่ลิ้นปีกผีเสื้อสกปรกจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก อาจเกิดเขม่าดำ คราบเหนียว ไอน้ำมันเกาะที่ลิ้นปีกผีเสื้อตลอด และเกิดเป็นคราบสกปรกสะสม เกาะติดแน่น จนเป็นสาเหตุให้อากาศไม่สามารถเข้าไปช่วยในเรื่องของการเผาไหม้ได้ ทำให้รถรอบเดินเบาไม่นิ่ง สวิงขึ้นลง รอบเครื่องต่ำจึงทำให้เครื่องดับ เกิดอาการสั่นขณะเร่ง และอาจทำให้รถมีอาการกินน้ำมันมากยิ่งขึ้น วิธีแก้ไขเบื้องต้น เราควรตรวจเช็คและทำความสะอาดลิ้นปีกผีเสื้อเป็นประจำ ในทุกระยะการใช้งาน 20,000 – 30,000 กิโลเมตร หากคุณมีความรู้พื้นฐานเรื่องเครื่องยนต์ ลิ้นปีกผีเสื้อสามารถถอดมาทำความสะอาดได้เช่นกัน ซึ่งมีวิธีการคล้ายกับมอเตอร์รอบเดินเบา เพียงใช้สเปรย์ฉีดทำความสะอาดไปที่คราบน้ำมันและสิ่งสกปรกที่เกาะแน่นที่ลิ้นปีกผีเสื้อที่ถอดออกมา แล้วใช้แปรงขัดให้สะอาดหมดจดไปเลย เซนเซอร์ลิ้นปีกผีเสื้อ ระบบเซนเซอร์ลิ้นปีกผีเสื้อ ทำหน้าที่วัดปริมาณของอากาศที่ผ่านเข้าไปในท่อ เมื่อไม่ค่อยได้ดูแล เซนเซอร์ก็จะสกปรกและเกิดคราบฝังแน่น ส่งผลให้เครื่องยนต์เบาดับได้ วิธีแก้ไขเบื้องต้น หากมีความรู้พื้นฐาน คุณสามารถใช้สเปรย์ทำความสะอาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปในการทำความสะอาด จากนั้นเช็ดให้แห้ง เครื่องยนต์จะกลับมาใช้งานได้ปกติอีกครั้ง ในบางกรณีที่ลองทำแล้วอาการเหล่านี้ไม่หายไป ยังคงสั่นอยู่ แนะนำให้ขับรถคู่ใจไปเปลี่ยนเซนเซอร์ใหม่ได้เลย ท่อแวคคั่มรั่ว สายท่อแวคคั่ม (Vacuum) ทำหน้าที่ช่วยเร่งไฟจุดระเบิดในรอบเดินเบา ผู้ใช้รถรุ่นที่ผลิตก่อนปี 2000 อาจเจอกับปัญหานี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะรถทั้งแบบจ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด หรือคาบูเรเตอร์ ล้วนมีสายท่อแวคคั่มควบคุมการทำงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งท่อแวคคั่มนั้นทำจากสายยาง หรือซิลิโคน จึงเสื่อมสภาพตามอายุใช้งานเป็นเรื่องปกติ ควรตรวจเช็คและเปลี่ยนใหม่เรื่อยๆ เพื่อป้องกันการรั่วหรือแตก และส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานแบบไม่มีประสิทธิภาพ รอบเดินเบาไม่นิ่ง เครื่องยนต์สั่น ยิ่งถ้าจอดนิ่งติดไฟแดงก็มีโอกาสเครื่องดับสูงมากขึ้น วิธีแก้ไขเบื้องต้น หากมีความรู้พื้นฐาน ให้ลองตรวจสอบสายแวคคั่มทุกสาย ไล่ตรวจเช็คไปทีละเส้น หากพบรอยรั่วตรงจุดไหนให้ตัดออก แล้วสวมส่วนที่เหลือใส่กลับเข้าไป แนะนำว่าหากพบว่ามีสายแวคคั่มเส้นหนึ่งผิดปกติหรือเปื่อยทะลุ ให้เปลี่ยนยกเซ็ต เพราะสายอื่นย่อมมีสภาพที่ใกล้เคียงกัน หัวเทียนบอด หัวเทียนเป็นส่วนสุดท้ายที่เราอยากให้คุณไล่ตรวจสอบ เพราะมีความสำคัญต่อการสตาร์ทรถมาก ทำหน้าที่จุดระเบิดของเครื่องยนต์ โดยปล่อยกระแสไฟแรงดันสูง ไม่ต่ำกว่า 10,000 โวลต์ ทนความร้อนไม่ต่ำกว่า 2,000 องศาเซลเซียส เพื่อติดเครื่องรถยนต์ หากหัวเทียนบอด รถจะเกิดอาการสตาร์ทติดยาก เมื่อเครื่องยนต์ติดและจอดอยู่กับที่ รอบจะสวิงลงต่ำจนเกือบดับ หากเป็นขณะรถวิ่งก็จะมีอาการกระตุก สำลักความเร็ว และกินน้ำมันเชื้อเพลิงมากยิ่งขึ้น วิธีแก้ไขเบื้องต้น หัวเทียนบอดเป็นอาการที่ไม่สามารถซ่อมได้ มีเพียงวิธีการเปลี่ยนเท่านั้นที่ช่วยได้ แต่ราคาการเปลี่ยนหัวเทียนนั้นไม่สูงอย่างที่คิด สามารถซื้อหัวเทียนมือหนึ่งมาเปลี่ยนเองได้เลยหากมีความรู้พื้นฐานมากพอ เริ่มจากเปิดฝากระโปรงเครื่องยนต์ แล้วหาจุดที่ติดตั้งหัวเทียน เพื่อเปลี่ยนหัวเทียนใหม่ลงไปแทน จากนั้นลองสตาร์ทรถดูอีกครั้ง หากติดง่ายขึ้น และรอบเดินเบาไม่สะดุดก็แสดงว่าเราแก้ปัญหานี้ได้ตรงจุดแล้วจริงๆ เมื่อรู้ปัญหาที่แท้จริงแล้วว่าเกิดควรที่ส่วนไหน ควรรีบดำเนินการตรวจเช็คและแก้ปัญหาให้ถูกจุดทันที แม้รอบเดินเบาไม่นิ่งอาจเป็นเพียงปัญหากวนใจในตอนนี้ แต่มั่นใจได้เลยว่าหากละเลยจุดนี้ต่อไป อาจจะเพิ่มค่าใช้จ่ายจนกระเป๋าสตางค์รับไม่ไหวก็เป็นได้ และที่แย่ไปกว่านั้น คืออาจจะทำให้คุณและเพื่อนร่วมทางเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ รีบแก้ไขไว้ปลอดภัยกว่า แต่สำหรับมือใหม่ รวมถึงผู้ใช้รถที่ไม่มั่นใจ และไม่มีความรู้พื้นฐานด้านเครื่องยนต์มาก่อน ปัญหาในแต่ละส่วนที่บอกไปอาจยากที่จะตรวจเช็คและแก้ไขได้ด้วยตัวเอง เราแนะนำให้คุณหาศูนย์บริการที่เชื่อถือได้มาช่วยแก้ไขปัญหารอบเดินเบาไม่นิ่งให้กับคุณ หรือลองเปิดใจเข้ามาตรวจเช็คที่อู่ของเรา SCG Performance พร้อมตรวจเช็คเครื่องยนต์ และแก้ไขปัญหารอบเดินเบาได้อย่างตรงจุด โดยช่างมากประสบการณ์ มั่นใจได้ว่าเช็คครบ ซ่อมจบในที่เดียวครับ Quickwash x SCG Performance
ระบบช่วงล่าง เป็นอีกส่วนสำคัญที่ส่งผลต่อการขับเคลื่อนรถยนต์ โดยเฉพาะระบบเบรคและยางที่ทำหน้าที่ในการควบคุมรถ ความปลอดภัยของผู้ใช้ขึ้นอยู่กับการดูแลในส่วนนี้ แต่จะมีวิธีดูแลอย่างไรบ้าง เราจะมาแชร์ให้ได้ทุกคนรู้กัน แม้ระบบช่วงล่างจะประกอบด้วยส่วนสำคัญอีกหลายส่วน อาทิเช่น.. ลูกหมาก โช๊คอัพ และชุดคันส่ง แต่บทความนี้เราจะมาเจาะลึกวิธีดูแลระบบเบรกและยางที่ไม่ควรละเลยเป็นอันขาด เพื่อลดโอกาสเสี่ยงไม่ให้เกิด อุบัติเหตุ หรือปัญหาบานปลายที่เพิ่มค่าใช้จ่ายให้กับคุณ เราจึงควรดูแลให้ถูกหลัก เพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยในการขับขี่รถยนต์ แต่เบรกและยางจะมีวิธีแตกต่างกันอย่างไรบ้าง สัญญาณเตือน ถ้าละเลยระบบเบรก.. เหยียบเบรกไม่สุด : กำลังมีปัญหาเกี่ยวกับระบบเบรก อาจเป็นเพราะน้ำมันเบรคต่ำ หรือผ้าเบรกสึกแล้ว มีเสียงดังเวลาเหยียบเบรค : ตัวเหล็กที่ยึดติดกับแผ่นดิสค์เบรก ไปขูดกับขอบบนของจานเบรค ไฟหน้าปัดมีสัญญาณเบรกเตือน : เวลาเหยียบเบรกแล้วรู้สึกว่า ต้องออกแรงเหยียบมากขึ้น หากรถยนต์ของคุณกำลังเกิดอาการดังกล่าว แสดงว่าคุณกำลังละเลยระบบเบรก และถึงเวลาที่ต้องตรวจเช็คและดูแลอย่างละเอียด เพื่อรีบแก้ปัญหาเล็กๆ ก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ และทำให้คุณต้องเสียค่าซ่อมจนกระเป๋าฉีก หรืออาจจะนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุหรือความอันตรายต่อชีวิตได้ แต่จะมีวิธีดูแลอย่างไรบ้าง มาดูกัน วิธีดูแลระบบเบรก ระบบเบรก (Brake) หนึ่งในระบบช่วงล่างที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการชะลอความเร็วของรถ และหยุดรถ แต่หลายคนก็อาจละเลยและไม่ได้ตรวจเช็ค เพราะคิดว่ายังไม่มีปัญหา ยังเบรกอยู่ และบางคนก็คิดว่าเบรกอยู่ในจุดที่มองเห็นได้ยาก ไม่สามารถเช็คได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งยังมีอุปกรณ์มากมายหลายส่วนที่เกี่ยวข้องอีก ไม่ว่าจะเป็น จานเบรก ผ้าเบรก น้ำมันเบรก และสายต่างๆ แต่ความจริงแล้วเราสามารถตรวจเช็คและดูแลในขั้นเบื้องต้นได้ ดังนี้ 1. ตรวจเช็คผ้าเบรก ผ้าเบรก ถือว่าเป็นส่วนที่สึกหรอไวที่สุดในระบบเบรก เนื่องจากผ้าเบรกอาจมีเหล็กหรือเศษหินมาติดอยู่ หรืออาจเสียดสีกับจานเบรก ซึ่งอาจทำให้จานเบรกเป็นรอยได้ เราควรตรวจเช็คผ้าเบรกเสมอว่าเนื้อผ้าเบรกเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าความหนาลดลงเรื่อยๆ จนต่ำกว่า 3 มิลลิเมตร นั้นแสดงว่าเริ่มไม่ปลอดภัยแล้ว เพราะผ้าเบรกที่บางมากจะเกิดการสึกหรอได้รวดเร็วกว่าปกติหลายเท่า เนื้อผ้าเบรกอาจหลุดร่อนกะทันหัน ส่งผลให้แผ่นเหล็กเสียดสีกับจานเบรกจนเสียหาย หรือนำไปสู่เหตุการณ์อันตรายอย่าง เบรกแตก ได้ 2. ตรวจเช็คจานเบรก จานเบรกเป็นส่วนที่คดงอได้ง่าย ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นกับรถที่ใช้งานหนักแล้วเกิดความร้อนสะสมจะจานเบรกมีอุณหภูมิสูงจัด เมื่อขับรถผ่านจุดที่มีน้ำขัง หรือนำรถไปฉีดล้างทันทีก็อาจทำให้จานเบรกที่ทำจากโลหะเกิดอาการคดเบี้ยวอย่างเฉียบพลันได้ เราจึงควรเช็คจานเบรกอยู่เสมอ หากจานเบรกเบี้ยว คดงอ หรือมีร่องลึกเป็นเส้นยาวที่เกิดจากเศษหินเศษเหล็กมาติด ให้นำจานเบรกไปเจียหรือเปลี่ยนทันทีเลย ซึ่งควรได้รับการดูแลจากช่างที่มากประสบการณ์ เพราะหากเจียจานเบรกจนบางเกินไป อาจเกิดการแตกร้าวได้ 3.เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรก น้ำมันเบรกอาจจะมีอายุที่นานกว่าน้ำมันเครื่องจนละเลยไป แต่ความจริงแล้วเราควรเปลี่ยนน้ำมันเบรกอย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี หรือเปลี่ยนทุก 25,000 กิโลเมตร เพราะน้ำมันเบรกก็มีโอกาสเสื่อมสภาพเหมือนกับของเหลวเติมเครื่องยนต์ชนิดอื่นๆ เช่นกัน น้ำมันเบรกที่เปลี่ยนควรจะใช้ค่ามาตราเดิมตามคู่มือหรือตามที่ระบบเบรคนั้นๆ บอกไว้ เช่น DOT 4 ควรใช้ DOT 4 เท่านั้น ไม่ควรนำน้ำมันเบรกค่าอื่นๆ มาผสมลงไป เพราะอาจทำให้ลูกยางหรือท่อสายต่างๆ บวมได้ เป็นอีกจุดที่สำคัญมากและไม่ควรละเลย 4. ตรวจเช็คท่อและสายต่างๆ เราอาจจะไม่สามารถตรวจเช็คท่อและสายต่างๆ ได้ทั้งหมด เนื่องจากอาจมีส่วนที่ลึกลงไปใต้ท้องรถ แต่เราควรตรวจเช็คท่อและสายต่างๆ ที่สามารถมองเห็นจากด้านบนหรือห้องเครื่อง ว่าสายยังนิ่มอยู่ไม่เสียรูป หรือแตกร้าว หากเกิดอาการแข็งกระด้างมาก อาจทำให้น้ำมันเบรกอาจจะซึมออกขณะใช้งาน จนทำให้รถเบรกแตกได้ สัญญาณเตือน ถ้าละเลยเรื่องยางรถยนต์.. แก้มยางแตกและมีรอยร้าว : จอดรถกลางแดดเป็นเวลานาน จนยางเสื่อมสภาพ และเกิดรอยแตกที่เนื้อยาง ดอกยางสึก : หน้ายางสัมผัสพื้นถนนมากเกินไปจนสึกหรอ รู้สึกล้อสั่นสะเทือนผิดปกติ : เกิดช่องว่างระหว่างดุมล้อ และล้อแม็ก ลมยางอ่อนลงเร็วกว่าปกติ : อาจมีบางอย่างกำลังทิ่มหรือตำยางอยู่ ยางมีเสียงดังแปลกๆ : เกิดช่องว่างระหว่างดุมล้อ และล้อแม็ก หากยางรถยนต์ของคุณกำลังเกิดอาการดังกล่าว แสดงว่าคุณกำลังละเลยยางรถจนมันเกิดปัญหาเสียแล้ว ถึงเวลาที่ต้องตรวจเช็คและดูแลอย่างละเอียด เพื่อยับยั้งปัญหาที่จะบานปลาย ที่อาจจะนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุหรือความอันตรายต่อชีวิตได้ วิธีดูแลยางรถยนต์ ยางรถยนต์ เป็นส่วนที่เห็นได้ชัดและสังเกตได้ไม่ยาก แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าควรเปลี่ยนยางตอนไหน ควรดูแลยังไง เราจึงจะมาแชร์ทริคดูแลยางง่ายๆ ให้ทุกคน ดังนี้ ตรวจสอบความดันลมยาง หากยางของคุณลมอ่อน ยางจะสะสมความร้อนอยู่ในตัว และเป็นแผลแตกได้ง่าย และหากยางของคุณมีลมมากเกินไป ยางก็อาจระเบิด และดอกยางก็เสื่อมเร็วกว่ากำหนด การตรวจเช็คความดันลมยางนั้นสำคัญมาก หากละเลยอาจส่งผลให้ยางเสื่อมไว และทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงได้ ควรใช้ความดันลมยางให้เหมาะสมตามที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ห้ามบรรทุกเกินดัชนีน้ำหนัก การบรรทุกน้ำหนักเกินดัชนีน้ำหนักที่ยางกำหนดไว้ จะทำให้ขอบยางรับน้ำหนักมากเกินจนถูกบดทับทำให้เกิดรอยแตกลายงา และเสื่อมเร็วกว่าปกติได้ 3. หลีกเลี่ยงถนนขรุขระ สภาพถนนที่มีลักษณะขรุขระของหลุมบ่ออาจทำให้แก้มยางรถบวม ดอกยางลอก และเจาะยางแตกได้ หากได้รับแรงกระแทกสูง ยางรถอาจมีรอยแตก หรือรอยบุบได้ จึงควรหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ขรุขระหากไม่จำเป็น ไม่เพียงเพื่อความปลอดภัยแต่เพื่อยืดอายุการใช้ของยางให้นานยิ่งขึ้น 4. ขับขี่อย่างนุ่มนวล ยางของรถยนต์จะสึกหรอไปมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับขับขี่รถยนต์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการเบรกอย่างระมัดระวัง ไม่เบรกกะทันหัน การเปลี่ยนเกียร์อย่างนุ่มนวล การเร่งเครื่อง และการเข้าโค้งอย่างนุ่มนวล ก็มีส่วนช่วยยืดอายุของยาง ป้องกันไม่ให้ยางของคุณสึกหรอเร็วกว่าที่ควร 5. การเช็คดอกยาง เมื่อคุณใช้รถยนต์มาเป็นเวลานาน ยางของคุณอาจเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา แต่ไม่สามารถวางใจได้เลยว่าดอกยางของยางรถจะหมดสภาพไปแบบเท่าๆ กัน การตรวจเช็คดอกยางเป็นประจำทุกปีจะช่วยให้รู้สภาพยางของรถยนต์ในขณะนั้นได้เป็นอย่างดี ทุกวิธีดูแลระบบช่วงล่างในของส่วนของเบรกและยางที่เราแชร์ให้นั้น เป็นเพียงวิธีพื้นฐานที่ช่วยให้เราสามารถดูแลรักษาเบรกและยางให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานยิ่งขึ้นได้อย่างง่ายๆ ด้วยตัวเอง ทั้งนี้การจะดูแลและตรวจเช็คระบบเบรกและยางให้แม่นยำและถูกต้องครบจุดนั้น อาจต้องพึ่งพาความชำนาญการของช่างมืออาชีพ เพื่อให้คุณมั่นใจว่าดูแลได้ครบจุดและตรงจุด สร้างความปลอดภัยในทุกการขับขี่ เราขอแนะนำให้ SCG Performance เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการดูแลตรวจเช็คระบบช่วงล่างรถยนต์ให้กับคุณ หากพบปัญหา เจออาการไม่ว่าหนักหรือเบา เราพร้อมดูแลเต็มที่โดยช่างมากประสบการณ์ ลองเข้ามาตรวจเช็คเบรกและยางที่อู่ของเราได้นะครับ Quickwash x SCG Performance
Porsche 911 เป็นรถมีการเปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 1963 ย้อนกลับไป เมื่อ 57 ปีก่อน ในงานมหกรรมยานยนต์ Frankfurt IAA Motor Show (IAA อินเตอร์เนชั่นแนล ออโต้โมทีฟโชว์) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1963 ที่เมือง Frankfurt ประเทศเยอรมนี ได้มีการเปิดตัวรถยนต์สปอร์ต ภายใต้รหัส 901 ซึ่งถูกผลิตขึ้นมาแทนที่ Porsche 356 เป็นรถโชว์ตัวต้นแบบ จากนั้นจึงมีการเปลี่ยนรหัสรุ่นเป็น 911 และขึ้นสายพานการผลิตอย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 1964 เครื่องยนต์ที่ใช้เป็นแบบเบนซิน ที่ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ (Air-cooled engines) แบบ 6 สูบเรียงนอน (Flat-6) ให้พละกำลัง 130 แรงม้า ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง ความจุตัวถังขนาด 2.0 ลิตร มีชื่อเรียกฉายาว่า “Horn Grill” เนื่องมาจากเอกลักษณ์ที่มีช่องตรงตระแกรงข้างไฟเลี้ยว ซึ่งช่องดังกล่าว เป็นระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์ โดยระบายจากกระจังหน้ารถ ให้อากาศให้ไปถ่ายเทความร้อนข้างใน ตามมาติด ๆ ในปี ค.ศ. 1962 ด้วยรถยนต์รหัส 912 มาพร้อมเครื่องยนต์แบบ 4 สูบ และรหัส 911 S ที่มาพร้อมกับขุมพลังเครื่องยนต์ขนาด 160 แรงม้า ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 1966 อีกทั้งยังนับเป็นครั้งแรกกับการติดตั้งล้ออัลลอยด์จาก Fuchs มากับตัวรถอีกด้วย จนกระทั่งเดือนกันยายน ปีค.ศ. 1965 ในงานมหกรรมยานยนต์ International Motor Show ณ เมือง Frankfurt ได้เผยโฉม 911 Targa (ทาร์ก้า) รถสปอร์ตที่ผสมผสานรูปทรงของรถเปิดประทุนกับรถคูเป้ 2 ประตู ซึ่งได้รับการขนานนามว่า เป็นรถเปิดประทุนที่มีความปลอดภัย ด้วยอุปกรณ์นิรภัย Roll bar แบบติดตั้งถาวร งานดีไซน์หลังคา Targa คืองานดีไซน์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในรถยนต์เปิดหลังคาแบรนด์อื่น ถือเป็นต้นแบบให้กับรถสปอร์ตรุ่นหลัง ๆ ต่อมาในปี ค.ศ. 1967 ทางพอร์เชอ ได้พัฒนาระบบเกียร์แบบใหม่ ส่งผ่านกำลังแบบ Semiautomatic Sport-automatic 4 จังหวะเป็นครั้งแรก รวมทั้งในปีเดียวกัน ยังได้ปล่อยรถยนต์ 911 รุ่น T , E และ S เข้าสู่ตลาดด้วยเช่นกัน ส่งผลให้พอร์เชอ กลายเป็นโรงงานผลิตรถยนต์จากเยอรมนีเจ้าแรก ที่สามารถผลิตรถตามกฎและข้อกำหนดควบคุมการปล่อยไอเสียของสหรัฐอเมริกา 10 ปี หลังจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของรถยนต์ 911 Generation แรก ทางพอร์เชอ ก็ได้ทำการเปิดตัวรถรุ่นที่ 2 มีชื่อเรียกว่า G Model ซึ่งเริ่มไลน์การผลิตตั้งแต่ปี ค.ศ. 1973 จนถึงปี ค.ศ. 1989 ซึ่งถือได้ว่า เป็นรุ่นที่มีการผลิตยาวนานกว่า 911 เจเนอเรชั่นอื่น ๆ รถยนต์รุ่นนี้ ได้รับการติดตั้งชิ้นส่วนกันชนด้านล่าง โดยมีการปรับปรุงให้มีความหนาขึ้น ซึ่งเป็นนวัตกรรมการออกแบบเพื่อให้เข้ากับมาตรฐานการทดสอบการชนในสหรัฐอเมริกา เพื่อการส่งออกไปขายในประเทศ ความปลอดภัยในห้องโดยสาร ได้รับการพัฒนาด้วยเช่นกัน โดยมีการเพิ่มเติมเข็มขัดนิรภัย ถึง 3 จุด แบบ Three-Point มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานพร้อมกับรถ รวมทั้งเพิ่มที่พักศีรษะเข้าไป เพื่อความสบายแก่ผู้ขับขี่ ในปี ค.ศ. 1983 พอร์เชอ ได้ปล่อย 911 Carrera (คาร์เรร่า) Superseded SC ออกมา พร้อมเครื่องยนต์ขนาด 3.2 ลิตร ขุมพลัง 231 แรงม้า และรุ่นนี้ ยังได้กลายมาเป็นรุ่นยอดนิยมสำหรับนักสะสมอีกด้วย สำหรับผู้ที่ชื่นชอบรถเปิดประทุน ยังสามารถเลือกสั่งรถยนต์เปิดประทุนได้ตั้งแต่ ปีค.ศ. 1982 เป็นต้นมา จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1989 ได้มีการเปิดตัวรถยนต์อีกรุ่น ภายใต้ชื่อ 911 Carrera Speedster (คาร์เรร่า สปีดสเตอร์) ซึ่งเป็นรุ่นที่พัฒนาขึ้นมาจากแรงบันดาลใจจากรถยนต์รุ่น 356 ในช่วงปี 1950s นั่นเอง ใน ปี ค.ศ. 1969 พอร์เชอ ได้นำเสนอเครื่องยนต์ ที่มีพละกำลังมากขึ้น รวมถึงเพิ่มความจุของเครื่องยนต์จากเดิม 2.0 ลิตร เป็น 2.2 ลิตร และ เพิ่มเป็น 2.4 ลิตร ในปี ค.ศ. 1971 สำหรับรถยนต์ 911 Carrera RS (คาร์เรร่า อาร์เอส) ที่มาพร้อมกับพละกำลังเครื่องยนต์สูงสุด 210 แรงม้า ด้วยน้ำหนักที่เบากว่า 1,000 กิโลกรัม ได้ทำการเปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 1972 โดยมีความจุเครื่องยนต์ 2.7 ลิตร มีการติดตั้งสปอยเลอร์หลังแบบ “Ducktail” ซึ่งถือเป็นสปอยเลอร์ชิ้นแรกที่ได้รับการติดตั้งลงบนรถที่เข้าสายการผลิต พอร์เชอ ปล่อยรถยนต์ 911 Carrera 4 (คาร์เรร่า 4) ภายใต้รหัส 964 ออกมาเมื่อปี ค.ศ. 1988 ซึ่งเป็นรุ่นที่ได้รับการเปลี่ยนชิ้นส่วนของตัวถังใหม่หมดกว่า 85% หลังจากที่ใช้รูปแบบตัวถังเดิมมาเป็นเวลา 15 ปี ส่งผลให้ 911 Generation 3 นี้เป็นรถที่มีความทันสมัยมากขึ้น มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบแบบนอน 3.6 ลิตร ให้พละกำลัง 250 แรงม้า รหัสตัวถัง 993 เปิดตัวในปี ค.ศ. 1990 และได้กลายมาเป็นรถที่ผู้ขับขี่พอร์เชอต่างเทใจให้ โดยการพัฒนาพื้นฐานโครงสร้างใหม่ทั้งหมด ด้วยการใช้โครงสร้างอลูมิเนียม รวมถึงล้อแม็กอลูมิเนียมแบบ Hollow-spoke ซึ่งไม่เคยมีใช้กับรถรุ่นใดมาก่อน มีการเสริมกันชนเข้าไป เพิ่มประสิทธิภาพความมั่นคง อีกทั้งยังทรงตัวได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งถือว่าเป็นนวัตกรรมอันทันสมัยมากในสมัยนั้น ในปี ค.ศ. 1995 สำหรับรุ่น Turbo นั้น ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีการติดตั้งเครื่องยนต์ 6 สูบแบบ Bi-Turbo (เทอร์โบคู่) ซึ่งมีประสิทธิภาพในเรื่องของการปล่อยมลพิษได้ต่ำมากที่สุดในโลก ถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยม สำหรับรถขับเคลื่อนสี่ล้อในสมัยนั้น ตามมาด้วยการเปิดตัวของ 911 GT2 (จีที2) ที่ได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นรถสปอร์ตอันสมบูรณ์แบบ มาพร้อมกับความเร็วสูงแบบเต็มพิกัด รวมทั้งหลังคาและกระจกไฟฟ้า ถือได้ว่า 993 เป็นรุ่นสุดท้ายที่ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่นักสะสมตามหา รหัสตัวถัง 996 นี้ เปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 1997 โดยทำการตลาดเป็นรุ่นที่จำหน่ายเมื่อปี 1998 เป็นรุ่นที่เรียกได้ว่าคือจุดเปลี่ยนที่สำคัญของตระกูล 911 เลยก็ว่าได้ โดย 996 นี้ยังคงความเป็นตำนานแบบดั้งเดิมคลาสสิคอยู่ แต่มาพร้อมกับการออกแบบใหม่ทั้งหมด ด้วยการใช้ระบบเครื่องยนต์ที่ระบายความร้อนด้วยน้ำ (Water-cooled engines) มีพละกำลังสูงสุด 300 แรงม้า อีกทั้งยังรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยการลดการปล่อยมลพิษ เสียง รวมถึงประหยัดเชื้อเพลิงมากยิ่งขึ้น พอร์เชอ ได้ทำการเปิดตัว 911 Carrera และ 911 Carrera S เจเนอเรชั่นที่ 6 ภายใต้รหัสตัวถัง 997 เมื่อเดือนกรกฏาคม ปี ค.ศ. 2004 โดยมีรูปทรงย้อนกลับไปยุคคลาสสิคอีกครั้ง ด้วยไฟหน้าแบบวงรี ที่แยกออกจากไฟเลี้ยวมาอยู่ตรงมุมกันชน เป็นการระลึกถึง 911 รุ่นดั้งเดิม มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 3.6 ลิตร แบบ Boxer (เบนซิน 6 สูบนอน) กับพละกำลังสูงสุดที่ 325 แรงม้า Generation ที่ 7 นี้ เป็นที่รู้จักกันภายใต้ชื่อรุ่น 991 เปิดตัวเมื่อปี 2011 โดยทำการตลาดเป็นรุ่น 2012 เป็นรุ่นที่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาของเทคโนโลยีรวมทั้งความทันสมัย ที่รวมตัวอยู่ใน 911 คันนี้ เป็นเจเนอเรชั่นใหม่ ที่ได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพและสมรรถนะเครื่องยนต์เข้าสู่ยุคใหม่ ด้วยฐานล้อที่ยาวขึ้น กว้างขึ้น มาพร้อมกับยางที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ห้องโดยสารได้รับการพัฒนาตามหลักสรีระศาสตร์มากขึ้น เพื่อประสิทธิภาพในการขับขี่ที่ถูกผสมผสานเข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ สำหรับ 911 Generation ที่ 8 นี้ ถือว่าเป็น เจเนอเรชั่นล่าสุด ภายใต้รหัส 992 ทำการเปิดตัวครั้งแรกที่ Los Angeles Autoshow เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ปี 2018 โดยยังคงรูปทรงดั้งเดิมของ 911 ในอดีตมาผสมผสานกับความทันสมัยในปัจจุบัน มีการเพิ่มระยะของล้อทั้งหน้าและหลัง โครงสร้างของตัวถังใช้แพลตฟอร์มร่วมกับ Porsche 718 ซึ่งมีชื่อเรียกว่า MMB-Modular Mid-Engine อันเป็นโครงสร้างแบบใหม่ที่รองรับเครื่องยนต์วางกลางลำและเครื่องยนต์วางท้าย นอกเหนือจากความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครแล้ว ในส่วนของเทคโนโลยีก็ยังได้รับการพัฒนาให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา การออกแบบที่ลงตัว มาพร้อมกับฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครัน สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงเรื่องราวความสำเร็จ ที่มีใน 911 ทุก Generation ความเป็นรถสปอร์ตที่ควบคู่กับการใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน จะมีรถสักกี่รุ่นบนโลก ที่ยังสามารถยืนหยัดอยู่ในวงการได้อย่างแข็งแกร่งและยังคงประสบความสำเร็จ มานานถึง 5 ทศวรรษ ปัจจุบัน Porsche 911 ได้กลายเป็นรถที่มีความเก่าแก่ที่สุดของแบรนด์ ที่ยังดำเนินสายการผลิตอยู่ และเป็นหนึ่งในรถประเภทคูเป้ ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอีกด้วย
ยังคงมีกระแสแรงอย่างต่อเนื่องกับ “รถไฟฟ้า EV” ที่เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในปัจจุปัน เพราะเป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจึงทำให้ค่าใช้ง่ายในเรื่องพลังงานเชื้อเพลิงถูกลงเป็นอย่างมาก และแถมรถ EV ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ข้อดีเยอะขนาดนี้แล้ว ใครที่ยังลังเลอยู่วันนี้เรานำข้อมูลเรื่อง “รถยนต์ไฟฟ้า EV ต้องใช้ไฟบ้านแบบไหน? จ่ายค่าไฟเท่าไหร่?” มาให้ทุกคนได้อ่านเพื่อเพิ่มความรู้ และเหตุผลที่อาจจะช่วยทำให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นมากฝากกันค่ะ สามารถทำความรู้จักรถประเภทรถ EV และข้อดี-ข้อเสียได้ผ่านบทความนี้เลยค่ะ สิ่งที่ต้องรู้ก่อนติดตั้งระบบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าภายในบ้าน ก่อนอื่นเลยสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคนที่กำลังจะซื้อรถไฟฟ้านั่นคือการศึกษาทำความเข้าใจระบบไฟฟ้าในบ้านของตัวเองก่อน มิเช่นนั้นระบบไฟฟ้าภายในบ้านอาจจะมีปัญหาได้ โดยมี 5 ขั้นตอนการติดตั้งระบบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้านมาฝากทุกคนกันค่ะ 1.ขนาดมิเตอร์ไฟฟ้า คือ สำรวจมิเตอร์ไฟฟ้าของตัวเอง โดยปกติขนาดมิเตอร์ของบ้านพักอาศัยทั่วไปจะใช้เป็น 15(45) 1 เฟส(1P) หมายถึงมิเตอร์ขนาด 15 แอมป์(A) และสามารถใช้ไฟได้มากถึง 45(A) สำหรับคนที่ต้องการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในบ้าน ทางการไฟฟ้าแนะนำให้เปลี่ยนขนาดมิเตอร์เป็น 30(100) ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ป้องกันการใช้ไฟฟ้าที่มากเกินไป **สำหรับคนที่คิดว่าต้องเปลี่ยนระบบไฟเป็น 3 เฟสรึเปล่า? คำตอบคือ “ไม่จำเป็น” เนื่องจากถ้าบ้านไม่มีการใช้งานไฟฟ้ามากเกินไป การใช้ไฟ 1 เฟสก็เพียงพอ 2.เปลี่ยนสายเมน และลูกเซอร์กิต (MCB) คือ สำหรับสาย Main ของเดิมใช้ขนาด 16 ตร.มม. ต้องปรับให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 25 ตร.มม. และเปลี่ยนลูกเซอร์กิต(MCB) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ป้องกันร่วมกับตู้ MDB ที่แต่เดิมรองรับได้สูงสุด 45(A) เปลี่ยนเป็น 100(A) หรือพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ขนาดมิเตอร์ ขนาดสายเมน และขนาดลูกเซอร์กิต (MCB) ต้องสอดคล้องกัน 3.ตู้ควบคุมไฟฟ้า (MDB) คือ ตรวจสอบภายในตู้ว่ามีช่องว่างสำรองเหลือให้ติดตั้ง Circuit Breaker อีก 1 ช่องรึเปล่า? เพราะการชาร์จไฟของรถยนต์ไฟฟ้าจะต้องมีส่วนตัว แยกใช้งานกับเครื่องไฟฟ้าอื่นๆ หรือถ้าหากภายในตู้หลักไม่มีช่องว่าง ควรเพิ่มตู้ควบคุมย่อยอีก 1 จุด 4.เครื่องตัดไฟรั่ว (RCD) คือ เป็นเครื่องตัดไฟฟ้าอัตโนมัติที่จะตัดวงจรไฟฟ้า เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้าออกมีค่าไม่เท่ากัน ซึ่งอาจจะส่งผลให้ไฟฟ้าลัดวงจร และเกิดเพลิงไหม้ได้ในอนาคต กรณีที่สายชาร์จไฟฟ้ามีระบบตัดไฟภายในตัวอยู่แล้ว เราก็ไม่ต้องติดตั้งเพิ่ม 5.เต้ารับ (EV Socket) คือ สำหรับการเสียบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นชนิด 3 รู (มีสายต่อหลักดิน) ต้องทนกระแสไฟฟ้าได้ต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 16(A) *แต่รูปทรงอาจจะปรับตามรูปแบบปลั๊กของรถยนต์แต่ละรุ่น การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามีกี่แบบ? ใช้เวลานานเท่าไหร? สำหรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าหลักๆ มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่ การชาร์จแบบธรรมดา (Normal Charge) คือ การชาร์จไฟฟ้าจากตัวเต้ารับโดยตรง โดยขนาดมิเตอร์ขั้นต่ำที่แนะนำคือ 30(100)A และเต้ารับต้องติดตั้งใหม่เฉพาะการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น โดยเป็นการใช้ไฟบ้านที่เป็นกระแสสลับ (AC) ที่ใช้ระยะเวลาในการชาร์จประมาณ 12-16 ชม. การชาร์จแบบรวดเร็ว (Double Speed Charge) คือ เป็นการชาร์จจากเครื่องชาร์จ EV Charger เป็นตู้ชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Charging) ที่ช่วยให้ชาร์จพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรี่รถให้เต็มเร็วยิ่งขึ้น โดยเหลือเวลาชาร์จประมาณ 6-8 ชม. การชาร์จแบบด่วน (Quick Charge) คือ เป็นการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charging) ตรงเข้าแบตเตอรี่โดยตรง ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า จาก 0-80% ได้ภายในเวลา 40-60 นาที นิยมใช้ตามสถานีบริการนอกบ้าน ที่ต้องการความรวดเร็วในการชาร์จ แต่ก็มีข้อเสียคือทำให้ตัวแบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วขึ้น ได้แก่ CHAdeMo, GB/T และ CCS เป็นต้น หัวชาร์จสำหรับรถแต่ละรุ่นแบบด่วน (Quick Charge) DC CHAdeMo ย่อมาจากคำว่า CHArge de Move แปลได้ว่า ชาร์จไฟแบบเร็วสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งระบบ CHAdeMO มีการใช้แพร่หลายในประเทศญี่ปุ่น จ่ายกระแสไฟฟ้าขนาด 50 kW DC CCS2 ย่อมาจาก Combined Charging System เป็นหัวชาร์จที่นิยมใช้ในแถบทวีปยุโรป จ่ายกระแสไฟฟ้าขนาด 50 kW เทคนิคการเลือกเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า EV Charger ความเร็วในการชาร์จไฟรถยนต์นั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับไฟ (On Board Charger) ของรถยนต์แต่ละรุ่น หรือก็คือตัวควบคุมการดึงพลังงานไฟฟ้าจากตัวรถ สั่งการไปยังเครื่อง EV Charger โดยทั่วไปขนาดมีตั้งแต่ 3.6kW ถึง 22kW ซึ่งทำให้ตัวเครื่องชาร์จออกแบบมาให้มีทั้งหมด 4 ขนาด คือ 3.7 kW, 7.4 kW, 11 kW, 22 kW (มาตรฐาน) ราคาเครื่องชาร์จหลากหลายมีตั้งแต่ 15,000-100,000 กว่าบาท(แล้วแต่ยี่ห้อ) การเลือกจุดติดตั้งเครื่องชาร์จ บริเวณพื้นที่จอดรถ 1.ระยะทางไม่เกิน 5 เมตร จากตัวเครื่องชาร์จจนถึงจุดที่เสียบชาร์จกับตัวรถ ไม่ควรวางห่างกันเกิน 5 เมตร เนื่องจากสายเครื่องชาร์จ EV Charger โดยทั่วไปอยู่ที่ 5-7 เมตรเท่านั้น 2.วางใกล้ตู้ MDB เลือกทำเลใกล้ตู้เมนไฟฟ้าในบ้าน ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินสายไฟที่มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น 3.หลังคาปกคลุม เลือกจุดที่อยู่ด้านในใต้หลังคา เพื่อป้องกันละอองฝน และเป็นการรักษาให้ใช้งานได้ยาวนานมากขึ้น คำนวณค่าไฟในการชาร์จรถไฟเต็ม 1 รอบการใช้งาน ยกตัวอย่าง : รถยนต์ไฟฟ้าชาร์จสูงสุดที่ 7.4 kW แบตเตอรี่จุได้ 60 kW หรือระยะทางขับขี่ประมาณ 350 กิโลเมตร พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือเวลา 1 ชม. เก็บพลังงานไฟฟ้าได้ 7.4 kW โดยถ้าต้องจุให้เต็ม 60 kW ต้องใช้เวลาถึง 7-8 ชั่วโมง สมมุติว่าไฟฟ้า 1 หน่วย = 1 kW สมมุติที่ 4 บาท/หน่วย – ชาร์จไฟ 1 ชม คิดค่าไฟฟ้า = 7.4 x 4 x 1 = 29.6 บาท – ชาร์จไฟ 2 ชม คิดค่าไฟฟ้า = 7.4 x 4 x 2 = 59.2 บาท – ชาร์จไฟ 8 ชม คิดค่าไฟฟ้า = 7.4 x 4 x 8 = 236.8 บาท สรุป ถ้าเราชาร์จแบตเตอรี่เต็มใช้เงินประมาณ 236.8 บาท ขับรถยนต์ได้ 350 กิโลเมตร หรือตก 1.4 บาท/กิโลเมตร เมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง อยู่ที่ประมาณ 3-5 บาท/กิโลเมตร เรียกได้ว่าประหยัดค่าใช้จ่ายได้หลายเท่าตัวเลย เป็นอย่างไรกันบ้างคะสำหรับข้อมูลที่เรานำมาเสนอกับข้อมูลความรู้ที่เรานำมาเสนอ หากใครที่กำลังตัดสินซื้อรถยนต์ไฟฟ้า Ev เรื่องการชาร์จไฟเป็นประเด็นที่สำคัญมาก หวังว่าความรู้นี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะคะ
กระแสรถรถไฟฟ้า หรือ EV (Electric Vehicle) แรงดีไม่มีตก สำหรับใครที่กำลังตัดสินใจที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้านี้แล้ว ก็มักจะมีคำถามยอดฮิตตามมา ว่าสถานีชาร์จรถ EV นั้นตอนนี้มีครอบคลุมแล้วหรือยัง หรือว่ามีมากน้อยเพียงใดหากต้องการเดินทางออกไปต่างจังหวัดจะยังพบกับจุดชาร์จอยู่หรือไม่ วันนี้เราจึงรวบรวมสถานีชาร์จรถ EV ในประเทศไทยมีที่ไหนกันบ้าง เพื่อไว้สำหรับคนที่ต้องการวางแผนการเดินทางไกลจะได้หมดกังวลเรื่องแบตเตอรี่หมดกลางทาง หรือหาสถานีชาร์จไม่ได้ MEA EV การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้านครหลวงมีแอปพลิเคชั่น MEA EV Application สามารถใช้ค้นหาสถานีชาร์จรถแบบเรียลไทม์ ได้ทั้งของการไฟฟ้านครหลวง (MEA), บริษัท EA Anywhere (EA) และ สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) พร้อมแสดงเส้นทางไปยังสถานีชาร์จด้วยแผนที่ GIS ร่วมกับการนำทางของ Google Application รวมถึงสามารถจองสถานีชาร์จ หรือหัวชาร์จได้ด้วยแบบเรียลไทม์ (เฉพาะสถานีที่ลงทะเบียนกับการไฟฟ้านครหลวงเท่านั้น) มีด้วยกันทั้งหมด 11 ที่ ได้แก่ กฟน. สำนักงานใหญ่ เพลินจิต กฟน. เขตวัดเลียบ กฟน. เขตสามเสน กฟน. เขตบางเขน กฟน. เขตบางขุนเทียน กฟน. เขตลาดกระบัง กฟน. เขตบางใหญ่ กฟน. เขตสมุทรปราการ กฟน. เขตราษฎร์บูรณะ กฟน. เขตธนบุรี กฟน. ที่ทำการบางพูด การไฟฟ้านครหลวง ได้ร่วมมือกับบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เพิ่มจุดติดตั้ง MEA EV Charging Station บริเวณร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ 7-Eleven สาขา บ้านสวนลาซาล (ศรีนครินทร์) และ 7-Eleven สาขา สน.บางขุนนนท์ และส่งมอบเครื่องอัดประจุไฟฟ้า MEA EV Charger ในโครงการศึกษาวิจัย MEA EV Smart Charging System พร้อมใช้งานได้แล้ววันนี้ ได้แก่ MBK EV Charging Station จำนวน 3 เครื่อง บริเวณลานจอดรถ ชั้น 2 โซน C ช่อง 23-24 เวลา 10.00 – 21.00 น. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน 5 เครื่อง อาคารจามจุรี 5 เวลา 6.00 – 19.00 น. (ในช่วงทดลอง ขอสงวนสิทธิ์เฉพาะบุคลากรของจุฬาฯ) CP Tower 1 CPLAND จำนวน 1 เครื่อง อาคาร ซี.พี.ทาวเวอร์ 1 (สีลม) บริเวณลานจอดรถชั้น 8 เวลา 8.30 – 17.30 น. ด้านหลังห้างสรรพสินค้า Siam Square One (ร่วมกับ Great Wall Motors) สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ ฝ่ายธุรกิจบริการและคุณภาพไฟฟ้า โทร. 0 2476 5666-7 ระหว่างเวลา 07.30-15.30 น. ในวันเวลาทำการ หรือ MEA Call Center 1130 Facebook : การไฟฟ้านครหลวง MEA Line : MEA Connect Twitter: @mea_news และศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ไฟฟ้าการไฟฟ้านครหลวง MEA Call Center 1130 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง สถานีอัดประจุไฟฟ้า EV Station ปตท. (PTT) บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR หรือปั๊มน้ำมันที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะเจอกับสถานีบริการมากที่สุด ได้ปรับแผนธุรกิจให้มีการเพิ่มจุดให้บริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV (PTT EV Charging Station) เพิ่มมากขึ้น ด้วยกำลังไฟ 50 กิโลวัตต์/เครื่อง ด้วยหัวชาร์จ DC รูปแบบ CCS Combo 2 และ CHAdeMO และหัวชาร์จ AC รูปแบบ Type 2 โดยสามารถชาร์จได้พร้อมกัน 2 หัวจ่าย ระหว่าง DC และ AC อีกทั้ง ยังมี EV Station ในรูปแบบ Normal Charge ที่เปิดให้บริการแล้ว 25 สถานี ทาง PTT หรือ ปตท. มีจุดชาร์จไฟแบบ Quick Charge 5 แห่ง ดังนี้ PTT Station สาขาพหลโยธิน กม. 25 กรุงเทพฯ PTT Station สาขาวงแหวนกาญจนาภิเษก-ตลิ่งชัน กรุงเทพฯ PTT Station สาขาพัฒนาการ ขาออก กรุงเทพฯ PTT Station สาขาหนองแขม กรุงเทพฯ PTT Station สาขาแยกหาดจอมเทียน พัทยา จุดชาร์จไฟแบบธรรมดา 25 แห่ง ทั่วประเทศ ดังนี้ กรุงเทพมหานคร สาขาแยกประชาอุทิศ-ลาดพร้าว กรุงเทพฯ สาขาทุ่งครุ สาขาพระราม 2 (ขาออก) สาขาบรมราชชนนี (ขาเข้า) สาขาราชพฤกษ์ 1 สาขาเอกมัย-รามอินทรา สาขาลาดพร้าว-วังหิน สาขานวลจันทร์ สาขามัยลาภ สาขาราษฎร์บูรณะ (ขาออก) นนทบุรี สาขาประชาชื่น 2 ปทุมธานี สาขาวงแหวนตะวันตก (ขาเข้า) สาขาคลองหลวง กม.6 สาขาแยกสันติสุข สมุทรสาคร สาขาพระราม 2 (ขาเข้า) นครปฐม สาขาพุทธมณฑล สาย 4 สาขาพุทธมณฑล สาย 5 พระนครศรีอยุธยา สาขาวังน้อย สาขาบางปะอิน สระบุรี สาขาสระบุรี ระยอง สาขาโรงแยกก๊าซระยอง สาขาตำบลมาบข่า ขอนแก่น สาขาเมืองขอนแก่น เชียงใหม่ สาขาสารภี สงขลา สาขาหาดใหญ่ใน (ขาออก) สถานีอัดประจุไฟฟ้า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) เปิดให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้า PEA VOLTA จำนวน 11 สถานี ดังนี้ สายภาคเหนือ (กรุงเทพฯ – พระนครศรีอยุธยา) จำนวน 2 สถานี สายภาคใต้ (กรุงเทพฯ – หัวหิน) จำนวน 4 สถานี สายภาคตะวันออก (กรุงเทพฯ – พัทยา) จำนวน 3 สถานี สายภาคตะวันตก (กรุงเทพฯ – นครปฐม) จำนวน 1 สถานี สำนักงานใหญ่ กฟภ. จำนวน 1 สถานี และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ยังร่วมกับ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ติดตั้งจุดบริการชาร์จแบตเตอรี่รถไฟฟ้า (EV Charger Station) ให้บริการในสถานีบริการน้ำมันบางจากมากที่สุดในไทย ซึ่งจะเปิดให้บริการบนเส้นทางสายหลัก 56 สาขา ต่อเนื่องทุกระยะ 100 กิโลเมตรรองรับการเดินทางขาเข้า-ออกเมือง เครื่องอัดประจุไฟฟ้าเป็นแบบ Multi-Standard (CHAdeMO (ย่อมาจาก CHArge de Move แปลได้ว่า ชาร์จไฟแล้วขับต่อไป), CCS COMBO2, AC TYPE2) ตามมาตรฐานนานาชาติ รองรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ติดตั้งหัวจ่ายกระแสไฟฟ้าตามมาตรฐานยุโรปและญี่ปุ่น การอัดประจุไฟฟ้าอย่างรวดเร็ว (QUICK CHARGE) ใช้เวลาประมาณ 20 นาที อัตราค่าบริการอัดประจุไฟฟ้าในการใช้เครื่องอัดประจุไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charger) ในช่วง Peak ค่าบริการ 7.5798 บาท/หน่วย ในช่วง Off-Peak ค่าบริการ 4.1972 บาท/หน่วย อัตราค่าบริการอัดประจุไฟฟ้าในการใช้เครื่องอัดประจุไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Charger) ในช่วง Peak ค่าบริการ 7.5798 บาท/หน่วยในช่วง Off-Peak ค่าบริการ 4.1972 บาท/หน่วย ปัจจุบัน PEA VOLTA สามารถเชื่อมโยงกับแอปพลิเคชันผ่านสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานได้ค้นหาตำแหน่งสถานีและนำทางไปยังสถานี ตรวจสอบสถานะสถานีอัดประจุ พร้อมชำระค่าบริการอัดประจุไฟฟ้าผ่านระบบการเติมเงินได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย และรวดเร็ว เพราะเป็นหัวจ่ายแบบชาร์จเร็ว โดย 1 สถานีมี 5 หัวจ่าย ซึ่งผู้ใช้งานสามารถใช้บริการได้ 24 ชั่วโมง สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นฟรีได้ที่ iOS : https://apps.apple.com/th/app/pea-volta/id1503297093?l=th Android : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.pea.peavolta สถานีอัดประจุไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (EGAT) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เริ่มต้นจัดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า ตั้งแต่ปี 2560 และในปี 2564 จึงเริ่มจัดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า “EleX by EGAT” ชาร์จไฟได้รวดเร็ว ปลอดภัย มั่นใจ เพื่อรองรับทุกการเดินทางของผู้ใช้ยานยนต์ทั่วประเทศโดยปัจจุบันติดตั้งไปแล้ว 50 สถานี 25 จังหวัด เช็กสถานีบริการได้ที่นี่ โดย กฟฝ. มีการร่วมมือกันระหว่างบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือผู้ให้บริการปั้มน้ำมัน PT เปิดตัวจุดสถานีชาร์จแห่งแรกชื่อ EleX by EGAT และขยายพื้นที่ครอบคลุมพื้นที่ในประเทศไทย สถานีอัดประจุไฟฟ้า EA Anywhere หรือ บ.พลังงานบริสุทธิ์ EA Anywhere เป็นบริษัทเอกชนที่เข้าร่วมกับบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น คาลเท็กซ์, ซีพี ออลล์, บริดจสโตน เอ.ซี.ที และ โรบินสัน ร่วมกันจัดตั้งสถานีชาร์จทั่วประเทศไทย โดยปัจจุบันมีมากกว่า 400 แห่งทั่วประเทศ สามารถตรวจสอบจุดการให้บริการได้ที่ EA Anywhere
มาทำความรู้จักกับแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าชื่อดังอย่าง TESLA (เทสล่า) ให้มากขึ้นด้วยผ่านโมเดลรถยนต์ที่เทสล่ามีทั้งหมด 4 โมเดล พร้อมบอกสเปกและราคาจำหน่ายเริ่มต้น TESLA (เทสล่า) คือบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% (Electric Vehicle) ที่นำเสนอจุดเด่นในเรื่องเทคโนโลยีที่ทันสมัยเช่น Autopilot (ระบบขับขี่อัตโนมัติ) และการสั่งการผ่าน Smartphone เป็นต้น นอกจากนี้ TESLA ยังถือว่าเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสะอาดเป็นมิตรกับโลก ด้วยการที่ไม่มีการปล่อยมลพิษขึ้นสู่อากาศเลย เนื่องจากไม่มีการใช้เครื่องยนต์น้ำมันเป็นส่วนประกอบแต่ใช้เป็นแบตเตอรี่ไฟฟ้าลิเทียมไอออนแทน TESLA ทุก MODEL ถูกออกแบบให้มีความมินิมอล รูปโฉมเรียบง่าย สะอาดตา ไม่หลุดภาพลักษณ์รถยนต์รักสิ่งแวดล้อมอีกด้วย และด้วยการที่ Tesla (เทสล่า) มีแนวคิดที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญจึงได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพื่อผลักดันรถยนต์ไฟฟ้าออกมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคในอนาคตจะเห็นได้จากปัจจุบันราคาน้ำมันมีราคาสูงขึ้น จนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้รับมาสนใจเป็นอย่างมาก บวกกับเทสล่ามีเทคโนโลยีที่โดดเด่น ดีไซน์แตกต่าง และวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ทำในที่สุดก็ให้เทสล่าขึ้นแท่นมาเป็นผู้นำการผลิตในตลาดรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุด เรามาทำความรู้จัก 4 MODELS ของแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าชื่อดังนี้กันดีกว่าค่ะ ว่าจะมีสมรรถนะเป็นอย่างไรบ้าง TESLA MODEL S TESLA MODEL S เป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Sedan ถูกเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2012 โมเดลนี้ถูกพัฒนามาเป็นระยะเวลาเกือบ 10 ปีเพื่อพัฒนาสมรรถนะของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ให้ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปัจจุบันมี TESLA MODEL S ทั้งหมด 2 รุ่นด้วยกันคือ Model S Dual Motor AWD ราคาโดยประมาณ 3,405,000 บาท (99,990 USD) อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม.: 3.1 วินาที ขุมพลัง 670 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 3.1 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 249 กม. /ชม. ระยะทางขับขี่: 603 - 651 กิโลเมตร (375 - 405 ไมล์) Model S Plaid Tri Motor AWD ราคาโดยประมาณ 4,635,000 บาท (135,990 USD) อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม.: 1.99 วินาที ระยะทางขับขี่: 560 - 637 กิโลเมตร (348 - 396 ไมล์) ซึ่งรุ่น Plaid นี้ถูกอัพเกรดใหม่ให้สามารถใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว ส่งพลังสูงสุดถึง 1,020 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม. /ชม. ต่ำกว่า 2 วินาทีเลยทีเดียว อีกทั้งยังทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 320 กม. /ชม. TESLA MODEL 3 TESLA MODEL 3 เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับกระแสความนิยมมากที่สุด กับการเปิดตัวด้วยการมียอดจองสูงที่สุดในโลกด้วยตัวเลขมากกว่า 325,000 คัน ภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์หลังการเปิดตัว และมียอดจองทะลุ 500,000 คันภายใน 3 เดือนเท่านั้น เพราะด้วยตัวโมเดลมีขนาดที่กระทัดรัด ชาร์จได้รวดเร็ววิ่งได้ไกลและมีราคาที่สามารถจับต้องได้ด้วยราคาเริ่มต้นประมาณ 1 ล้านบาท ส่วนในเรื่องของสมรรถนะก็ทำออกมาได้โดดเด่นไม่แพ้ใครด้วยเครื่องยนต์มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ที่ทำงานแบบอิสระ โดย MODEL 3 นี้มีให้เลือกถึง 3 รุ่นด้วยกัน รุ่น Model 3 Standard (Rear Wheel Drive) ราคาโดยประมาณ 1,601,000 บาท (46,990 USD) ขุมพลัง 283 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 5.3 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 225 กม. /ชม. เมื่อชาร์จไฟเต็มสามารถวิ่งได้ 430 กม. รุ่น Model 3 Long Range (All-Wheel Drive) ราคาโดยประมาณ 1,908,000 บาท (55,990 USD) ขุมพลัง 346 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 4.2 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 233 กม. /ชม. ขับเคลื่อนแบบ All-Wheel Drive เมื่อชาร์จไฟเต็มสามารถวิ่งได้ 580 กม. รุ่น Model 3 Performance (All-Wheel Drive) ราคาโดยประมาณ 2,147,000 บาท (62,990 USD) ขุมพลัง 450 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 3.3 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 261 กม. /ชม. มอเตอร์คู่ ระบบขับเคลื่อนแบบ All-Wheel Driveเมื่อชาร์จไฟเต็มสามารถวิ่งได้ 567 กม. TESLA MODEL X TESLA MODEL X เป็นรถยนต์ไฟฟ้า Crossover ขนาดกลาง (Mid-size) ที่ถูกพูดถึงในส่วนของประตูมากที่สุดเพราะ ประตูของโมเดลรถรุ่นนี้มาในรูปแบบ Falcon Wing (ลักษณะปีกนก) ที่เวลาเปิดประตูจะถูกยกขึ้นเหมือนปีกนก มาพร้อมรูปทรงที่ดูบึกบึน ทรงพลัง ซี่ง TESLA MODEL X ถูกแบ่งออกเป็นอีก 2 รุ่นย่อย รุ่น Tesla Model X Plaid (Tri Motor) ราคาโดยประมาณ 4,740,000 บาท (138,990 USD) มีกำลังถึง 1,020 แรงม้า สามารถเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 2.5 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 262 กม. /ชม. รุ่น Tesla Model X (Dual Motor) ราคาโดยประมาณ 2,640,000 บาท (114,900 USD) มีกำลัง 670 แรงม้า สามารถเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 3.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 249 กม. /ชม. TESLA MODEL Y TESLA MODEL Y รถยนต์ไฟฟ้า Compact Crossover SUV ที่ถูกพัฒนาแพลตฟอร์มมาจาก TESLA MODEL 3 ซึ่งมีชิ้นส่วนคล้ายคลึงกันถึง 75 % มีขนาดที่กะทัดรัด มีที่นั่งให้เลือกตามใจชอบอีกด้วย ทั้งแบบ 5 ที่นั่งและ 7 ที่นั่ง TESLA MODEL Y แบ่งออกเป็น 2 รุ่นย่อยคือ รุ่น Performance ราคาโดยประมาณ 2,320,000 บาท (67,990 USD) สามารถทำความเร็ว 0 – 100 กม./ชม. ที่ 3.5 วินาที ระบบขับเคลื่อนแบบ All-Wheel Drive ทำความเร็วสูงสุด 241 กม./ชม. รุ่น Long Range ราคาโดยประมาณ 2,150,000 บาท (62,990 USD) สามารถทำความเร็ว 0 – 100 กม./ชม. ที่ 5.3 วินาที ระบบขับเคลื่อนแบบ All-Wheel Drive ทำความเร็วสูงสุด 217 กม./ชม. เทสล่ามีความสามารถในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกมาให้ตอบโจทย์และหลากหลาย ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกในการตัดสินใจมากขึ้นซึ่งก็จะแตกต่างกันในด้าน ดีไซน์สมรรถนะ รวมทั้งราคา เหตุนี้จึงทำให้ TESLA ถูกเป็นที่พูดถึงและเป็นที่ต้องการของผู้คนมากมาย
การดูแลเรื่องน้ำมันเครื่องรถยนต์ เป็นหน้าที่สำคัญที่เจ้าของรถทุกคนควรใส่ใจ และไม่ควรละเลย ทั้งเพื่อความปลอดภัย และเพื่อยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ให้นานยิ่งขึ้น เพราะน้ำมันเครื่องเป็นส่วนสำคัญดั่งเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงเครื่องยนต์ให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าควรดูแลเรื่องนี้ยังไง ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตอนไหนกันแน่ เราจึงอยากแนะนำทริคดีๆ ที่ช่วยทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องง่ายที่ดูแลเองได้ หลายคนที่เพิ่งซื้อรถใหม่อาจจะศึกษาจากคู่มือรถที่เพิ่งได้มา ซึ่งมีรายละเอียดบอกเอาไว้ชัดเจน แต่สำหรับคนที่ใช้รถมานานแล้วอาจจะหาคู่มือไม่เจอ หรือหลงลืมหลักการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องไปว่าควรดูแลยังไง ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตอนไหน เราจึงจะมาแชร์ทริคเรื่องการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องกัน โดยแบ่งรถที่ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ รถที่มีอาการผิดปกติ และรถที่ไม่มีอาการผิดปกติ แต่ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง คุณอยู่กลุ่มไหน มีหลักการดูแลและเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแตกต่างกันยังไงบ้าง มาดูไปพร้อมๆ กันเถอะ กลุ่มที่ 1 รถที่มีอาการผิดปกติ ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เริ่มจากกลุ่มรถยนต์ที่มีอาการบ่งชี้ว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องได้แล้ว ซึ่งบอกคนอาจจะได้ไม่สังเกตว่านี่แหละ คือสัญญาณครั้งใหญ่ให้รีบไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่องได้แล้ว จะมีอาการอะไรบ้าง มาดูกัน… 1. เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นผิดปกติ ให้ลองสังเกตทุกครั้งที่ขับรถว่ามีเสียงที่ดังมาจากห้องเครื่องรถยนต์หรือไม่ ซึ่งเป็นเสียงที่ดังกว่าปกติ ถ้าหากมี ควรจอดรถ และลงจากรถเพื่อตรวจเช็คทันที เพราะการที่เครื่องยนต์มีเสียงที่ดังผิดปกตินี้ อาจมีสาเหตุมาจากน้ำมันเครื่องแห้ง หรือต่ำเกินไป 2. อัตราเร่งอืด ขณะขับรถ หากคุณเหยียบคันเร่งแล้วรู้สึกว่ารถยนต์ของคุณมีอัตราเร่งที่อืด หรือแย่ลงอย่างผิดปกติจนรู้สึกได้ อาจเป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าน้ำมันเครื่องของรถคุณเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว ควรตรวจเช็คและเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทันที 3. สีของน้ำมันเครื่องเปลี่ยนไป โดยปกติแล้วเรามักจะคุ้นชินและจดจำได้ว่า น้ำมันเครื่องใหม่ที่ยังมีคุณภาพดีเยี่ยมนั้นจะมีสีเหลืองทองโปร่งแสงเล็กน้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไป สีน้ำมันเครื่องรถยนต์มักจะมีสีเข้มขึ้นเนื่องจากสิ่งสกปรกภายในเครื่องยนต์จะถูกชะล้างติดมากับตัวน้ำมันเครื่อง หากปล่อยให้เครื่องยนต์หล่อลื่นไปกับน้ำมันดำๆ อาจทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพน้อยลง ควรทำการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทันที กลุ่มที่ 2 รถที่ไม่มีอาการผิดปกติ แต่ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง หากเช็คแล้วว่ารถของคุณยังไม่พบเจอกับอาการผิดปกติที่กล่าวไปข้างต้น และก็ไม่แน่ใจด้วยว่าตอนนี้ถึงเวลาที่ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแล้วหรือยัง เราจึงอยากให้คุณสังเกตว่า คุณใช้รถบ่อยแค่ไหน เพราะความถี่ในการใช้งานนั้นสามารถแบ่งหลักการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องได้เป็น 2 กลุ่มย่อยๆ เป็นกลุ่มแบบไหนบ้าง มาดูกัน… ใช้งานรถบ่อย = เปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะทาง สำหรับคนที่ใช้งานรถยนต์บ่อย ใช้รถเป็นประจำ ขับไปทำงาน หรือไปทำธุระบ่อยๆ เราแนะนำให้คุณเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะทางที่ขับขี่ ลองสังเกตเลขไมล์รถยนต์ หากระยะทางถึงกำหนดต้องเปลี่ยนแล้ว ให้หาเวลาพารถคู่ใจไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่องได้เลย ซึ่งปกติแล้วผู้ใช้รถส่วนใหญ่มักจะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุกๆ 8,000 - 10,000 กิโลเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของน้ำมันเครื่องที่เราใช้ด้วยว่าเหมาะสมที่จะเปลี่ยนที่ระยะเท่าใด เพื่อไม่ให้เป็นการสิ้นเปลือง น้ำมันเครื่องธรรมดา (ปิโตรเลียม) ควรเปลี่ยนที่ระยะ 7,000 - 7,500 กิโลเมตร น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ ควรเปลี่ยนที่ระยะ 10,000 - 15,000 กิโลเมตร น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ ควรเปลี่ยนที่ระยะ 15,000 - 20,000 กิโลเมตร ใช้งานรถน้อย = เปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะเวลา สำหรับคนที่ใช้งานรถน้อย เป็นรถที่จอดไว้เฉยๆ นานๆ ทีถึงจะถอยออกมาใช้สักครั้ง เลขไมล์ไม่ค่อยขยับ เราแนะนำให้คุณนับระยะเวลาการใช้งานว่า ใช้รถคันนี้มานานแค่ไหนแทนการดูจากระยะทาง โดยปกติแล้วรถที่ใช้งานน้อย ควรเปลี่ยนทุก 6 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของน้ำมันเครื่องที่เราใช้ด้วยเช่นกัน น้ำมันเครื่องธรรมดา (ปิโตรเลียม) ควรเปลี่ยนทุก 6 เดือน น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ ควรเปลี่ยนทุก 6 - 9 เดือน น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ ควรเปลี่ยนทุก 1 ปี นอกจากการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแล้ว ควรเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องพร้อมกับการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องไปด้วย เพื่อช่วยให้น้ำมันเครื่องที่เปลี่ยนใหม่นั้น สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ให้นานยิ่งขึ้นอีกด้วย ทริคที่เรานำมาแชร์วันนี้น่าจะทำให้หลายคนเข้าใจแล้วว่าควรดูแล และเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตอนไหน เพื่อต่ออายุการใช้งานเครื่องยนต์ให้นานยิ่งขึ้น หากพบว่ารถของคุณถึงเวลาอันสมควรแล้วที่จะ เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง แต่ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนที่ไหนดี เราแนะนำให้คุณขับรถคู่ใจเข้ามาเปลี่ยนน้ำมันเครื่องที่ SCG Performance ได้เลย เพราะอู่ของเราเป็นอู่ซ่อมรถมาตรฐานสูง ให้บริการด้านการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองน้ำมันเครื่องครบครัน โดยช่างมากประสบการณ์ อีกทั้งยังรับตรวจเช็คและซ่อมดูแลรถอาการอื่นด้วยความตั้งใจ การันตีว่าเซอร์วิสครบจบในที่เดียว ลองมากันได้เลยนะครับ Quickwash x SCG Performance
ถ้าพูดถึง การล้างรถ ก็คงเป็นสิ่งที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วว่าการล้างรถเป็นการทำความสะอาดสิ่งสกปรก และเป็นใส่ใจดูแลให้รถดูใหม่อยู่เสมอ แต่ทุกคนทราบกันหรือไม่ว่าแล้วต้องล้างรถบ่อยแค่ไหน ถึงจะเรียกว่าพอดี แบบไหนที่เป็นการดูแลเอาใจใส่รถของเราอย่างถูกต้องที่สุด ล้างรถบ่อยแค่ไหน? ถึงจะเรียกว่าพอดี ผู้เชี่ยวชาญในการดูแลสีรถแนะนำว่าควรล้างรถอย่างน้อยทุกหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ เป็นการล้างใหญ่ทั้งหมดทั้งภายนอกและภายใน อีกทั้งยังได้ดูแลสีรถด้วยการเคลือบผิวให้เงางามอีกด้วย แต่ในความเป็นจริง ช่วงเวลาสามารถยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสม สำหรับประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอุณหภูมิความร้อนสูงและแสงแดดเป็นตัวบ่อนทำลายความเงางามของสีรถได้เป็นอย่างดี หรือถ้าเป็นฤดูฝนการที่รถของเราตากฝน เม็ดฝนที่โดนกับตัวรถนั้นมีมลพิษที่ติดลงมาด้วยบวกกับรถของเราซึ่งมีฝุ่นจากมลภาวะบนท้องถนนอยู่แล้วจึงทำให้ตัวรถของเราดูโทรมมากขึ้น และยังกระตุ้นให้เกิดสนิมได้เมื่อเปรียบเทียบกับรถที่ได้รับการล้าง ดูแล เคลือบสีอยู่สม่ำเสมอ ยิ่งถ้ารถของเราคราบขี้นกหรือยางจากต้นไม้ที่มีสภาพความเป็นกรดสูง แล้วปล่อยให้เกาะกับสีรถนานเกินไป คราบจะยิ่งฝังลึกล้างหรือขัดออกยาก เพราะฉะนั้นควรล้างออกทันทีที่เห็นคราบเหล่านี้ ถ้าไม่อยากให้รถมีคราบที่เอานอกไม่ได้นอกเสียจากต้องทำสีรถใหม่อย่างเดียว หากไม่ล้างและปล่อยไว้เป็นเวลานานจะมีผลอย่างไร การล้างรถ คือ การชะล้างสิ่งสกปรกออกจากพื้นผิวรถ แน่นอนว่าหากคราบสกปรกเหล่านั้นถูกสะสมไว้เป็นเวลานานอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ เช่น รถผุ เกิดสนิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาฤดูฝนที่มักมีโคลน ดิน ติดตามตัวถังรถได้บ่อย จึงต้องการล้างทำความสะอาดทุกครั้งที่ตรวจเจอ ดีกว่าปล่อยให้คราบเหล่านี้เกาะตัวฝังแน่นติดกับตัวรถกลายเป็นปัญหาภาวะสีด่าง สีของรถไม่เท่ากัน กลายเป็นปัญหาที่ใหญ่มากขึ้นไปอีกได้ ถ้าล้างรถต้องมาคู่กับการลงแว็กซ์ เคลือบสีรถอยู่เสมอหรือไม่ หลังจากการดูแลรถด้วยการล้างรถไปแล้วนั้น รถยนตร์ส่วนใหญ่ก็ต้องการการบำรุงเพิ่มเติม ซึ่งผลิตภัณฑ์นี้จะป้องกันและดูแลสีรถยนต์ให้เงางามเหมือนใหม่อยู่ตลอดเวลา สิ่งนี้เรียกว่า “แว็กซ์” ซึ่งแว็กซ์ไม่ได้ทำหน้าที่แค่ความเงางามที่มอบให้กับตัวรถอย่างเดียวเท่านั้น แต่ตัวแว็กซ์นี้ยังช่วยป้องกันสารเคมีต่างๆ ที่คอยทำลายความความเงางามของรถ เช่น ขี้นก ยางต้นไม้ ฝุ่นละอองหรือแม้กระทั่งความร้อนจากแสงแดด ตัวแว็กซ์จะช่วยปกป้องไม่ให้สิ่งเหล่านี้มาทำลายสีรถ หรือย่างน้อยก็ลดความรุนแรงที่จะมีผลต่อสภาพสี เมื่อสีรถได้รับการเคลือบปกป้องจากตัวแว็กซ์นี้ก็เหมือนเป็นการสร้างเกาะป้องกันไว้ชั้นหนึ่งให้กับสีรถได้เลย ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรทำทุกครั้งหลังจากล้างรถเสร็จ เพราะแว๊กซ์เป็นสารเคมีที่สามารถถูกล้างออกไปได้ ไม่ติดแน่นไปกับสีรถโดยตลอดเพราะฉะนั้นควรเคลือบแว็กซ์ใหม่ทุกครั้งเพื่อการปกป้องสีรถที่ดีที่สุด ถ้าไม่ล้างรถ สามารถทำความสะอาดด้วยวิธีอื่นได้ไหม ? การล้างรถไม่จำเป็นจะต้องลงแรงล้างทุกครั้งที่มีคราบสกปรกเสมอไป ถ้าหากรถของเรามีการลงแว็กซ์ เคลือบสีอยู่แล้วละก็มีการผสมสารป้องกันการเกาะติดของคราบเปื้อนไม่ให้ฝังแน่น สำหรับฝุ่นละอองที่พบเจออยู่ทุกวัน สามารถใช้ไม้ขนไก่ขนนุ่มปัดทำความสะอาด แล้วใช้ผ้านุ่ม เช็ดวนพร้อมขัดรถไปในตัว ก็สร้างความเงางามให้กับรถได้เช่นเดียวกัน หรือถ้าเจอคราบเปื้อนเป็นจุด ๆ การใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดเฉพาะส่วน ก็สามารถทำได้ง่าย แต่เมื่อใดก็ตามที่มองดูแล้วความเปื้อนสกปรกไม่ว่าจากฝุ่น หรือโคลนกระจายไปรอบคัน สามารถใช้น้ำล้างทำความสะอาดโดยรอบโดยที่ไม่ต้องลงน้ำยาล้างรถ รถก็ดูสะอาดเหมือนใหม่ได้ด้วย ระยะเวลาที่เหมาะสำหรับการทำความสะอาดภายในตัวรถ การทำความสะอาดภายในตัวรถหรือพื้นที่บริเวณห้องโดยสารก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม ควรทำความสะอาดเป็นประจำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพราะฝุ่น ความสกปรก หรือเชื้อโรคต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นอาจจะติดอยู่ตามเบาะหรือซอกมุมต่างๆ ในตัวรถก็ได้เราจึงต้องมีรอบการทำความสะอาดที่สม่ำเสมอ เพื่อรถที่สวยงามและเพื่อสุขภาพร่างกายที่ดีของเจ้าของรถและผู้โดยสารทุกคน สรุปคือการล้างรถเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใช้รถยนต์ควรทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่ต้องเจอมลภาวะในหลากหลายฤดู เพราะฉนั้นควรล้างทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษาความสะอาดของตัวรถยนต์และเพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคนอีกด้วย ซึ่งความเหมาะสมตามที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำคืออย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเหมาะสมตามเจ้าเจ้าของรถยนต์พิจารณา หากทำได้ตามนี้รถของคุณก็จะดูสะอาดเงางามเหมือนใหม่อยู่ตลอด ขอบคุณข้อมูลจาก : mottoraka , chobrod
ในปัจจุบันน้ำมันราคาขึ้นสูง ทำให้รถ Ev หรือรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และหนึ่งในแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในขณะนี้ก็คงจะหนีไม่พ้น TESLA (เทสล่า) บริษัทผลิตรถยนต์พลังงานงานไฟฟ้าที่มีผู้บริหารคนล่าสุดอย่าง “Elon Musk” เรามาอ่านจุดเริ่มต้นของบริษัทเทสล่ากันดีกว่าค่ะ ว่าจุดเริ่มต้นของบริษัทผลิตรถยนต์ชื่อดังนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากอะไร TESLA (เทสล่า) คือ บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานสะอาด 100% (Electric Vehicle) ที่นำเสนอจุดเด่นในเรื่องเทคโนโลยีที่ทันสมัยเช่น Autopilot (ระบบขับขี่อัตโนมัติ) และการสั่งการผ่าน Smartphone เป็นต้น นอกจากนี้ TESLA ยังถือว่าเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสะอาดเป็นมิตรกับโลก ด้วยการที่ไม่มีการปล่อยมลพิษขึ้นสู่อากาศเลย เนื่องจากไม่มีการใช้เครื่องยนต์น้ำมันเป็นส่วนประกอบแต่ใช้เป็นแบตเตอรี่ไฟฟ้าลิเทียมไอออนแทน บริษัท TESLA (เทสล่า) ตั้งอยู่ใน Palo Alto (แพโล แอลโต) รัฐแคลิฟอร์เนีย ถูกก่อตั้งขึ้นในปี เมื่อวันที่ 1 เดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 2003 โดยมีผู้เริ่มก่อตั้งเป็นวิศวกรชาวอเมริกันสองคน คือ มาร์ติน อีเบอร์ฮาร์ด (Martin Eberhard) และ มาร์ก ทาร์เพนนิง (Marc Tarpenning) ซึ่งมีเป้าหมายตรงกันว่า ต้องการผลิตรถยนตร์ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่เพราะน่าจะตอบโจทย์การใช้งานมากกว่ารถยนตร์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง จึงได้เริ่มต้นสร้างรถยนตร์ไฟฟ้าขึ้น ต่อมาได้มีผู้ร่วมอุดมการณ์เพิ่มมาอีกหนึ่งคน นั่นคือ Elon Musk ซึ่งรับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ CEO ในปัจจุบัน โดยในก่อนหน้านี้บริษัทใช้ชื่อว่า เทสล่า มอเตอร์ (Tesla Motors) โดยชื่อนี้ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ นิโคลา เทสลา (Nikola Tesla) ที่เป็นนักประดิษฐ์ นักฟิสิกส์ วิศวกรเครื่องกล และวิศวกรไฟฟ้า ชาวเซอร์เบีย เทสล่า ภายใต้การบริหารของอีลอน มัสก์ เริ่มต้นจากการสร้างรถสปอตไฟฟ้าวางจำหน่ายครั้งแรกในปี 2008 มีชื่อรุ่นว่า “Roadster” รถระดับไฮเอนด์คันแรกของเทสล่าซึ่งได้บรรจุแบตเตอรี่ขนาด 53 kWh วิ่งได้ระยะทางไกลสุดถึง 320 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง แต่เนื่องจากแบตเตอรี่ไฟฟ้าเป็นต้นทุนที่มีราคาแพงที่สุดในการผลิตรถ Ev เทสล่าจึงต้องเริ่มต้นจากการขายรถยนต์ราคาแพง ให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงก่อน จากจุดเริ่มต้นของรถเทสล่าคันแรกนั้นทำให้เป็นที่มาของรถเทสล่าในโมเดลต่อๆ มา ทั้ง Model S และ Model X ซึ่งในรุ่นต่อมาเทสล่าได้ใช้กลยุทธ์ที่ทำให้ต้นทุนแบตเตอรี่ต่ำลงคือ การผลิตในจำนวนมาก (Economies of scale) เทสล่าแก้ปัญหานี้โดยการสร้าง Gigafactory โรงผลิตแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่ 20 GWh มีปริมาณเทียบเท่ากำลังผลิตแบตเตอรี่ทั้งโลกรวมกัน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐเนวาดา นิวยอร์ก นอกจากทั้งสองแห่งนี้เทสล่ายังตั้ง Gigafactory อีกแห่งหนึ่งในจีน และกำลังขยายฐานกำลังผลิตไปยังเยอรมนีอีกด้วย เพราะเหตุผลนี้จึงทำให้ลดต้นทุนการผลิตของเทสล่าถูกลงไปมากอีก จนทำให้เกิด Tesla Model 3 รถยนต์ไฟฟ้าราคาย่อมเยาว์ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มคนได้มากขึ้น ด้วยราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 35,000 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.05 ล้านบาท ยอดจองในช่วงเปิดตัวปี 2017 ทำสถิติการขายรถยนต์ได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ด้วยยอดจอง 3.25 แสนออเดอร์ ด้วยนวัตกรรมแนวคิดสุดล้ำของเทสล่า ทำให้มูลค่าตลาดขของเทสล่าเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด และในปี 2019 บริษัทเทสล่า ยังมีมูลค่าตลาดเพิ่มเป็น 1.8 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 17 เท่าภายใน 7 ปี จนเทสล่ากลายเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในสหรัฐฯ แซงหน้าผู้นำบริษัทรถยนตร์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงทั้งหมด ด้วยปัจจัยในหลายด้านจึงทำให้เทสล่ากลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ยอดนิยมอันดับต้นๆ ของรถ Ev เลยก็ว่าได้จากแนวคิดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมใช้พลังงานสะอาด 100% มาพร้อมกับเทคโนโลยี ดีไซน์ สุดล้ำจึงทำให้เทสล่าเข้ามามีบทบาทในวงการยานยนต์เป็นอย่างมาก จะเรียกว่าสะเทือนวงการยานยนต์ก็คงไม่ผิดนัก ขอบคุณที่มา : positioningmag