หากพูดถึงแบรนด์รถยนต์ทรงสปอร์ตดีไซน์สุดหรูหรา ที่คนทั่วโลกชื่นชอบและโปรดปราน คงมีชื่อของ BMW แล่นเข้ามาในหัวเป็นชื่อแรกๆ แน่นอน บทความนี้จะมาเปิดตำนานความเก๋าของรถยนต์เชื้อสายเยอรมันแบรนด์นี้ว่า.. เพราะเหตุใด BMW ถึงไม่เคยหายไปจากท้องถนน แถมยังเพิ่มดีกรีความหรูหราและมูลค่าขึ้นทุกปี จนเป็นที่ต้องการอย่างมากในวงการของเหล่านักสะสม หากคุณเป็น Bimmer ตัวยง มาเช็กลิสต์ที่มาและความลับ ที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ไปทีละข้อกันเลย ความเป็นมาของ BMW ที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ กว่า BMW จะเป็น BMW แบรนด์รถยุโรปสุดหรู รถในฝันของใครหลายคน พวกเขาผ่านอะไรมาบ้าง เอกลักษณ์ที่โดดเด่นและเป็นตำนานในทุกรายละเอียดนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร มาไขความลับไปทีละข้อกันเลย สิ่งแรกที่ผลิตไม่ใช่รถยนต์ แต่เป็น.. เครื่องบิน BMW เป็นบริษัทผลิตยานยนต์ของประเทศเยอรมัน ถือกำเนิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เดิมที BMW ไม่ได้เริ่มมาจากการผลิตรถยนต์อย่างที่ใครหลายคนเข้าใจ แต่มีบริษัทผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินรบของประเทศเยอรมัน ที่มีชื่อว่า Rapp Motorenwerke ก่อตั้งเมื่อ ปี 1913 โดย Karl Friedrich Rapp แม้จะเป็นแนวหน้าของวงการเครื่องบินในช่วงเวลานั้น แต่เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง ประเทศเยอรมันเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จึงได้เกิดการทำสนธิสัญญาแวร์ซายที่ไม่อนุญาตให้ฝ่ายที่พ่ายแพ้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องบิน ทำให้กิจการเครื่องบินของ BMW ที่มาของโลโก้ทรงพลัง ไม่ใช่แค่ใบพัดเครื่องบิน สิ่งหนึ่งที่ช่วยทำให้รถยนต์ของ BMW โดดเด่นกว่าแบรนด์อื่นก็คือ โลโก้ หรือตราสัญลักษณ์ของ BMW นั่นเอง ด้วยรูปทรงที่คล้ายกับใบพัดที่กำลังหมุน บวกกับการที่ BMW เคยเป็นผลิตชิ้นส่วนเครื่องบิน ส่งผลให้หลายคนเข้าใจว่าโลโก้นั้นมาจากใบพัดของเครื่องบิน แต่ความจริงแล้ว โลโก้รูปทรงวงกลมนั้นมีความหมายสื่อถึงการขับเคลื่อนไปข้างหน้า ในส่วนสีขาวและสีฟ้า มาจากสีประจำรัฐ Bavarian ในประเทศเยอรมัน ซึ่งเป็นสถานที่ที่เป็นบ้านเกิดของ BMW นั่นเอง โดยที่ผ่านมาทาง BMW ก็พัฒนาโลโก้ให้เข้ากับยุคสมัยอยู่เสมอ แต่ก็ยังคงเอกลักษณ์ที่ทรงพลังไว้ไม่มีเปลี่ยนแปลง เอกลักษณ์กระจังหน้าที่มีมากว่า 100 ปี อีกสิ่งที่ซิกเนเจอร์โดดเด่นจนทำให้ไม่ว่าใครที่พบเห็นก็ทราบได้ทันทีว่ารถคันนี้เป็นรถยนต์จากค่าย BMW ก็คือ กระจังหน้า ลักษณะคล้ายฟันหนูที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะของรถยนต์แบบนี้ แต่น้อยคนจะรู้ว่าเจ้ากระจังหน้าคู่สุดคูลนี้มีชื่อเรียกว่า “Kidney Grille” แถมยังมีอายุมายาวนานกว่า 100 ปี โดยเริ่มใช้ครั้งแรกกับรุ่น BMW 303 ในปี 1933 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของเอกลักษณ์กระจังหน้าไตคู่ที่มีใน BMW ทุกรุ่นทุกคัน ไม่เว้นแม้แต่รถแข่ง Formula 1 ก็มีการใส่กระจังหน้าไตคู่ลงไปในรูปแบบของลวดลายที่อยู่บนตัวรถด้วยเช่นกัน BMW ผลิตรถไฟฟ้ามากว่า 40 ปีแล้ว แม้กระแสและความนิยมรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่งเป็นที่พูดถึงไม่กี่ปีมานี้ และมีหลายคนที่เข้าว่ารถยนต์ไฟฟ้าของค่าย BMW มีแค่รุ่น iX3 หรือ BMW i3S แต่ว่าความจริงแล้ว BMW ได้เริ่มทำการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามาเป็นเวลานานกว่า 40 ปีแล้ว โดยเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกออกมาในปี 1972 ในรุ่น BMW 1602 Elektro-Antrieb ซึ่งได้รับเสียงฮือฮาเป็นจำนวนมากในยุคนั้นเกี่ยวกับเรื่องความล้ำสมัย แต่ด้วยเครื่องยนต์ของรถรุ่นนี้มีกำลังสูงสุดเพียง 43 แรงม้า อัตราการเร่ง 0-48 กิโลเมตร/ชั่วโมง ความเร็วสูงสุดเพียง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และในการชาร์จไฟฟ้าเต็ม 1 ครั้ง สามารถใช้งานวิ่งได้เพียง 20 นาทีเท่านั้น ซึ่งยังไม่เพียงพอและไม่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้คนในชีวิตประจำวัน และด้วยความที่ยุคนั้นการพัฒนาด้านเทคโนโลยียังไม่เติบโตเต็มที่ รถรุ่นนี้จึงถือว่าเป็นรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่ารถยนต์ทั่วไปที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงค่อนข้างมาก แต่อย่างไรก็ตาม การผลิตครั้งนี้นับว่าเป็นก้าวแรกของ BMW เข้าสู่วงการรถยนต์ไฟฟ้าที่ยิ่งใหญ่ก้าวนึงเลยทีเดียว ความหมายของรหัสท้ายรถ BMW ปกติแล้วรถยนต์ของ BMW จะมีการบอกรุ่น และรหัสต่างๆ ไว้ที่ด้านท้ายของรถ ตรงตำแหน่งด้านขวาของฝากระโปรงท้าย โดยมีความหมายเพื่อบอกชนิดของรถและรุ่นรถ รวมถึงลักษณะของเครื่องยนต์ โดยมีตัวอักษรและตัวเลขทั้งหมด 4 ตัวด้วยกัน ตัวเลขตัวแรก หมายถึง แบบหรือรุ่นต่างๆ ของรถ เช่น Series 3, Series 5, Series 7 และ Series 8 ตัวเลข 2 ตัวหลัง หมายถึง ขนาดเครื่องยนต์หรือกระบอกสูบที่ใช้หน่วยเป็นลิตร แต่ในบางรุ่นเลขท้ายอาจจะไม่ตรงกับขนาดเครื่องยนต์ เช่น รถรุ่น 318i E46 มีขนาดเครื่องยนต์ 1.9 ลิตร มากกว่ารหัสท้ายรถ เพราะ BMW ได้ทำการเพิ่มขนาดกระบอกสูบ ตัวอักษรตัวสุดท้าย หมายถึง ตัวย่อของรุ่นรถ และรายละเอียดอื่นๆ เช่น ระบบน้ำมันหรือระบบการขับเคลื่อน โดยแต่ละอักษรมีความหมายและรายละเอียด ดังนี้ A = Automatic Transmission หรือรถรุ่นที่ใช้เกียร์แบบออโตเมติก C , CS = Coupe รถรุ่น 2 ประตูหรือรุ่นสปอร์ต บางรุ่นจะใส่ S เข้ามาด้วย ซึ่งเป็นรุ่นที่ปรับแต่งทั้งภายนอกภายในเป็นแบบสปอร์ต อาจมีการเพิ่มสมรรถนะเครื่องยนต์ เช่น CS Coupe Sport d = Diesel รถรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล เช่น 320d e = Economy Engine เน้นการลดมลพิษและความประหยัดมากกว่าความแรง เช่น 325e แต่ในปัจจุบัน หมายถึง Electric หรือรถไฟฟ้า เช่น 530e i = Fuel-Injected Engine จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีดอีเลคทรอนิคส์ L = Long Wheel Base Model รถรุ่นฐานล้อยาว เช่น L7 ใน Series 7 SE = Special Edition รถรุ่นพิเศษ เช่น 520d SE T = Turbocharger Engine หรือ Touring X, xDrive = All Wheel Drive สำหรับรถขับเคลื่อน 4 ล้อ เช่น xDrive 30e รถยนต์ BMW รุ่นใหม่ที่พร้อมเปิดตัวในปี 2022 จากประวัติความเป็นมาที่เอามาฝากทั้งหมดนี้ อาจทำให้หลายคนรู้จัก BMW มากขึ้นแล้ว ต่อไปเราจะเอาลิสต์รุ่นรถ BMW ที่เปิดตัวและกำลังจะเปิดตัวในปี 2022 นี้ ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า 3 รุ่น รถยนต์อเนกประสงค์ตระกูล X 2 รุ่น และรถสปอร์ตอย่าง Series 4 ลงตลาดจำหน่ายในประเทศไทย จะมีรุ่นไหนให้หน้าติดตามบ้าง มาดูกัน BMW i4 M50 ใหม่ ราคา 4.999 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง) BMW i4 eDrive40 M Sport ใหม่ ราคา 4.499 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง) BMW iX3 M Sport ใหม่ ราคา 3.399 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง) BMW 430i Convertible M Sport ใหม่ ราคา 4.499 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง) BMW X6 xDrive40i M Sport ใหม่ (รุ่นประกอบในประเทศ) ราคา 5.499 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard) BMW X7 xDrive40d M Sport ใหม่ (รุ่นประกอบในประเทศ) ราคา 6.199 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง) บทความนี้ อาจทำให้หลายคนได้รู้จัก BMW มากยิ่งขึ้น ทั้งในแง่มุมที่หลายคนอาจจะทราบกันดีอยู่แล้ว และในแง่เกร็ดความลับเล็กน้อยที่น้อยคนที่จะรู้ความจริง หลังจากนี้มารอลุ้นกันดีกว่า BMW จะพัฒนารถยนต์ออกมาในทิศทางไหน และเดินหน้าผลิตรถยนต์สุดคูลรุ่นไหนออกมาให้เหล่าสาวกได้เซอร์ไพรส์อีก เราจะรีบเอามาอัปเดตให้ทุกคนได้รู้กัน กดติดตาม (Subscribe) บทความนี้ไว้ เพื่อไม้ให้พลาดสาระความรู้ และตามทันข่าวสารด้านยานยนต์ก่อนใคร
แม้ยุคนี้จะเป็นยุคที่รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไร้คนขับกำลังมีบทบาทและได้รับความสนใจจากคนทั่วโลก แต่รถยนต์คลาสสิกก็ยังเป็นความเก๋าที่ไม่เคยเก่าอยู่ ผู้คนในวงการยานยนต์ยังคงสนใจและสะสมรถยนต์คลาสสิกกันเป็นจำนวนมาก รถยนต์คลาสสิกเก่าๆ กลายเป็น Rare Item ที่นักสะสมยอมจ่ายเพื่อเก็บไว้เป็นหนึ่งในคอลเล็กชัน แต่อะไรที่ทำให้รถคลาสสิกยังคงความคลาสสิกไม่เปลี่ยนแปลง มาดูกัน นิยามของ รถยนต์คลาสสิก คือ? หากพูดถึงนิยามของ รถคลาสสิก (Classic Car) คนส่วนใหญ่อาจกล่าวรวมๆ ว่าหมายถึงรถยนต์เก่า หรือรถยนต์ที่ได้รับความนิยมในอดีต ผู้ที่หลงใหลในรถยนต์บางกลุ่ม อย่าง Classic Car Club of America ได้นิยามว่ารถยนต์คลาสสิก คือ รถยนต์ในช่วงก่อนปี ค.ศ. 1948 เท่านั้น แต่ก็มีอีกกลุ่มที่ให้นิยามตามรสนิยมว่ารถยนต์คลาสสิกคือ รถยนต์ที่มีรูปลักษณ์และลักษณะที่ดูคลาสสิก แม้ว่ารถคันนั้นจะผลิตหลังปี ค.ศ. 1948 ก็ตาม เช่น ฟอร์ด มัสแตง โฉมแรก อีกทั้งยังมีอีกกลุ่มจากฟากฝั่งยุโรปอย่างประเทศอังกฤษ ที่สรุปนิยามของรถยนต์คลาสสิกไว้อย่างเข้าใจง่ายว่า ถ้าหากพิจารณาเฉพาะช่วงเวลาที่ผลิต รถยนต์คลาสสิก (Classic Car) หมายถึง รถยนต์ที่ผลิตขึ้นตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ปี ค.ศ. 1945) จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1977 (ตามกฎหมายการยกเว้นภาษี Road Tax ของอังกฤษประจำปี 2018 ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปตามระยะเวลาในอนาคต) แต่ทั้งนี้ การจะพิจารณาว่ารถยนต์ยี่ห้อไหน หรือรุ่นใด เข้าข่ายการเป็นรถยนต์คลาสสิกนั้น มีการตีความที่ซับซ้อนมากกว่าการพิจารณาจากปีที่ผลิต เนื่องจากในแต่ละปีมีการผลิตรถยนต์ขึ้นจำนวนมหาศาล การจัดกลุ่มว่ารถรุ่นใดเข้าข่ายเป็นรถคลาสสิก จึงอาจต้องพิจารณาในด้านคุณค่า คุณภาพ ความพิเศษ การออกแบบ ความนิยม และอื่นๆ ประกอบไปด้วย จึงจะถือได้ว่ารถรุ่นดังกล่าวนั้นเป็นรถคลาสสิกอย่างแท้จริง โดยวิธีที่จะใช้ในการพิจารณาเรื่องคุณค่าหรือความพิเศษต่างๆ นั้น สามารถพิจารณาโดยรวมได้จากดัชนีชี้วัดในด้าน “ราคาตลาด” ซึ่งในที่นี้หมายถึงราคาตลาดที่เป็นสากล ซึ่งรถยนต์คลาสสิกนั้นจะเป็นรถที่มีแนวโน้มของราคาตลาดอยู่ในลักษณะ “ไม่เสื่อมราคาลง” (Stop Depreciate) แต่กลับจะ “มีมูลค่าเพิ่มขึ้น” สรุปง่ายๆ คือ “รถยนต์คลาสสิก หมายถึง รถยนต์ที่ผลิตขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1945 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1977 และมีคุณค่าเพิ่มขึ้นผ่านกาลเวลา” โดยรถยนต์ที่มีมูลค่าในตลาดเพิ่มขึ้นพิจารณาได้จากหลายปัจจัย อาทิเช่น รถยนต์รุ่นที่ราคาโดยทั่วไปในปัจจุบันสูงกว่าราคาผลิตในช่วงปีที่เปิดตัวหรือออกขายใหม่ๆ หรือรถยนต์ที่มีเจ้าของมาก่อน (pre-owned) เป็นรุ่นที่ราคาในปัจจุบันสูงกว่าราคาเมื่อหลายปีก่อนหน้า ทั้งที่มีสภาพเหมือนๆ กัน โดยจะต้องดูราคาเฉลี่ยทั่วๆ ไปในตลาด ไม่ใช่ราคาเฉพาะเพียงคันสองคันเท่านั้น โดยสามารถแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ดังนี้ รถยนต์ โมเดิร์น คลาสสิก (Modern Classic) : หมายถึง รถยนต์ที่มีแนวโน้มที่จะมีมูลค่าสูงขึ้น แต่ไม่ได้ผลิตก่อน 1 มกราคม 1978 เช่น Ferrari 328, McLaren F1, Lamborghini Diablo, Lotus Esprit S4, Mercedes Benz C126, Aston Martin DB7 รถยนต์ ฟิวเจอร์ คลาสสิก (Future Classic Car) : หมายถึง รถยนต์ที่มีคุณภาพสูง มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ แม้ในปัจจุบันมูลค่าอาจจะยังไม่ได้ขยับตัวสูงขึ้น แต่ก็เป็นที่เชื่อมั่นจากนักสะสม และเหล่าผู้ที่หลงใหลในรถยนต์จำนวนมากว่า อาจะเป็นรถยนต์ที่มีแนวโน้มว่าจะมีมูลค่าราคาสูงขึ้น ไม่ว่าจะผลิตก่อน 1 มกราคม 1978 หรือไม่ก็ตาม เช่น Porsche Boxster 986, BMW Z3, Mercedes Benz SLK R170, Mazda MX-5, Lotus Elise, Aston Martin (all models) ส่วนรถยนต์ที่ยังคงมูลค่าทรงตัว และมีแนวโน้มราคาต่ำลง แม้ว่าจะผลิตก่อน 1 มกราคม 1978 ก็ตาม ถ้าหากว่ารถยนต์กลุ่มนั้นไม่ได้รับความนิยม และไม่มีความเชื่อมั่นจากวงการรถยานยนต์ว่าจะมีมูลค่าสูงขึ้นในอนาคตอันใกล้ ก็ยังคงต้องถือว่าเป็น “รถเก่า” ทั่วๆ ไปนั่นเอง ตัวอย่าง รถยนต์คลาสสิก ยอดนิยม จากที่เราพยายามหาคำนิยามมากมายมาจำกัดความให้กับรถยนต์คลาสสิก ตอนนี้ถึงเวลาพาทุกคนมารู้จักสุดยอดรถยนต์คลาสสิกที่ทั้งเก๋า และไม่เคยเก่า แถมยังเป็นรถยนต์คลาสสิกรุ่นโปรดในดวงใจของหลายๆ คนอีกด้วย จะมีรุ่นอะไรบ้าง มาดูกัน Volkswagen Beetle ความเก๋าของรถเต่าในตำนาน หรือ Volkswagen Beetle ครองใจผู้หลงใหลรถยนต์คลาสสิกแนวน่ารักๆ มานานกว่า 80 ปี เป็นรถยนต์รุ่นแรกของค่ายรถยนต์ Volkswagen โดยเป็นรุ่นที่ออกแบบเพียงครั้งเดียว แต่สามารถทำยอดขายได้สูงสุด และผลิตเป็นระยะเวลานานที่สุดในประวัติศาสตร์ยานยนต์ Mercedes-Benz 300SL รถยนต์คูเป้เปิดประทุนสุดหรูหราที่ประสบความสำเร็จเรื่องครองการแข่งรถสปอร์ตในช่วงต้นยุค 50 ทั้งสวยและดูดียกระดับให้ผู้ใช้ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แม้จะเป็นรถเก่า แต่ยังคงสวยในสายตาสาวกแบรนด์ Mercedes-Benz เสมอ Porsche 911 Porsche 911 คันแรกนั้นถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1963 โดยถูกผลิตขึ้นมาแทนที่ Porsche 356 และได้กลายมาเป็นขวัญใจกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบรถสปอร์ตอย่างกว้างขวางในขณะนั้น ปัจจุบันรถคลาสสิกรุ่นนี้ได้กลายเป็นรุ่นที่เก่าที่สุดของค่าย Porsche ที่ยังดำเนินสายการผลิตอยู่ และเป็นหนึ่งในชื่อรุ่นประเภทคูเป้ที่เก่าที่สุดในโลกอีกด้วย BMW 3.0 CSL สุดยอดรถสปอร์ตคูเป้ในปี ค.ศ. 1971 แม้กาลเวลาจะเดินทางผ่านไปถึง 40 กว่าปีแล้ว ความงดงามคลาสสิกของตัวรถรุ่นนี้กลับยิ่งเพิ่มสูงขึ้น ทั้งสเปคเเละสมรรถนะของรถ ทำให้รถรุ่นนี้เป็นที่หมายปองของนักเล่นรถทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบัน Jaguar E type รถยนต์รุ่นนี้ได้รับการขนานนามมาอย่างยาวนานว่าเป็นรถสปอร์ตที่สวยตลอดกาล โดยผลิตออกสู่ตลาดตั้งแต่ปี 1961 ซึ่งมีการพัฒนาเครื่องยนต์อย่างต่อเนื่องจนเป็นขวัญใจนักซิ่งหลายๆ คน Ford Mustang 1965 Ford Mustang รถยนต์สายพันธุ์อเมริกันเปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 1964 มีดีไซน์แนวสปอร์ตแข็งแรง จนถูกนำไปใช้ในภาพยนตร์เรื่อง The Fast and the furious จนทำให้มีกระแสความนิยมมากกว่าแต่ก่อนขึ้นไปอีก Nissan Skyline รถยนต์รุ่นนี้เป็นที่รู้จักในฐานะของรถครอบครัวตระกูลชั้นสูง มีคลาสระดับหรูหรา ถูกผลิตในปี ค.ศ. 1968 – ปี ค.ศ. 1972 และยังได้รับความนิยมมาถึงทุกวันนี้ Honda NSX Type R Honda NSX มีการใช้อากาศพลศาสตร์และการออกแบบที่ล้ำสมัย ก้าวข้าม หรือเทียบเท่าความสามารถเครื่องยนต์ V8 ของ Ferrari ในยุคนั้น โดยเป็นรถสปอร์ตสมรรถณะสูงจากดินแดนปลาดิบอย่างญี่ปุ่น ที่ทุกวันนี้ยังมีความต้องการของตลาดสูงอยู่ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงรถยนต์คลาสสิกยอดนิยมบางส่วนเท่านั้น ยังมีรุ่น Volvo P1800, AC COBRA, Chevrolet chevelle ss, Aston Martin, Toyota Supra, Mitsubishi Evo, Subaru Impreza, และอีกมากมายที่เราไม่ได้กล่าวถึง แต่ได้รับความนิยมสูงมากในตลาดและวงการรถยนต์คลาสสิก ครั้งหน้าเราจะเอาสาระที่น่าสนใจเกี่ยวกับวงการรถยนต์คลาสสิกเรื่องไหน หรือรุ่นใดมากฝากอีก กดติดตาม (Subscribe) ไว้ก่อนได้เลย เพื่อไม่ให้พลาดบทความดีๆ จากพวกเรา
รอยสีถลอกเล็กๆ น้อยๆ บริเวณผิวรถที่ไม่รู้ว่าได้มาตอนไหน หรืออาจเกิดจากอุบัติเหตุเล็กๆ ที่ไม่ทันระวัง อาจสร้างความหงุดหงิดใจให้คนรักรถไม่น้อย แต่จะขับไปเข้าอู่เพื่อแก้สีก็ใช้เวลาไม่น้อย ทั้งรอคิว ทั้งรอทำ บางร้านก็ใช้เวลาซ่อมสีเป็นสัปดาห์ บางร้านหนักกว่า กินเวลาร่วมเดือน มีเหตุสำคัญต้องใช้รถทีไรก็ต้องเปลี่ยนแผน หลายคนจึงตัดสินใจปล่อยเลยตามเลย รอให้รอยถลอกเล็กๆ กลายเป็นแผลใหญ่ก่อนค่อยไปซ่อมทีเดียว และสุดท้ายก็ต้องจ่ายแพงมากขึ้นอีก แถมยังใช้เวลานานขึ้นตามไปด้วย แต่หลังจากนี้ไป การซ่อมสีจะเป็นเรื่องง่าย และใช้เวลาไม่นาน เพราะ ซ่อมสีด่วน ทำวันเดียวจบจริงๆ แต่จะทำอย่างไร มาพิสูจน์ด้วยขั้นตอนในการซ่อมสีด่วนกัน ขั้นตอนการซ่อมสีด่วน ถ้าต้องการพิสูจน์ว่าซ่อมสีด่วนสามารถซ่อมให้จบได้ภายในวันเดียวจริงหรือไม่ การรู้ขั้นตอนการซ่อมสีด่วนอาจช่วยให้เรามั่นใจได้มากยิ่งขึ้น โดยสามารถแบ่งได้ 5 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 : เช็ครอยสีถลอก ขั้นตอนแรกในการเริ่มซ่อมสีด่วน ทางร้านจะต้องตรวจสอบร่องรอยสีถลอก ที่ต้องการจะซ่อมสีด่วนก่อน โดยปกติแล้วมักจะเป็นรอยเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก เพราะถ้ารอยเป็นจุดใหญ่เกินไปอาจไม่ตรงตามเงื่อนไขในการซ่อมสีด่วน ซึ่งการซ่อมสีด่วนจะคิดราคาตามขนาดของรอยสีถลอก ยิ่งจุดใหญ่ ราคาก็จะเพิ่มไปตามขนาด นอกจากนั้นสีดั้งเดิมของรถก็มีส่วนเช่นกัน รถยนต์ที่มีสีมุก หรือสีทูโทน อาจจะมีราคาซ่อมสีด่วนที่สูงกว่า ทั้งนี้อาจขึ้นอยู่มาตรฐาน และดีลโปรโมชั่นของแต่ละอู่ด้วยว่า ใช้หลักใดบ้างในการกำหนดราคาซ่อมสีด่วน ขั้นตอนที่ 2 : ทำความสะอาด และ ขัดผิวรถ หลังจากกำหนดจุดที่ต้องการซ่อมสีด่วนแล้ว ทางร้านก็จะเริ่มเตรียมผิวรถให้พร้อมในการทำสี เริ่มจากทำความสะอาดเบื้องต้น เพื่อล้างคราบสิ่งสกปรกที่เกาะติดอยู่บริเวณผิวรถออกให้หมด จากนั้นเช็ดให้แห้ง แล้วปล่อยทิ้งไว้สักพัก เมื่อผิวรถแห้งแล้วจึงเริ่มลงมือขัดผิวรถบริเวณที่เป็นรอยสีถลอก โดยใช้กระดาษทรายขัดบริเวณที่เป็นรอยสีถลอกให้เรียบเนียนก่อน ซึ่งแต่ละร้านนั้นจะใช้เบอร์กระดาษทรายที่แตกต่างกันไป โดยส่วนใหญ่จะเริ่มขัดด้วยเบอร์ 320 หรือ 600 ก่อน ตามด้วยด้วยกระดาษทรายเบอร์ 1000 เพื่อความเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น เมื่อขัดผิวรถจนเรียบเนียนระดับหนึ่งแล้วจึงทำความสะอาดผิวรถอีกรอบก่อนทำขั้นตอนถัดไป ขั้นตอนที่ 3 : โป๊สีกลบรอยลึก และติดกระดาษกาว การขัดด้วยกระดาษทรายอาจทำให้ผิวรถที่ถลอกเรียบเนียนได้ระดับหนึ่ง แต่ในบางรอยที่มีลักษณะค่อนข้างเป็นรอยลึก ทางร้านนิยมใช้การโป๊สีในการเตรียมผิวรถ เพื่อความเรียบเนียนและพร้อมสำหรับลงสีมากที่สุด ซึ่งสีโป๊ก็จะมีคุณภาพที่แตกต่างกันไป อยู่ที่ว่าร้านนั้นจะเลือกใช้สีโป๊แบรนด์ไหน โดยจะโป๊สีลงไปบริเวณที่เป็นรอย จากนั้นใช้กระดาษขัดอีกครั้งเพื่อให้ผิวรถเรียบเนียนเสมอกัน เมื่อผิวดูเรียบเนียนเหมาะสมแล้วจึงทำความสะอาดอีกรอบ และเป่าลมให้ผิวรถแห้ง เมื่อรถแห้งได้ที่ ทางร้านจะจำกัดบริเวณในการพ่นสีให้อยู่ในจุดที่ต้องการเท่านั้น โดยการนำกระดาษและกระดาษกาวมาติดบริเวณโดยรอบจุดที่ซ่อมเอาไว้ เพื่อป้องกันสีกระเด็น หรือสาดไปโดนขณะพ่นสี ปกติแล้วมักจะติดกระดาษหรือคลุมรอบคันรถ เว้นไว้เพียงบริเวณที่ต้องการซ่อมเท่านั้น เมื่อติดจนรอบแล้วจึงลงมือขั้นตอนต่อไปทันที ขั้นตอนที่ 4 : ผสมสี และ พ่นสี เมื่อเตรียมผิวรถจนครบทุกขั้นตอนแล้ว ต่อไปจะเป็นการเข้าสู่ขั้นตอนการพ่นสี การพ่นสีนั้นควรทำภายในห้องอบสี เพื่อควบคุมอุณหภูมิ และแรงลม รวมถึงปริมาณฝุ่นละอองจากภายนอก แนะนำให้คุณควรเลือกอู่ซ่อมสีด่วนที่ได้มาตรฐาน มีห้องอบสีและเครื่องอบสีพร้อมสำหรับซ่อมสีด่วน ขั้นตอนการพ่นสี เริ่มจากการเช็ดคราบมัน และรอยฝุ่นในบริเวณที่ต้องการพ่นอีกครั้ง จากนั้นเริ่มพ่นสีพื้นหรือสีรองพื้นของรถยนต์ โดยเฉพาะบริเวณรอยที่โป๊สีไว้ เพื่อกลบรอยโป๊สีให้เรียบเนียน จากนั้นทางร้านจะผสมสีให้ตรงตามสีรถของคุณ จากนั้นจึงพ่นลงไปบริเวณรอยที่ต้องการซ่อมด้วยเครื่องพ่น โดยงานสีจะเนี๊ยบหรือไม่ เบื้องต้นขึ้นอยู่กับสีและอุปกรณ์ที่ใช้พ่น ถ้าทางร้านที่คุณเลือก ใช้สีคุณภาพและเครื่องพ่นมาตรฐาน รับรองว่าคุณสามารถวางใจในความเนี๊ยบไปได้เปราะหนึ่งแล้ว โดยในขั้นตอนนี้จะใช้เวลานานไม่นาน ขึ้นอยู่กับความชำนาญของช่างที่พ่นสีเช่นกัน ขั้นตอนที่ 5 : ปัดเงา และ เก็บงาน เมื่อพ่นสีจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก และเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการซ่อมสีด่วน นั่นก็คือ การปัดเงา และ การเก็บงาน สีที่พ่นลงไปอาจจะสวยเงาระดับหนึ่ง แต่อาจทำยังไม่เนียนไปกับสีของรถในส่วนอื่น เพราะขาดความเงางาม ดังนั้นร้านที่ได้มาตรฐานและควรค่าการแก่นำรถไปซ่อมสีด่วน ควรที่จะมีขั้นตอนการปัดเงาด้วย การปัดเงานั้นจะใช้อุปกรณ์สำหรับปัดเงาโดยเฉพาะ เมื่อปัดเงาเรียบร้อยแล้วผิวรถจะเงางามเรียบเนียนไปทั้งตัวรถ เหมือนไม่เคยมีรอยมาก่อน สุดท้ายทางร้านก็จะตรวจเช็คเก็บงานในจุดที่ซ่อม ว่ายังมีร่องรอย หรือขาดตกจุดไหนหรือไม่ เพื่อปัดเงาและปัดฝุ่นให้งานเนี๊ยบที่สุด เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการซ่อมสีด่วน เมื่อพิจารณาจากขั้นตอนการซ่อมสีด่วนแล้ว อาจเป็นข้อยืนยันได้ว่า ซ่อมสีด่วนนั้น ซ่อมจบ ได้ในวันเดียวจริงๆ ทั้งนี้ระยะเวลาที่บานปลายในแต่ละกรณี อาจขึ้นอยู่กับความชำนาญการของทีมช่างซ่อมสีด่วน ถ้าช่างมีประสบการณ์ บวกกับสีและเครื่องมือซ่อมสีระดับพรีเมี่ยม เวลาในการซ่อมสีด่วนนั้นไม่มีทางเกินหนึ่งวันอย่างแน่นอน อีกทั้งยังได้คุณภาพงานเหมาะสมกับราคาอีกด้วย อย่าลืมเช็คร่องรอยของรถยนต์เป็นประจำ และถ้าหากคุณกำลังมองหาอู่ซ่อมสีด่วนที่ทั้งคุ้มค่า และประหยัดเวลา เราขอแนะนำให้ SCG Carbody เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการดูแลสีรถ และซ่อมแซมแผลสีถลอกให้กับคุณ เพราะอู่ของเรารับบริการซ่อมสี และตัวถัง อย่างเร่งด่วน โดยช่างมากประสบการณ์ บวกกับเครื่องมือ และเทคโนโลยีพิเศษรวดเร็วมาตรฐานญี่ปุ่น มั่นใจได้เลยว่าทุกงานซ่อมสีด่วนต้องเนี๊ยบ เก็บเรียบในทุกรอยแผล ที่สำคัญอู่ของเรา ซ่อมสีด่วนทันใจ ทันใช้ภายในหนึ่งวัน ส่งตอนเช้ารับตอนเย็นได้เลย ลองหาโอกาสแวะมาซ่อมสีด่วนที่เราได้นะครับ Quickwash x SCG Carbody
รถสั่นเป็นเจ้าเข้า ปัญหาที่ทำให้คนรักรถอย่างเราต้องเกาหัว สตาร์ทรถทีไรเครื่องยนต์ก็เกิดอาการสั่นสะเทือนเหมือนแผ่นดินไหว สวิงขึ้นๆ ลงๆ หนักเข้าท่อไอเสียก็มีควันดำออกมา โดยปัญหาน่าปวดใจเหล่านี้อาจมาจาก “รอบเดินเบาไม่นิ่ง” แต่จะแก้ยังไงไม่ให้เกิดขึ้นอีก เราจะพามาขุดหาต้นตอของปัญหานี้ เพื่อแก้ไขให้มันจบได้ตรงจุดจริงๆ แต่ก่อนจะแก้ไขเราต้องเข้าใจซะก่อน รอบเดินเบาคืออะไร? รอบเดินเบา คือ รอบเครื่องยนต์ขณะที่รถยนต์ไม่เคลื่อนที่แต่มีการสตาร์ทเครื่องยนต์ไว้โดยปกติ ซึ่งรอบเดินเบาปกติแล้ว เข็มจะเคลื่อนขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ถึงเลข 1 โดยรอบเครื่องจะอยู่ที่ช่วง 700 - 800 รอบ/นาที หากรอบเครื่องยนต์นั้นมีความผิดแปลกไปจากนี้ คุณอาจต้องเฝ้าระวังหรือรีบตรวจเช็คทันที เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่ารอบเดินเบาของคุณกำลังมีปัญหาอยู่ วิธีสังเกตง่ายๆ ที่มองเห็นได้ชัดที่สุดคือ เมื่อจอดรถให้หยุดนิ่ง เครื่องยนต์จะสั่นจนหวิดดับเหมือนกำลังจะขาดใจ สลับกับรอบเครื่องที่สวิงขึ้นลงช่วง 500 – 1,200 รอบ/นาที ซึ่งการเติมคันเร่งอาจช่วยไม่ให้เครื่องดับได้ แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ให้จบได้จริงๆ ปัญหานี้ก็ยังคงวนกลับมากวนใจอยู่เรื่อยไป หากไม่รีบแก้ อาจทำให้ไม่สามารถคุมรอบเครื่องยนต์ได้ จนนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุ รอบเดินเบาไม่นิ่งมักจะพบในรถเก่าอายุการใช้งานหลายปี แต่ไม่ว่าจะรถเก่าปีเยอะหรือรถใหม่ปีน้อยก็ควรระวัง เพราะตัวการสำคัญของเรื่องนี้คือความสกปรก และความเสื่อมสภาพของอะไหล่เครื่องยนต์ ส่งผลให้การทำงานของเครื่องยนต์นั้นผิดปกติไป แต่จะเกิดจากชิ้นส่วนไหนบ้าง เราจะมาสาเหตุที่แท้จริง และแก้ปัญหานี้ให้จบได้จริงๆ กัน รอบเดินเบาไม่นิ่ง อาจเกิดปัญหาจาก… มอเตอร์รอบเดินเบาสกปรก สาเหตุอันดับต้นๆ ที่ทำให้รอบเดินเบาไม่นิ่งก็คือ มอเตอร์รอบเดินเบา (Idle Speed Control) โดยมอเตอร์รอบเดินเบา ทำหน้าที่ควบคุมรอบเครื่องยนต์ให้คงที่ หากลองสังเกตแล้วพบว่าเครื่องยนต์มีอาการสั่น เราแนะนำให้เริ่มเช็คที่จุดนี้เป็นอันดับแรกก่อนเลย โดยอาการที่เกิดจากมอเตอร์รอบเดินเบาสกปรก คือ รถจะมีอาการเครื่องยนต์สั่น เมื่อจอดรถนิ่งอยู่กับที่ รอบเครื่องยนต์จะค่อยๆ ตกลง จนมีอาการสั่นสะเทือนและหวิดดับ มักเกิดขึ้นกับรถที่มีอายุการใช้งาน 5 ปีขึ้นไป แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน หากใช้งานอย่างหนัก สมบุกสมบัน รถใหม่ก็อาจเกิดอาการนี้ขึ้นได้เช่นกัน วิธีแก้ไขเบื้องต้น หากคุณพอมีความรู้พื้นฐานด้านเครื่องยนต์อยู่บ้าง เราสามารถแก้ไขมอเตอร์รอบเดินเบาสกปรกได้เอง โดยการถอดมอเตอร์รอบเดินเบาออกมาแล้วใช้แปรงสีฟันขัดด้วยน้ำมันเบนซินให้สะอาด คราบสกปรกจะติดอยู่โดยรอบตัวมอเตอร์ จากนั้นให้นำไปผึ่งลมให้แห้ง แต่ถ้าหากคุณไม่ค่อยมีความรู้พื้นฐานด้านเครื่องยนต์หรืออาจไม่มั่นใจ แนะนำว่าควรส่งไม้ต่อให้ช่างผู้เชี่ยวชาญจัดการให้ดีกว่า Tips : ขณะถอดมอเตอร์ออกมา ระวังอย่าให้แหวนโอริงหายโดยเด็ดขาด ลิ้นปีกผีเสื้อสกปรก ลิ้นปีกผีเสือ (Air Throttle) มีรูปลักษณ์เหมือนปีกผีเสื้อ ทำหน้าที่ควบคุมการไหลของอากาศภายนอกเข้าห้องเครื่องยนต์ เมื่อต้องทำงานคบคู่กับเครื่องยนต์ การที่ลิ้นปีกผีเสื้อสกปรกจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก อาจเกิดเขม่าดำ คราบเหนียว ไอน้ำมันเกาะที่ลิ้นปีกผีเสื้อตลอด และเกิดเป็นคราบสกปรกสะสม เกาะติดแน่น จนเป็นสาเหตุให้อากาศไม่สามารถเข้าไปช่วยในเรื่องของการเผาไหม้ได้ ทำให้รถรอบเดินเบาไม่นิ่ง สวิงขึ้นลง รอบเครื่องต่ำจึงทำให้เครื่องดับ เกิดอาการสั่นขณะเร่ง และอาจทำให้รถมีอาการกินน้ำมันมากยิ่งขึ้น วิธีแก้ไขเบื้องต้น เราควรตรวจเช็คและทำความสะอาดลิ้นปีกผีเสื้อเป็นประจำ ในทุกระยะการใช้งาน 20,000 – 30,000 กิโลเมตร หากคุณมีความรู้พื้นฐานเรื่องเครื่องยนต์ ลิ้นปีกผีเสื้อสามารถถอดมาทำความสะอาดได้เช่นกัน ซึ่งมีวิธีการคล้ายกับมอเตอร์รอบเดินเบา เพียงใช้สเปรย์ฉีดทำความสะอาดไปที่คราบน้ำมันและสิ่งสกปรกที่เกาะแน่นที่ลิ้นปีกผีเสื้อที่ถอดออกมา แล้วใช้แปรงขัดให้สะอาดหมดจดไปเลย เซนเซอร์ลิ้นปีกผีเสื้อ ระบบเซนเซอร์ลิ้นปีกผีเสื้อ ทำหน้าที่วัดปริมาณของอากาศที่ผ่านเข้าไปในท่อ เมื่อไม่ค่อยได้ดูแล เซนเซอร์ก็จะสกปรกและเกิดคราบฝังแน่น ส่งผลให้เครื่องยนต์เบาดับได้ วิธีแก้ไขเบื้องต้น หากมีความรู้พื้นฐาน คุณสามารถใช้สเปรย์ทำความสะอาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปในการทำความสะอาด จากนั้นเช็ดให้แห้ง เครื่องยนต์จะกลับมาใช้งานได้ปกติอีกครั้ง ในบางกรณีที่ลองทำแล้วอาการเหล่านี้ไม่หายไป ยังคงสั่นอยู่ แนะนำให้ขับรถคู่ใจไปเปลี่ยนเซนเซอร์ใหม่ได้เลย ท่อแวคคั่มรั่ว สายท่อแวคคั่ม (Vacuum) ทำหน้าที่ช่วยเร่งไฟจุดระเบิดในรอบเดินเบา ผู้ใช้รถรุ่นที่ผลิตก่อนปี 2000 อาจเจอกับปัญหานี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะรถทั้งแบบจ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด หรือคาบูเรเตอร์ ล้วนมีสายท่อแวคคั่มควบคุมการทำงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งท่อแวคคั่มนั้นทำจากสายยาง หรือซิลิโคน จึงเสื่อมสภาพตามอายุใช้งานเป็นเรื่องปกติ ควรตรวจเช็คและเปลี่ยนใหม่เรื่อยๆ เพื่อป้องกันการรั่วหรือแตก และส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานแบบไม่มีประสิทธิภาพ รอบเดินเบาไม่นิ่ง เครื่องยนต์สั่น ยิ่งถ้าจอดนิ่งติดไฟแดงก็มีโอกาสเครื่องดับสูงมากขึ้น วิธีแก้ไขเบื้องต้น หากมีความรู้พื้นฐาน ให้ลองตรวจสอบสายแวคคั่มทุกสาย ไล่ตรวจเช็คไปทีละเส้น หากพบรอยรั่วตรงจุดไหนให้ตัดออก แล้วสวมส่วนที่เหลือใส่กลับเข้าไป แนะนำว่าหากพบว่ามีสายแวคคั่มเส้นหนึ่งผิดปกติหรือเปื่อยทะลุ ให้เปลี่ยนยกเซ็ต เพราะสายอื่นย่อมมีสภาพที่ใกล้เคียงกัน หัวเทียนบอด หัวเทียนเป็นส่วนสุดท้ายที่เราอยากให้คุณไล่ตรวจสอบ เพราะมีความสำคัญต่อการสตาร์ทรถมาก ทำหน้าที่จุดระเบิดของเครื่องยนต์ โดยปล่อยกระแสไฟแรงดันสูง ไม่ต่ำกว่า 10,000 โวลต์ ทนความร้อนไม่ต่ำกว่า 2,000 องศาเซลเซียส เพื่อติดเครื่องรถยนต์ หากหัวเทียนบอด รถจะเกิดอาการสตาร์ทติดยาก เมื่อเครื่องยนต์ติดและจอดอยู่กับที่ รอบจะสวิงลงต่ำจนเกือบดับ หากเป็นขณะรถวิ่งก็จะมีอาการกระตุก สำลักความเร็ว และกินน้ำมันเชื้อเพลิงมากยิ่งขึ้น วิธีแก้ไขเบื้องต้น หัวเทียนบอดเป็นอาการที่ไม่สามารถซ่อมได้ มีเพียงวิธีการเปลี่ยนเท่านั้นที่ช่วยได้ แต่ราคาการเปลี่ยนหัวเทียนนั้นไม่สูงอย่างที่คิด สามารถซื้อหัวเทียนมือหนึ่งมาเปลี่ยนเองได้เลยหากมีความรู้พื้นฐานมากพอ เริ่มจากเปิดฝากระโปรงเครื่องยนต์ แล้วหาจุดที่ติดตั้งหัวเทียน เพื่อเปลี่ยนหัวเทียนใหม่ลงไปแทน จากนั้นลองสตาร์ทรถดูอีกครั้ง หากติดง่ายขึ้น และรอบเดินเบาไม่สะดุดก็แสดงว่าเราแก้ปัญหานี้ได้ตรงจุดแล้วจริงๆ เมื่อรู้ปัญหาที่แท้จริงแล้วว่าเกิดควรที่ส่วนไหน ควรรีบดำเนินการตรวจเช็คและแก้ปัญหาให้ถูกจุดทันที แม้รอบเดินเบาไม่นิ่งอาจเป็นเพียงปัญหากวนใจในตอนนี้ แต่มั่นใจได้เลยว่าหากละเลยจุดนี้ต่อไป อาจจะเพิ่มค่าใช้จ่ายจนกระเป๋าสตางค์รับไม่ไหวก็เป็นได้ และที่แย่ไปกว่านั้น คืออาจจะทำให้คุณและเพื่อนร่วมทางเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ รีบแก้ไขไว้ปลอดภัยกว่า แต่สำหรับมือใหม่ รวมถึงผู้ใช้รถที่ไม่มั่นใจ และไม่มีความรู้พื้นฐานด้านเครื่องยนต์มาก่อน ปัญหาในแต่ละส่วนที่บอกไปอาจยากที่จะตรวจเช็คและแก้ไขได้ด้วยตัวเอง เราแนะนำให้คุณหาศูนย์บริการที่เชื่อถือได้มาช่วยแก้ไขปัญหารอบเดินเบาไม่นิ่งให้กับคุณ หรือลองเปิดใจเข้ามาตรวจเช็คที่อู่ของเรา SCG Performance พร้อมตรวจเช็คเครื่องยนต์ และแก้ไขปัญหารอบเดินเบาได้อย่างตรงจุด โดยช่างมากประสบการณ์ มั่นใจได้ว่าเช็คครบ ซ่อมจบในที่เดียวครับ Quickwash x SCG Performance
ระบบช่วงล่าง เป็นอีกส่วนสำคัญที่ส่งผลต่อการขับเคลื่อนรถยนต์ โดยเฉพาะระบบเบรคและยางที่ทำหน้าที่ในการควบคุมรถ ความปลอดภัยของผู้ใช้ขึ้นอยู่กับการดูแลในส่วนนี้ แต่จะมีวิธีดูแลอย่างไรบ้าง เราจะมาแชร์ให้ได้ทุกคนรู้กัน แม้ระบบช่วงล่างจะประกอบด้วยส่วนสำคัญอีกหลายส่วน อาทิเช่น.. ลูกหมาก โช๊คอัพ และชุดคันส่ง แต่บทความนี้เราจะมาเจาะลึกวิธีดูแลระบบเบรกและยางที่ไม่ควรละเลยเป็นอันขาด เพื่อลดโอกาสเสี่ยงไม่ให้เกิด อุบัติเหตุ หรือปัญหาบานปลายที่เพิ่มค่าใช้จ่ายให้กับคุณ เราจึงควรดูแลให้ถูกหลัก เพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยในการขับขี่รถยนต์ แต่เบรกและยางจะมีวิธีแตกต่างกันอย่างไรบ้าง สัญญาณเตือน ถ้าละเลยระบบเบรก.. เหยียบเบรกไม่สุด : กำลังมีปัญหาเกี่ยวกับระบบเบรก อาจเป็นเพราะน้ำมันเบรคต่ำ หรือผ้าเบรกสึกแล้ว มีเสียงดังเวลาเหยียบเบรค : ตัวเหล็กที่ยึดติดกับแผ่นดิสค์เบรก ไปขูดกับขอบบนของจานเบรค ไฟหน้าปัดมีสัญญาณเบรกเตือน : เวลาเหยียบเบรกแล้วรู้สึกว่า ต้องออกแรงเหยียบมากขึ้น หากรถยนต์ของคุณกำลังเกิดอาการดังกล่าว แสดงว่าคุณกำลังละเลยระบบเบรก และถึงเวลาที่ต้องตรวจเช็คและดูแลอย่างละเอียด เพื่อรีบแก้ปัญหาเล็กๆ ก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ และทำให้คุณต้องเสียค่าซ่อมจนกระเป๋าฉีก หรืออาจจะนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุหรือความอันตรายต่อชีวิตได้ แต่จะมีวิธีดูแลอย่างไรบ้าง มาดูกัน วิธีดูแลระบบเบรก ระบบเบรก (Brake) หนึ่งในระบบช่วงล่างที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการชะลอความเร็วของรถ และหยุดรถ แต่หลายคนก็อาจละเลยและไม่ได้ตรวจเช็ค เพราะคิดว่ายังไม่มีปัญหา ยังเบรกอยู่ และบางคนก็คิดว่าเบรกอยู่ในจุดที่มองเห็นได้ยาก ไม่สามารถเช็คได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งยังมีอุปกรณ์มากมายหลายส่วนที่เกี่ยวข้องอีก ไม่ว่าจะเป็น จานเบรก ผ้าเบรก น้ำมันเบรก และสายต่างๆ แต่ความจริงแล้วเราสามารถตรวจเช็คและดูแลในขั้นเบื้องต้นได้ ดังนี้ 1. ตรวจเช็คผ้าเบรก ผ้าเบรก ถือว่าเป็นส่วนที่สึกหรอไวที่สุดในระบบเบรก เนื่องจากผ้าเบรกอาจมีเหล็กหรือเศษหินมาติดอยู่ หรืออาจเสียดสีกับจานเบรก ซึ่งอาจทำให้จานเบรกเป็นรอยได้ เราควรตรวจเช็คผ้าเบรกเสมอว่าเนื้อผ้าเบรกเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าความหนาลดลงเรื่อยๆ จนต่ำกว่า 3 มิลลิเมตร นั้นแสดงว่าเริ่มไม่ปลอดภัยแล้ว เพราะผ้าเบรกที่บางมากจะเกิดการสึกหรอได้รวดเร็วกว่าปกติหลายเท่า เนื้อผ้าเบรกอาจหลุดร่อนกะทันหัน ส่งผลให้แผ่นเหล็กเสียดสีกับจานเบรกจนเสียหาย หรือนำไปสู่เหตุการณ์อันตรายอย่าง เบรกแตก ได้ 2. ตรวจเช็คจานเบรก จานเบรกเป็นส่วนที่คดงอได้ง่าย ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นกับรถที่ใช้งานหนักแล้วเกิดความร้อนสะสมจะจานเบรกมีอุณหภูมิสูงจัด เมื่อขับรถผ่านจุดที่มีน้ำขัง หรือนำรถไปฉีดล้างทันทีก็อาจทำให้จานเบรกที่ทำจากโลหะเกิดอาการคดเบี้ยวอย่างเฉียบพลันได้ เราจึงควรเช็คจานเบรกอยู่เสมอ หากจานเบรกเบี้ยว คดงอ หรือมีร่องลึกเป็นเส้นยาวที่เกิดจากเศษหินเศษเหล็กมาติด ให้นำจานเบรกไปเจียหรือเปลี่ยนทันทีเลย ซึ่งควรได้รับการดูแลจากช่างที่มากประสบการณ์ เพราะหากเจียจานเบรกจนบางเกินไป อาจเกิดการแตกร้าวได้ 3.เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรก น้ำมันเบรกอาจจะมีอายุที่นานกว่าน้ำมันเครื่องจนละเลยไป แต่ความจริงแล้วเราควรเปลี่ยนน้ำมันเบรกอย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี หรือเปลี่ยนทุก 25,000 กิโลเมตร เพราะน้ำมันเบรกก็มีโอกาสเสื่อมสภาพเหมือนกับของเหลวเติมเครื่องยนต์ชนิดอื่นๆ เช่นกัน น้ำมันเบรกที่เปลี่ยนควรจะใช้ค่ามาตราเดิมตามคู่มือหรือตามที่ระบบเบรคนั้นๆ บอกไว้ เช่น DOT 4 ควรใช้ DOT 4 เท่านั้น ไม่ควรนำน้ำมันเบรกค่าอื่นๆ มาผสมลงไป เพราะอาจทำให้ลูกยางหรือท่อสายต่างๆ บวมได้ เป็นอีกจุดที่สำคัญมากและไม่ควรละเลย 4. ตรวจเช็คท่อและสายต่างๆ เราอาจจะไม่สามารถตรวจเช็คท่อและสายต่างๆ ได้ทั้งหมด เนื่องจากอาจมีส่วนที่ลึกลงไปใต้ท้องรถ แต่เราควรตรวจเช็คท่อและสายต่างๆ ที่สามารถมองเห็นจากด้านบนหรือห้องเครื่อง ว่าสายยังนิ่มอยู่ไม่เสียรูป หรือแตกร้าว หากเกิดอาการแข็งกระด้างมาก อาจทำให้น้ำมันเบรกอาจจะซึมออกขณะใช้งาน จนทำให้รถเบรกแตกได้ สัญญาณเตือน ถ้าละเลยเรื่องยางรถยนต์.. แก้มยางแตกและมีรอยร้าว : จอดรถกลางแดดเป็นเวลานาน จนยางเสื่อมสภาพ และเกิดรอยแตกที่เนื้อยาง ดอกยางสึก : หน้ายางสัมผัสพื้นถนนมากเกินไปจนสึกหรอ รู้สึกล้อสั่นสะเทือนผิดปกติ : เกิดช่องว่างระหว่างดุมล้อ และล้อแม็ก ลมยางอ่อนลงเร็วกว่าปกติ : อาจมีบางอย่างกำลังทิ่มหรือตำยางอยู่ ยางมีเสียงดังแปลกๆ : เกิดช่องว่างระหว่างดุมล้อ และล้อแม็ก หากยางรถยนต์ของคุณกำลังเกิดอาการดังกล่าว แสดงว่าคุณกำลังละเลยยางรถจนมันเกิดปัญหาเสียแล้ว ถึงเวลาที่ต้องตรวจเช็คและดูแลอย่างละเอียด เพื่อยับยั้งปัญหาที่จะบานปลาย ที่อาจจะนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุหรือความอันตรายต่อชีวิตได้ วิธีดูแลยางรถยนต์ ยางรถยนต์ เป็นส่วนที่เห็นได้ชัดและสังเกตได้ไม่ยาก แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าควรเปลี่ยนยางตอนไหน ควรดูแลยังไง เราจึงจะมาแชร์ทริคดูแลยางง่ายๆ ให้ทุกคน ดังนี้ ตรวจสอบความดันลมยาง หากยางของคุณลมอ่อน ยางจะสะสมความร้อนอยู่ในตัว และเป็นแผลแตกได้ง่าย และหากยางของคุณมีลมมากเกินไป ยางก็อาจระเบิด และดอกยางก็เสื่อมเร็วกว่ากำหนด การตรวจเช็คความดันลมยางนั้นสำคัญมาก หากละเลยอาจส่งผลให้ยางเสื่อมไว และทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงได้ ควรใช้ความดันลมยางให้เหมาะสมตามที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ห้ามบรรทุกเกินดัชนีน้ำหนัก การบรรทุกน้ำหนักเกินดัชนีน้ำหนักที่ยางกำหนดไว้ จะทำให้ขอบยางรับน้ำหนักมากเกินจนถูกบดทับทำให้เกิดรอยแตกลายงา และเสื่อมเร็วกว่าปกติได้ 3. หลีกเลี่ยงถนนขรุขระ สภาพถนนที่มีลักษณะขรุขระของหลุมบ่ออาจทำให้แก้มยางรถบวม ดอกยางลอก และเจาะยางแตกได้ หากได้รับแรงกระแทกสูง ยางรถอาจมีรอยแตก หรือรอยบุบได้ จึงควรหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ขรุขระหากไม่จำเป็น ไม่เพียงเพื่อความปลอดภัยแต่เพื่อยืดอายุการใช้ของยางให้นานยิ่งขึ้น 4. ขับขี่อย่างนุ่มนวล ยางของรถยนต์จะสึกหรอไปมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับขับขี่รถยนต์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการเบรกอย่างระมัดระวัง ไม่เบรกกะทันหัน การเปลี่ยนเกียร์อย่างนุ่มนวล การเร่งเครื่อง และการเข้าโค้งอย่างนุ่มนวล ก็มีส่วนช่วยยืดอายุของยาง ป้องกันไม่ให้ยางของคุณสึกหรอเร็วกว่าที่ควร 5. การเช็คดอกยาง เมื่อคุณใช้รถยนต์มาเป็นเวลานาน ยางของคุณอาจเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา แต่ไม่สามารถวางใจได้เลยว่าดอกยางของยางรถจะหมดสภาพไปแบบเท่าๆ กัน การตรวจเช็คดอกยางเป็นประจำทุกปีจะช่วยให้รู้สภาพยางของรถยนต์ในขณะนั้นได้เป็นอย่างดี ทุกวิธีดูแลระบบช่วงล่างในของส่วนของเบรกและยางที่เราแชร์ให้นั้น เป็นเพียงวิธีพื้นฐานที่ช่วยให้เราสามารถดูแลรักษาเบรกและยางให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานยิ่งขึ้นได้อย่างง่ายๆ ด้วยตัวเอง ทั้งนี้การจะดูแลและตรวจเช็คระบบเบรกและยางให้แม่นยำและถูกต้องครบจุดนั้น อาจต้องพึ่งพาความชำนาญการของช่างมืออาชีพ เพื่อให้คุณมั่นใจว่าดูแลได้ครบจุดและตรงจุด สร้างความปลอดภัยในทุกการขับขี่ เราขอแนะนำให้ SCG Performance เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการดูแลตรวจเช็คระบบช่วงล่างรถยนต์ให้กับคุณ หากพบปัญหา เจออาการไม่ว่าหนักหรือเบา เราพร้อมดูแลเต็มที่โดยช่างมากประสบการณ์ ลองเข้ามาตรวจเช็คเบรกและยางที่อู่ของเราได้นะครับ Quickwash x SCG Performance
การดูแลเรื่องน้ำมันเครื่องรถยนต์ เป็นหน้าที่สำคัญที่เจ้าของรถทุกคนควรใส่ใจ และไม่ควรละเลย ทั้งเพื่อความปลอดภัย และเพื่อยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ให้นานยิ่งขึ้น เพราะน้ำมันเครื่องเป็นส่วนสำคัญดั่งเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงเครื่องยนต์ให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าควรดูแลเรื่องนี้ยังไง ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตอนไหนกันแน่ เราจึงอยากแนะนำทริคดีๆ ที่ช่วยทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องง่ายที่ดูแลเองได้ หลายคนที่เพิ่งซื้อรถใหม่อาจจะศึกษาจากคู่มือรถที่เพิ่งได้มา ซึ่งมีรายละเอียดบอกเอาไว้ชัดเจน แต่สำหรับคนที่ใช้รถมานานแล้วอาจจะหาคู่มือไม่เจอ หรือหลงลืมหลักการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องไปว่าควรดูแลยังไง ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตอนไหน เราจึงจะมาแชร์ทริคเรื่องการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องกัน โดยแบ่งรถที่ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ รถที่มีอาการผิดปกติ และรถที่ไม่มีอาการผิดปกติ แต่ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง คุณอยู่กลุ่มไหน มีหลักการดูแลและเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแตกต่างกันยังไงบ้าง มาดูไปพร้อมๆ กันเถอะ กลุ่มที่ 1 รถที่มีอาการผิดปกติ ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เริ่มจากกลุ่มรถยนต์ที่มีอาการบ่งชี้ว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องได้แล้ว ซึ่งบอกคนอาจจะได้ไม่สังเกตว่านี่แหละ คือสัญญาณครั้งใหญ่ให้รีบไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่องได้แล้ว จะมีอาการอะไรบ้าง มาดูกัน… 1. เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นผิดปกติ ให้ลองสังเกตทุกครั้งที่ขับรถว่ามีเสียงที่ดังมาจากห้องเครื่องรถยนต์หรือไม่ ซึ่งเป็นเสียงที่ดังกว่าปกติ ถ้าหากมี ควรจอดรถ และลงจากรถเพื่อตรวจเช็คทันที เพราะการที่เครื่องยนต์มีเสียงที่ดังผิดปกตินี้ อาจมีสาเหตุมาจากน้ำมันเครื่องแห้ง หรือต่ำเกินไป 2. อัตราเร่งอืด ขณะขับรถ หากคุณเหยียบคันเร่งแล้วรู้สึกว่ารถยนต์ของคุณมีอัตราเร่งที่อืด หรือแย่ลงอย่างผิดปกติจนรู้สึกได้ อาจเป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าน้ำมันเครื่องของรถคุณเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว ควรตรวจเช็คและเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทันที 3. สีของน้ำมันเครื่องเปลี่ยนไป โดยปกติแล้วเรามักจะคุ้นชินและจดจำได้ว่า น้ำมันเครื่องใหม่ที่ยังมีคุณภาพดีเยี่ยมนั้นจะมีสีเหลืองทองโปร่งแสงเล็กน้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไป สีน้ำมันเครื่องรถยนต์มักจะมีสีเข้มขึ้นเนื่องจากสิ่งสกปรกภายในเครื่องยนต์จะถูกชะล้างติดมากับตัวน้ำมันเครื่อง หากปล่อยให้เครื่องยนต์หล่อลื่นไปกับน้ำมันดำๆ อาจทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพน้อยลง ควรทำการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทันที กลุ่มที่ 2 รถที่ไม่มีอาการผิดปกติ แต่ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง หากเช็คแล้วว่ารถของคุณยังไม่พบเจอกับอาการผิดปกติที่กล่าวไปข้างต้น และก็ไม่แน่ใจด้วยว่าตอนนี้ถึงเวลาที่ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแล้วหรือยัง เราจึงอยากให้คุณสังเกตว่า คุณใช้รถบ่อยแค่ไหน เพราะความถี่ในการใช้งานนั้นสามารถแบ่งหลักการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องได้เป็น 2 กลุ่มย่อยๆ เป็นกลุ่มแบบไหนบ้าง มาดูกัน… ใช้งานรถบ่อย = เปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะทาง สำหรับคนที่ใช้งานรถยนต์บ่อย ใช้รถเป็นประจำ ขับไปทำงาน หรือไปทำธุระบ่อยๆ เราแนะนำให้คุณเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะทางที่ขับขี่ ลองสังเกตเลขไมล์รถยนต์ หากระยะทางถึงกำหนดต้องเปลี่ยนแล้ว ให้หาเวลาพารถคู่ใจไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่องได้เลย ซึ่งปกติแล้วผู้ใช้รถส่วนใหญ่มักจะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุกๆ 8,000 - 10,000 กิโลเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของน้ำมันเครื่องที่เราใช้ด้วยว่าเหมาะสมที่จะเปลี่ยนที่ระยะเท่าใด เพื่อไม่ให้เป็นการสิ้นเปลือง น้ำมันเครื่องธรรมดา (ปิโตรเลียม) ควรเปลี่ยนที่ระยะ 7,000 - 7,500 กิโลเมตร น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ ควรเปลี่ยนที่ระยะ 10,000 - 15,000 กิโลเมตร น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ ควรเปลี่ยนที่ระยะ 15,000 - 20,000 กิโลเมตร ใช้งานรถน้อย = เปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะเวลา สำหรับคนที่ใช้งานรถน้อย เป็นรถที่จอดไว้เฉยๆ นานๆ ทีถึงจะถอยออกมาใช้สักครั้ง เลขไมล์ไม่ค่อยขยับ เราแนะนำให้คุณนับระยะเวลาการใช้งานว่า ใช้รถคันนี้มานานแค่ไหนแทนการดูจากระยะทาง โดยปกติแล้วรถที่ใช้งานน้อย ควรเปลี่ยนทุก 6 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของน้ำมันเครื่องที่เราใช้ด้วยเช่นกัน น้ำมันเครื่องธรรมดา (ปิโตรเลียม) ควรเปลี่ยนทุก 6 เดือน น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ ควรเปลี่ยนทุก 6 - 9 เดือน น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ ควรเปลี่ยนทุก 1 ปี นอกจากการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแล้ว ควรเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องพร้อมกับการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องไปด้วย เพื่อช่วยให้น้ำมันเครื่องที่เปลี่ยนใหม่นั้น สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ให้นานยิ่งขึ้นอีกด้วย ทริคที่เรานำมาแชร์วันนี้น่าจะทำให้หลายคนเข้าใจแล้วว่าควรดูแล และเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตอนไหน เพื่อต่ออายุการใช้งานเครื่องยนต์ให้นานยิ่งขึ้น หากพบว่ารถของคุณถึงเวลาอันสมควรแล้วที่จะ เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง แต่ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนที่ไหนดี เราแนะนำให้คุณขับรถคู่ใจเข้ามาเปลี่ยนน้ำมันเครื่องที่ SCG Performance ได้เลย เพราะอู่ของเราเป็นอู่ซ่อมรถมาตรฐานสูง ให้บริการด้านการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองน้ำมันเครื่องครบครัน โดยช่างมากประสบการณ์ อีกทั้งยังรับตรวจเช็คและซ่อมดูแลรถอาการอื่นด้วยความตั้งใจ การันตีว่าเซอร์วิสครบจบในที่เดียว ลองมากันได้เลยนะครับ Quickwash x SCG Performance
การล้างรถถือเป็นขั้นตอนในการดูแลรักษารถที่ เป็นการทำให้รถดูสะอาดดูดีอยู่สม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังเป็นการถนอมสีรถไปด้วยเช่นกัน แต่การล้างรถนี้ถ้าหากล้างไม่ถูกวิธีก็อาจส่งผลอันตรายต่อรถยนต์ของเราได้ด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นเรามาอ่านขั้นตอนการล้างรถที่ถูกวิธีกันดีกว่าค่ะ ว่ามีวิธีการขั้นตอนอะไรบ้าง ขั้นตอนวิธีการล้างรถที่ถูกวิธี มีขั้นตอนอะไรบ้าง ฉีดน้ำล้างคราบสกปรก ขั้นตอนแรกจะเป็นการฉีดน้ำล้างคราบสกปรกออกก่อน ด้วยการฉีดน้ำจากบนหลังคาเพื่อให้คราบสกปรกไหลจากด้านบนลงมาด้านล่าง ใช้น้ำเย็นเพื่อเป็นการชะล้างคราบสกปรกฝังแน่นให้อ่อนตัวลง ผสมน้ำอุ่นกับน้ำยาล้างรถ ขั้นตอนที่สองผสมน้ำอุ่นกับน้ำยาล้างรถเข้าด้วยกันตามอัตราส่วนที่ฉลากสินค้านั้นๆ แนะนำ เนื่องจากน้ำยาล้างรถแต่ละยี่ห้อมีอัตราส่วนการผสมไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นต้องอ่านฉลากกันก่อนที่จะใช้งานนะคะ ล้างจากหลังคาลงด้านข้าง ขั้นตอนที่สามวิธีล้างรถที่ถูกต้อง ควรใช้ฟองน้ำทำความสะอาดจากด้านบนหลังคาไล่ลงมาด้านล่าง บริเวณขอบต่างๆ และกระจกรถให้ช้ผ้าสำลีเช็ดทำความสะอาดแทน เพราะฟองน้ำล้างรถอาจจะมีเม็ดทรายติดอยู่ในรูพรุนของฟองน้ำ อาจทำให้เกิดรอยสร้างความเสียหายให้กับรถยนต์ได้ค่ะ ใช้ฟองน้ำล้างแยกส่วน ขั้นตอนนี้เป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเสียหายต่อรถของคุณได้ เราจึงต้องควรแยกฟองน้ำล้างรถตามส่วนต่างๆ ของตัวรถ เช่น ฟองน้ำอันแรกใช้ทำความสะอาดหลังคารถ ฝากระโปรงหน้า ฝากระโปรงหลัง ผ้าสำลีใช้ทำความสะอาดกระจกรถและขอบต่าง ๆ ฟองน้ำอีกอันใช้ล้างล้อรถ และส่วนที่มีคราบสกปรกมากๆ ล้างน้ำเปล่าทันที เมื่อทำความสะอาดรถด้วยน้ำยาล้างรถเสร็จแล้ว ต้องล้างน้ำเปล่าทันที ก่อนที่จะไปล้างส่วนอื่นต่อและต้องทำแบบนี้กับทุกส่วนของรถ จากนั้นจึงค่อยล้างรถยนต์ด้วยน้ำเปล่าทั้งคันอีกครั้ง ใช้น้ำยาขจัดรอยเปื้อน หากล้างรถเสร็จเรียบร้อยแล้วยังพบคราบหรือรอยเปื้อน ให้ใช้น้ำยาขจัดรอยเปื้อนสำหรับรถโดยเฉพาะทำความสะอาดทันที หลังล้าง เช็ดรถให้แห้งทันที ขั้นตอนสุดท้าย เมื่อเราทำความสะอาดรถเสร็จครบทุกขั้นตอนแล้ว ควรใช้ผ้านุ่มๆ ที่ซับน้ำได้ดีหรือผ้าซามัวร์มาเช็ดรถ โดยเฉพาะกระจกหน้ารถ ด้านในฝากระโปรงด้านในบริเวณขอบประตู และด้านในฝาถังน้ำมัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดคราบน้ำ รวมทั้งฝุ่นที่จะมาเกาะกับพื้นผิวรถ ข้อห้ามสำคัญ ที่ห้ามทำขณะล้างรถ ข้อห้ามสำคัญในการล้างรถ นั่นก็คือ “ห้ามล้างรถกลางแดด” เนื่องจากจะทำให้น้ำแห้งเร็วจนเราเช็ดทำความสะอาดไม่ทัน แล้วอาจเกิดเป็นคราบน้ำเกาะบริเวณพื้นผิวรถยนต์ได้ และไม่ควรล้างในช่วงเย็นหรือกลางคืน เพราะหากเราเช็ดไม่แห้งสนิทก็อาจทำให้เกิดสนิมขึ้นในพื้นที่ที่ไม่แห้งได้ และข้อห้ามข้อสุดท้าย ไม่ควรใช้ผ้าชุปน้ำล้างรถ แทนฟองน้ำล้างรถ เพื่อป้องกันเศษฝุ่นหรือเม็ดทรายที่ติดผ้าจะทำให้เกิดรอยขีดข่วนกับตัวรถได้ นอกจากนี้ไม่แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์อื่น เช่น น้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก มาใช้แทนน้ำยาล้างรถ เนื่องจากจะเป็นการทำลายให้สีรถหมองในระยะยาว และไม่ควรใช้ไม้ขนไก่ปัดฝุ่น เพราะอาจเกิดรอบขีดข่วนต่อตัวรถได้ ขั้นตอนการทำความสะอาดภายในตัวรถ เป็นขั้นตอนสำคัญที่หลายๆ คนคิดว่ายากแต่วันนี้เรามีวิธีการล้างภายในตัวรถมานำเสนอ และทุกคนามารถไปทำตามกันได้ค่ะ 1) กำจัดเศษสิ่งสกปรกต่างๆ ออก เริ่มต้นด้วยการจำกัดเศษสิ่งสกปรกที่อยู่ภายในรถออกก่อน ด้วยการเก็บของที่จำเป็นออกเพื่อให้สะดวกต่อการเก็บกวาด จากนั้นเริ่มต้นเก้บกวาดเอาเศษสิ่งสกปรกออกด้วยมือ หลังจากนั้นนำเครื่องดูดฝุ่นดูดฝุ่นซ้ำเพื่อกำจัดฝุ่นเล็กๆ น้อยๆ ออกไป ทั้งบนเบาะและบนพื้น 2) เช็ดเบาะไวนิลและเบาะหนัง ขั้นตอนต่อไปเป็นขั้นตอนการล้างส่วนภายในโดยเริ่มทำความสะอาดจากเบาะผ้าไวนิลหรือเบาะหนังด้วยการใช้ผ้าเปียกหมาดเช็ดให้ทั่ว หรือจะใช้ผ้าแบบ wipe ที่ออกแบบมาสำหรับเช็ดเบาะหนังและไวนิลก็ได้ โดยผลิตภัณฑ์จำพวกนี้ เหมาะสำหรับการใช้เช็ดอุปกรณ์ภายในรถ แต่ก่อนจะให้ควรอ่านคำแนะนำและวิธีการใช้งานให้ดีก่อนใช้งานนะคะ 3) ซักเบาะผ้าถ้าจำเป็น ถ้าหากรถเป็นเบาะผ้า สามารถซักเบาะได้เมื่อจำเป็น ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับซักพรม หรือสำหรับซักเบาะผ้าในรถที่มีขายตามแผนกอุปกรณ์รถทั่วไป และก่อนจะใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้อย่าลืมทดสอบผลิตภัณฑ์ก่อนว่าจะไม่ทำให้เบาะรถของเรานั้นมีสีซีดหรือจางลง โดยให้ทดสอบบริเวณที่ไม่เป็นจุดสังเกตุเพื่อดุผลลัพธ์ 4) ทำความสะอาดหน้าต่างด้านใน อย่าลืมทำความสะอาดหน้าต่างด้านใน สามารถใช้ที่เช็ดกระจกทั่วไปหรือกระดาษทิจชู่เช็ดก็ได้ค่ะ แต่พอเช็ดเสร็จเรียบร้อยแล้ว มักจะทั้งคราบฝุ่นอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นใช้ผลิตภัณฑ์เช็ดกระจกสำหรับรถยนต์ หรือผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง แต่ระวังอย่าใช้น้ำยาเช็ดกระจกที่มีส่วนผสมของแอมโมเนีย เพราะจะทำให้กระจกรถเป็นรอยได้ค่ะ 5) ลงน้ำยาเคลือบหนังและผ้าไวนิล หลังจากที่ทำความสะอาดล้างด้านในตัวรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ลงน้ำยาเคลือบหนังและไวนิล ลงบนเบาะ เพื่อปกป้องและป้องกันดูแลเบาะรถให้มีสภาพดีอยู่ตลอด โดยน้ำยาเคลือบเบาะนี้จะช่วยให้ภายในตัวรถไม่มีฝุ่นเกาะ และปกป้องวัสดุจากแสงแดดรวมทั้งลดรอยแตกต่างๆได้ด้วย การลงแว๊กซ์หลังล้างรถ ในการดูแลการล้างรถในขั้นตอนสุดท้าย ควรการหาผลิตภัณฑ์ แว๊กซ์ (Wax) มาใช้เคลือบสีนอกจากจะเป็นเกราะป้องกันชั้นแรก มันยังทำให้สีรถของคุณ ดูเงางามขึ้นมาอีกด้วย เพราะการแว๊กซ์จะเปรียบเสมือนเกาะป้องกันรอยขีดข่วนให้ตัวรถ แว็กซ์จะทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันโดยมันมีการสร้างชั้นฟิล์มบางๆ มาเคลือบทับกับสีรถนั่นเอง ซึ่งการแว็กซ์สีรถเป็นประจำมันจะช่วยเพิ่มชั้นป้องกันรถ ซึ่งจะทำให้ผิวรถมีความลื่น ช่วยป้องกันคราบสกปรกต่าง ๆ ทำให้คราบไม่สามารถเกาะติดบนสีรถได้ เหมือนกับใบบอนที่น้ำจะกลิ้งไปกลิ้งมาทำให้เราล้างรถได้ง่ายมากขึ้น แล้วยิ่งถ้าเลือกใช้แว๊กซ์ที่มีคุณภาพสูงๆ ก็สามารถป้องกันได้แม้กระทั้งกรวดเล็กกันเลย และข้อดีอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับตัวรถเมื่อต้องการขายต่อรถมือสอง สีของรถเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ราคารถดีหรือไม่ดี แต่หากสีรถของคุณเป็นสีเดิมจากโรงงานและยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ สิ่งนี้มันจะสามารถบ่งบอกได้ว่า คุณเป็นคนที่ใช้รถอย่างทะนุถนอม ดูแลรักษารถดี มันทำให้ผู้ชื้อเกิดความเชื่อใจได้ราคาดีนั่นเอง และข้อสุดท้ายแว็กซ์ยังกันน้ำที่ต้องกันน้ำเพราะในบางสภาพอากาศการที่ฝนตกลงมาอาจมีสภาวะเป็นฝนกรด ซึ่งอาจเกิดความเสียหายต่อสีรถได้ เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับวิธีการล้างรถที่เรานำมาเสนอให้อ่านกัน ที่ผ่านมาทุกคนล้างรถด้วยวิธีการที่ถูกต้องกันหรือเปล่าเอ่ยหรือล้างครบทุกขั้นตอนที่เรานำเสนอไปไหมคะ หากยังล้างไม่ถูกต้องสามารถนำขั้นตอนที่เรานำมาเสนอไปปฏิบัติกันนะคะ รับรองว่าเป็นการดูแลรถที่ถูกต้องและทำให้รถของทุกคนดูใหม่และสุขภาพดีอยู่ตลอดแน่นอน
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการดูแลรถสักคันนั้นยากเกินไปสำหรับมือใหม่ จะทำตามคู่มือไหนก็ลำบากไปหมด จนบางทีก็เผลอละเลยจุดเล็กจนกลายเป็นปัญหาใหญ่แบบไม่รู้ตัว วันนี้เราจึงมาแชร์เคล็ดลับง่ายๆ ที่ไม่ว่าหญิงหรือชายก็สามารถนำไปลองทำได้สบายๆ เป็นประจำทุกวัน บทที่ 1 เช็กลมยาง เริ่มจากเรื่องพื้นฐานง่ายๆ ที่ไม่ว่ามือใหม่หรือใครๆ ก็สามารถทำเองได้ นั่นก็คือการเช็กลมยางของรถยนต์นั่นเอง ซึ่งผู้ใช้รถส่วนใหญ่มักจะละเลย และส่งผลให้ลมยางนั้นจะอ่อนลงไปทุกวันเนื่องจากการใช้งาน นานวันเข้าก็จะทำให้ยางเสื่อมสมรรถภาพไวกว่าปกติ ลมยางมาตรฐานของล้อรถยนต์จะระบุอยู่ข้างประตูคนขับ ซึ่งเราสามารถตรวจเช็กได้ด้วยตัวเองเลย ดังนั้นหากเราจะเริ่มดูแลรถก็ควรเริ่มจากการตรวจเช็กลมยางนี่แหละ ลองก้มดูด้านล่างสักนิด เพื่อตรวจเช็กลมยางสักหน่อยก่อนออกจากบ้าน อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพื่อความปลอดภัย พร้อมทั้งดูด้วยว่ายางรถยนต์ไม่มีสิ่งปกติทิ่มคาอยู่ มั่นใจได้เลยว่าหลังจากนี้คุณจะรู้สึกดีขึ้นทุกครั้งที่ขับขี่ ที่สำคัญ! การเติมลมยางที่เหมาะสมช่วยประหยัดน้ำมันด้วยนะ อย่าลืมไปลองทำกัน Tips : ลมยางสูงสุดที่เติมได้ไม่ควรเกินที่ระบุไว้บริเวณแก้มยางนะ บทที่ 2 เช็กที่ปัดน้ำฝน ที่ปัดน้ำฝนเป็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่อยู่นอกสายตาเสมอ เมื่อใช้รถไปสักระยะ ยางปัดน้ำฝนก็อาจเสื่อมสภาพไปไม่น้อย เนื่องจากมีสิ่งสกปรกอย่าง ฝุ่น ทราย หรือเศษหินขนาดเล็ก เกาะติดอยู่ระหว่างยางใบปัดกับกระจก หากเราต้องการดูแลรถให้มีสภาพใหม่และสวยงามเหมือนซื้อใหม่อยู่เสมอ ให้สังเกตเวลาใช้งานอยู่เสมอว่าที่ปัดน้ำฝนต้องไม่ทิ้งลอยคราบต่างๆ ไว้ หรือปัดแล้วมีเสียงดังกว่าปกติ ถ้าหากเกิดอาการดังกล่าวแสดงว่าถึงเวลาต้องรีบเปลี่ยน เป็นอีกหนึ่งวีธีดูแลรถง่ายๆ ที่สามารถทำเองได้ บทที่ 3 เช็กสัญญาณไฟเตือนที่หน้าปัด แผงหน้าปัดที่แสดงสัญญาณไฟเตือนด้านหน้าพวงมาลัย เป็นอีกหนึ่งจุดที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับผู้ใช้รถมือใหม่ หลายคนอาจจะไม่ค่อยได้สังเกตหรือใส่ใจ จะก้มลงมองก็เฉพาะตอนที่นึกสงสัยว่าตอนนี้น้ำมันเหลืออยู่แค่ไหน แต่เราอยากให้คุณคอยสังเกตอยู่เสมอว่า ในขณะขับขี่รถยนต์อยู่นั้นมีไฟสัญญาณเตือนอะไรผิดแปลกขึ้นมาหรือไม่ ถ้าหากมี เราแนะนำให้คุณควรหาเวลานำรถคู่ใจไปตรวจเช็กที่ศูนย์ทันที เพราะสัญญาณไฟนั้นเป็นสัญญาณเตือนที่ช่วยให้เรารู้ตัวก่อนที่ปัญหาจะลุกลามไปมากกว่าเก่า บทที่ 4 เช็กแบตเตอรี่ หลายคนอาจจะมองว่าแบตเบอรี่รถยนต์เป็นส่วนที่ไม่สามารถดูแลรักษาได้ด้วยตนเอง แต่ความจริงแล้วเราสามารถตรวจเช็กแบตเตอรี่เบื้องต้นเองได้ เพียงตรวจสอบสภาพตัวแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอว่ามีความเสียหายใดๆ หรือไม่ ลองสังเกตสีที่แตกต่างกันของช่องตาแมวแบตเตอรี่ ซึ่งแต่ละลูกจะมีสีที่บอกสถานะของแบตที่แตกต่างกัน โดยสามารถศึกษาคำอธิบายสีต่างๆ ได้จากสติ๊กเกอร์บนตัวแบตเตอรี่ นอกจากนี้ยังควรตรวจสอบระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่ ไม่ให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าที่ควรอยู่เสมอ โดยแบตเตอรี่แบบเติมน้ำกลั่นควรตรวจเช็กทุกๆ 1 เดือน แบบกึ่งแห้งควรตรวจเช็กทุกๆ 6-12 เดือน หากรู้สึกว่าที่กล่าวไปนั้นยากเกินไป มี วิธีตรวจเช็คที่ง่ายที่สุดคือ ลองสังเกตว่า หากรถสตาร์ทติดยาก และเป็นแบตเตอรี่ที่ใช้อายุนานเกิน 2 ปี สันนิษฐานได้เลยว่าแบตเตอรี่ใกล้หมดอายุแล้ว ควรเปลี่ยนทันที Tips : ระวังอย่าเติมน้ำกลั่นจนเต็มหรือล้นจนเกินไปเพราะน้ำกลั่นที่อยู่ในแบตเตอรี่จะล้นออกมากัดกร่อนตัวถังรถและชิ้นส่วนต่าง ๆ เสียหายได้ บทที่ 5 เช็กน้ำมันเครื่อง มาถึงข้อสุดท้าย อ่านหัวข้อแล้วอาจจะรู้สึกว่ายาก ไม่เห็นจะง่ายเลย ก็อย่าเพิ่งปิดหน้านี้ทิ้งไป ความจริงแล้ว เราสามารถตรวจเช็กน้ำมันเครื่องเบื้องต้นด้วยตัวเองได้ โดยต้องอุ่นเครื่องยนต์จนถึงอุณหภูมิทำงานก่อน จอดรถให้อยู่ในแนวระนาบไม่ลาดเอียง หลังจากนั้นดับรถ รอ 1-3 นาทีแล้วจึงเปิดฝากระโปรงรถยนต์ มองหาก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องและดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมา จากนั้นใช้ผ้าสะอาดเช็ดน้ำมันเครื่องที่ติดอยู่กับก้านออก แล้วเสียบก้านวัดน้ำมันเครื่องคืนกลับไปจุดเดิม และสุดท้ายท้ายด้วยดึงก้านวัดออกมาอีกครั้งหนึ่งเพื่อตรวจดูระดับน้ำมันเครื่องที่ปลายก้านวัด ถ้าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่าง F กับ L หรือ Max กับ Min แสดงว่า ระดับน้ำมันเครื่องปกติ ไม่มากจนเกินไปและไม่น้อยจนเกินไป ควรหมั่นตรวจเช็กเป็นประจำ 1-2 ครั้ง/สัปดาห์ หรืออย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่ามีปริมาณน้ำมันเพียงพอสำหรับหล่อลื่นให้กับเครื่องยนต์ทั้งระบบ และปลอดภัยในทุกการขับขี่ เห็นไหมว่า 5 วิธีดูแลรถเบื้องต้นที่ให้ไป ง่ายนิดเดียว เหมาะสำหรับมือใหม่ เป็นวิธีที่สามารถสังเกต และทำด้วยตัวเองได้เป็นประจำ โดยไม่ต้องง้อใคร แต่ถ้าคุณยังรู้สึกว่ายากเกินไปที่จะทำด้วยตัวเอง เราแนะนำว่า ให้พารถคู่ใจของคุณเข้ามาตรวจเช็กที่อู่ของเรา SCG Performance อู่ซ่อมรถมาตรฐาน บริการด้วยความตั้งใจ รับตรวจเช็กและซ่อมดูแลรถโดยช่างมากประสบการ์ณ ยืนยันว่าเซอร์วิสครบจบในที่เดียว Quick Wash x SCG Performance