เครื่องล้างรถอัตโนมัติเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้เข้ากับสังคมยุคสมัยใหม่ เพราะเป็นสิ่งที่สะดวกทั้งในด้านผู้ให้บริการ หรือด้านของลูกค้าผู้ใช้บริการก็ทั้งสะดวกและประหยัดขึ้น หากจะพูดถึงเครื่องล้างรถอัตโนมัติ ทุกคนเคยสงสัยกันไหมว่ามีจุดเริ่มต้นมาจากอะไร ตั้งแต่ตอนไหน และตอนนี้เครื่องรถอัตโนมัติมีเทคโลโลยีอะไรที่ตอบโจทย์เพิ่มมากขึ้นบ้างแล้ว ในสมัยก่อนการล้างรถอัตโนมัติยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก มีเพียงการล้างด้วยตัวเองหรือเข้าใช้บริการร้านคาร์แคร์ที่มีพนักงานให้บริการเท่านั่น ซึ่งก็มีการเกิดปัญหาเช่น เกิดปัญหารอนาน ราคาค่าใช้จ่ายสูง ของหาย เป็นต้น เครื่องล้างรถอัตโนมัติจึงเข้ามาแก้ปัญหาเหล่านี้ เครื่องล้างรถอัตโนมัติ เครื่องล้างรถอัตโนมัติที่เรานำมานำเสนอในวันนี้มี 2 รูปแบบ คือ 1.แบบอุโมงค์ล้างรถอัตโนมัติ รูปแบบอุโมงค์ล้างรถอัตโนมัติ เปรียบเหมือนเป็นหุ่นยนต์ขนาดใหญ่โดยมีโครงสร้าง และสายพานลำเลียงที่แข็งแรงเพื่อเคลื่อนย้ายยานพาหนะน้ำหนักมากกว่า 30 ตัน เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง และแปรงปัดช่วยให้มันทำความสะอาดรถได้อย่างทั่วถึง การล้างรถอัตโนมัติเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1951 ในเมืองซีแอทเทิล รัฐวอชิงตัน และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อุตสาหกรรม และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องได้พัฒนาขึ้นอย่างมาก อุโมงค์ล้างรถที่ทันสมัย ประกอบด้วยชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวได้หลายพันชิ้น น้ำยาล้างหลากชนิด และแวกซ์ พร้อมเครื่องควบคุมอัตโนมัติ เซนเซอร์ และเครื่องวัดเพื่อการทำความสะอาดที่มีประสิทธิภาพ โดยไม่สร้างความเสียหาย การล้างรถที่มีประสิทธิภาพสามารถกำจัดซากแมลง ขี้นก และไขมันที่เกาะบนผิวรถออกได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที ขั้นตอนจะเริ่มต้นด้วยการฉีดน้ำ ซึ่งโดยปกติจะมีความเป็นด่างอ่อน แล้วจึงล้างด้วยแชมพู ตามมาด้วยการเพิ่มน้ำยาโฟม เพื่อการทำความสะอาดได้อย่างหมดจด ส่วนหลักประกอบด้วยแปรง 2-5 ชิ้น ที่เรียกว่า ตัวขัด และมีแปรงปัดวางในแนวนอนเพื่อทำความสะอาดหลังคารถ มีการเพิ่มแวกซ์เพื่อรักษาสีรถ ป้องกันรอยขีดข่วน และรังสียูวี ตัวโครง และแปรง ขับเคลื่อนด้วยระบบไฮดรอลิค และควบคุมการทำงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ บางขั้นตอนจะมีการตั้งโปรแกรมล่วงหน้า เช่น การเพิ่มความเร็วของแปรงปัดเมื่อผ่านด้านหน้าของรถ เนื่องจากเป็นที่รวบรวมสิ่งสกปรกมากที่สุด การล้างรถส่วนอื่นๆ ก็อาศัยเซนเซอร์ และการตอบสนอง เช่น ระบบโฟโทอีเลคทริค ที่มีหน้าที่จับตำแหน่ง และตรวจจับรูปร่าง ขั้นตอนสุดท้าย คือ ทำให้แห้ง ข้อมูลในคอมพิวเตอร์จะเคลื่อนไหวตามการเคลื่อนไหวของแปรงที่จดจำไว้จากขั้นตอนก่อนหน้านี้ ด้านในของเครื่อง สายพานลำเลียงที่ซับซ้อนของเครื่องล้างรถอัตโนมัติ ใช้อะไรล้าง ที่จุดเริ่มต้น ลูกค้าสามารถเลือกโปรแกรมการล้างได้ สายพาน จากนั้นลูกค้าขับรถเข้าอุโมงค์ ซึ่งสายพานลำเลียงจะดึงและยึดล้อหน้าซ้ายเอาไว้ โฟม ที่จุดเริ่มต้นของอุโมงค์ หัวฉีดแบบ 2 ทิศทางจะฉีดพ่นโฟมที่ใช้สำหรับขจัดคราบน้ำมัน ล้างน้ำครั้งแรก หัวฉีดถัดไปจะฉีดน้ำสะอาด เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและเศษหินจากสีรถ ทำความสะอาดล้อ ใช้สารเคมีโดยเฉพาะสำหรับขจัดคราบฝุ่นที่มาจากเบรค ล้อ และยาง ทำความสะอาดใต้รถ ใช้หัวฉีดที่ติดตั้งอยู่ที่พื้นอุโมงค์ทำความสะอาดใต้ท้องรถ แปรง แปรงปัดรถยนต์จะใช้เซนเซอร์ที่ใกล้กับตัวรถ เพื่อให้แน่ใจว่าได้ปัดลงบนพื้นผิวของรถอย่างพอดี ลงแวกซ์ อีกประตูหนึ่งจะฉีดพ่นรถด้วยแวกซ์เพื่อให้ตัวรถมีความเงางาม ทำให้แห้ง เครื่องเป่าขนาดใหญ่จะเป่าอากาศร้อนเพื่อทำให้รถแห้ง บางครั้งมีผ้าม่านแนวตั้งเพื่อทำให้รถแห้ง 1. เซนเซอร์ในเครื่องล้างรถจะตรวจจับรูปร่าง ตำแหน่งของรถ และหมุนแปรงปัดไปรอบๆ 2. โฟมล้างรถ และการหมุนแปรงปัดด้วยความเร็วสูงจะช่วยให้รถสะอาดเอี่ยมก่อนออกไปจากอุโมงค์ 3. ระบบการล้างแบบไร้สัมผัสมีแนวโน้มว่าจะเร็วกว่าการล้างแบบเข้าอุโมงค์อัตโนมัติ 4. การผสมผสานระหว่างแชมพู กับน้ำแรงดันสูง และการเสียดสีของแปรงปัดช่วยให้ทำความสะอาดได้อย่างทั่วถึง 2.ล้างรถแบบจอดรถอยู่กับที่ เครื่องล้างจะทำงานโดยการหมุนรอบรถ ในรูปแบบนี้ถือว่าหนึ่งในความก้าวหน้าล่าสุดของอุตสาหกรรมล้างรถอัตโนมัติ คือ ระบบการล้างรถโดยปราศจากการสัมผัส ระบบล้างแบบนี้จะหมุนหัวฉีดไปรอบๆ รถ โดยปราศจากการทำความสะอาดด้วยแปรงหรือผ้า ขั้นตอนเริ่มจาก ฉีดน้ำแรงดันต่ำให้รถเปียก ก่อนจะลงแชมพูที่ผลิตขึ้นมาพิเศษสำหรับการล้างรถ หลังจากนั้นแปรงล้างรถจะททำการหมุนสะบัดรอบตัวรถ เพื่อเป็นการขจัดคราบความสกปรกต่างๆ ออก จากนั้นฉีดน้ำแรงดันสูงเพื่อล้างแชมพูออก ลงแวกซ์และเป่าลมไล่คราบน้ำให้หมาด และในรูปแบบสุดท้ายนี้ หากพูดถึงร้านล้างรถอัตโนมัติแล้ว ก็คงจะต้องพูดถึงควิก ร้านล้างรถอัตโนมัติที่มีเครื่องล้าง เรามาลองดูสเป็คของเครื่องล้างอัตโนมัติของที่ร้านกันค่ะ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง เครื่องล้างรถอัตโนมัติของควิกวอช เป็นเครื่องล้างอัตโนมัติ Istobal รุ่น M’Start ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมใหม่ขั้นเทพด้วยการล้างระบบแรงดันสูง ทำความสะอาดล้ำลึกทุกซอกทุกมุมและยังมาพร้อมกับภาพลักษณ์สุดเท่ห์ล้ำสมัย เหมาะกับทุกธุรกิจ เช่น ร้านล้างรถในเมือง สถานีให้บริการน้ำมันหรือแก๊ส คอนโดหรู รองรับการล้างต่อเนื่องเพียงปุ่มสัมผัส ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ฉีกทุกการล้างรถแบบเดิมๆ โดยมีเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกมากมาย Controller ด้วยการทำงานที่ชาญฉลาดได้มาตรฐานและมีความยืดหยุ่นสูงของโปรแกรมโปรโตรคอล ที่ช่วยเพื่มประสิทธิภาพการสื่อสารของการทำงนเครื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพลดการเดินสายไฟและช่วยให้เครื่องทำงานได้อย่างคล่องตัว Command post หน้าจอโพสออกคำสั่งช่วยให้ทุกองค์ประกอบภายนอกของเครื่องทำงานเชื่อมต่อกัน มีทั้งแบบมาตราฐานและแบบหน้าจอสัมผัส FLEXIBILITY Configuration of programs สามารถเลือกปรับความกว้างและสูงได้เองตามใจชอบ โครงสร้างที่มั่นคงและขนาดกระทัดรัด มีให้เลือกถึง 4 ระดับ MECHANISM Brush tilt การล้างได้อย่างแม่นยำและสะอาดล้ำลึกด้วยตัวแปรงเอียง 10 องศาของด้านข้างแปรง PERFORMANCE High pressures เครื่องทำงานด้วยแรงดันสูงก่อนขั้นตอนการล้าง ทำให้ชำระล้างเอา สิ่งสกปรก ฝุ่นละออง คราบโคลน คราบดิน ออกจากตัวรถก่อนทำการลงแชมพู EFFECTIVE DRYING เครื่องเป่าลมในตัวด้วย ผนวกกับหัวฉีดเครื่องเป่าแนวนอนและเครื่องแสกน รถอัจริยะทำให้เป่าแห้งได้รวดเร็ว ให้ผลลัพธ์ที่เยี่ยมยอดมากขึ้น จำนวน 2 ตัว เพื่อความพอดีกับด้านบนของตัวเครื่องจะทำให้แห้งสนิทรวดเร็ว COMMUNICATIONS ตัวเครื่องล้างอัตโนมัตจะติดต่อสื่อสารกับอุปกรณ์ที่มี IW MANAGER การจัดการและควบคุมซอฟต์แวร์ของตัวเครื่อง สามารถใช้งานได้ทั้งจากตัวเครื่องและการเชื่อมต่อระยะไกล WHEEL WASH เพื่อการล้างรถที่สมบูรณ์แบบจำเป็นอย่างยิ่งต้องทำการล้างล้อและบังโคลน มีให้เลือกทั้งมีหรือไม่มีแรงดันสูง และตัวแปรงแบบเบนหรือเกลียว GLOSSY POLISH MIRROR สินค้าแนะนำสำหรับการเคลือบแว็กซ์แบบเงางามเสมือนกระจกเงา หลังจากการล้างรถแปรงจะทำหน้าที่นวดพื้นผิวรถให้ริ้วเงาอยู่ตลอดเวลา SPLASH SCREENS วัสดุคุณภาพสูง Perspex กับอลูมิเนียมเสริมด้วยการออกแบบที่สอดคล้องกับตัวเครื่องทีมีความปลอดภัยสูงทั้งยังปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นตัวเลือกแนะนำหลีกเสี่ยงน้ำกระเด็นหรือสาดในระหว่างการล้าง แปรงล้างนุ่ม ไร้ขนแมว ตัวแปรงทำจากวัสดุโฟม ฟูนุ่ม น้ำหนักเบา ไม่อมน้ำ เคลือบด้วยน้ำยาพิเศษที่ไม่ทำให้เกิดร่องรอยและไม่ทำห้เกิดอันตรายต่อสีรถเพิ่มความเงางามมากขึ้น เครื่องล้างรถอัตโนมัติได้ถูกสร้างและพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ที่ชอบความสะดวกสบาย พัฒนาให้เข้ากับทันยุคสมัยที่เปลี่ยนไป อย่างไรก็ตามในอนาคตข้างหน้าเครื่องล้างรถอัตโนมัติอาจจะมีเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์และทันสมัยมากขึ้นกว่านี้ มารอดูการพัฒนาของเครื่องล้างรถอัตโนมัติในอนาคตไปพร้อมๆ กันนะคะ คลิก!! โหลด App Carmunity เพื่อสะสมแต้ม 👇🏻
ถ้าหากนึกถึงร้านล้างรถอัตโนมัติแบรนด์ที่มีชื่อเสียงแบรนด์หนึ่งก็คงจะหนีไม่พ้น QuickWash (ควิกวอช) ร้านล้างรถอัตโนมัติ ล้างรถเร็วใน 7 นาที ราคาเริ่มต้น 89 บาท โดยในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับที่มาของแบรนด์ร้านล้างรถอัตโนมัติให้มากขึ้นกันค่ะ QuickWash (ควิกวอช) ร้านล้างรถอัตโนมัติ ล้างรถเร็วใน 7 นาที ราคาเริ่มต้น 89 บาท มีจุดเริ่มต้นในปี 2017 จากการที่เราเริ่มตั้งคำถามง่ายๆ ว่า “ทำไมการล้างรถมันถึงเป็นเรื่องยุ่งยากเหลือเกิน? ได้รับบริการไม่ค่อยมีมาตรฐาน ล้างสะอาดบ้างไม่สะอาดบ้าง แล้วก็ต้องรอนาน สุดท้ายกลับให้ความรู้สึกไม่คุ้มเลย” เราได้เล็งเห็นถึงปัญหานี้และอยากมีส่วนร่วมแก้ไข เราจึงได้พัฒนา Quick Wash ร้านล้างรถอัตโนมัติขึ้นมาเพื่อคนไทย โดยทำให้ “การล้างรถต้องไม่ใช่เรื่องยากและคุ้มค่าคุ้มราคาที่สุด” เครื่องล้างรถอัตโนมัติของเราเป็นเครื่องล้างที่นำเข้ามาจาก… มีเทคโนโลยีรับรู้ลักษณะยานพาหนะและปรับระยะให้เข้ากับรถได้อย่างดีเยี่ยม โดยเราใช้น้ำยาล้างรถนำเข้าจากยุโรปมีจุดเด่นในเรื่องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของการประหยัดน้ำและพลังงาน ทำให้มั่นใจว่าได้ว่าจะได้รับบริการที่มีคุณภาพและมาตรฐาน นอกจากนี้ขนแปรงล้างรถผลิตจากวัสดุโฟม ฟูนุ่ม น้ำหนักเบา ไม่อมน้ำ เคลือบด้วยน้ำยาพิเศษ จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดร่องรอยต่างๆ หรือไม่เป็นอันตรายต่อสีรถแน่นอน วิสัยทัศน์/vision “We will be No.#1 Quick Car Wash in customer heart” “เราจะเป็นร้านล้างรถสะดวกล้าง อันดับ 1 ในใจลูกค้า” เป้าหมาย/ Mission QuickWash จะเป็นร้านล้างรถสะดวกล้าง อันดับ 1 ในใจคนไทย ที่มีเครือข่ายครอบคลุม เพื่อให้บริการลูกค้าและสร้างคุณค่าให้คนไทยมากที่สุด Purpose “Make change for car wash industry in which Speed/Value of Time & Money/Standard for Thai Consumer” “ร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลง การล้างรถ เร็ว คุ้ม ดีเพื่อคนไทย” ทำไมต้องเลือก QuickWash เกิดมาเพื่อ? “ร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลง การล้างรถ เร็ว คุ้ม ดีเพื่อคนไทย” เหมือนชื่อเรา “QuickWash” เรามุ่งเน้นไปที่ความ “สะดวกรวดเร็ว” เพื่อที่เราจะได้ช่วยทุกคนประหยัดทั้งเงินในกระเป๋าและประหยัดเวลาที่มีค่ายิ่งกว่าทอง ของทั้งลูกค้าผู้ใช้รถที่มาใช้บริการและคู่ค้าผู้ให้บริการ ทำไมต้องล้างรถ QuickWash? ประหยัดเวลา ลูกค้าก็ใช้บริการได้ในเวลาเพียง 7 นาที ประหยัดเงิน เพราะราคาเริ่มต้นเพียง 89 บาทเท่านั้น 3.บริการสะดวกสบาย สามาร้างรถแบบ Drive Thru เป็นการล้างรถโดยที่ไม่จำเป็นต้องลงจากรถเลย 4.ปลอดภัย เครื่องล้างและน้ำยาล้างรถนำเข้าจากยุโรป ได้มาตรฐาน ไม่เป็นอันตรายกับรถแน่นอน Values “4ส. วัฒนธรรม สปีด สมาย สหาย สะอาด” Slogan “เร็วกว่าที่คิด เป็นมิตรกว่าที่เคย” Hashtag #Quickwash #ล้างรถอัตโนมัติ #ล้างรถด่วน #ล้างรถDrivethru #เร็วกว่าที่คิดเป็นมิตรกว่าที่เคย รูปแบบการลงทุน มีกี่แบบ แต่ละแบบราคาเท่าไหร่ Quickwash ได้เปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจมาร่วมลงทุนธุรกิจ Franchise โดยมีโมเดลให้เลือก 2 รูปแบบ Franchise system ลงทุน 2.5 ล้านบาท Franchise Business ลงทุน 1.8 ล้านบาท QuickWash มีกี่สาขา ในตอนนี้ควิกวอชมีร้านล้างรถอัตโนมัตให้บริการครอบคลุมกรุงเทพฯ และปริมณฑล ถึง 11 สาขา และกำลังขยายสาขาเพิ่มมากขึ้นในอนาคต Quickwash ทั้ง 11 สาขาได้แก่ Quick Wash วิภาวดี 36 Quick Wash ESSO บางพูด Quick Wash ESSO หนองแขม Quick Wash PTT บางบอน Quick Wash ESSO กาญจนา Quick Wash ESSO ประชาอุทิศ Quick Wash ESSO อ่อนนุช Quick Wash ESSO ปิ่นเกล้า Quick Wash ESSO ราชพฤกษ์ Quick Wash Caltex กิ่งแก้ว Quick Wash PTT ร่มเกล้า Quick Wash ร้านล้างรถอัตโนมัตที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า เป็นร้านล้างรถสมัยใหม่ที่ทั้ง สะดวก สะอาดสบาย รวดเร็วและราคาประหยัด แถมเครื่องล้างและน้ำยายังได้รับมาตรฐาน มั่นใจได้ว่าปลอดภัยกับตัวของท่านแน่นอน ซึ่งหากใครที่ยังไม่เคยไปใช้บริการสามารถไปเปิดประสบการณ์ล้างรถอัติโนมัติครั้งแรกที่ควิกวอชทั้ง 11 สาขากันนะคะ
การดูแลรถยนต์หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องยาก เราจึงนำ 8 วิธีการดูแลรถเบื้องต้นง่ายๆ ที่คุณควรรู้มาฝากกันค่ะ ซึ่งขั้นตอนการดูแลสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงด้วยตัวเองได้เลย อาจเป็นเรื่องที่ที่ทุกคนรู้อยู่แล้วหรืออาจจะเป็นเรื่องที่ทุกคนยังไม่รู้ก็ได้นะ เราลองมาอ่านตามกันได้เลยค่ะ 1.ขับขี่อย่างนุ่มนวล การขับรถอย่างนุ่มนวลเพื่อรักษาสุขภาพตัวรถ ยกตัวอย่างเช่น การออกตัวแบบไม่กระชาก การเว้นระยะเบรก การชะลอความเร็วเพื่อเข้าโค้งหรือการเลี้ยวไปยังอีกเส้นทาง นอกจากจะช่วยให้ตัวรถยนต์ของคุณสมบูรณ์อยู่ยาวนาน ยังเป็นการช่วยลดความเสี่ยงอุบัติเหตุที่เกิดจากความประมาทได้อีกด้วย 2.ล้างรถสัปดาห์ละครั้ง การล้างรถถือเป็นวิธีการดูแลรถยนต์อย่างง่ายที่สุด โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการล้างรถที่เหมาะสมคือ 1 ครั้ง/สัปดาห์ การล้างรถจะช่วยชะล้างสิ่งสกปรกที่มีฤทธิ์กัดกร่อนให้หลุดออกผิวรถ เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดคราบสกปรกฝังแน่นเพราะหากปล่อยไว้นานอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ เช่น รถผุ เกิดสนิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาฤดูฝนที่มักมีโคลน ดิน ติดตามตัวถังรถได้บ่อย จึงต้องการล้างทำความสะอาดทุกครั้งที่ตรวจเจอ ดีกว่าปล่อยเป็นปัญหาที่ใหญ่มากขึ้นไปอีกได้ ในขั้นตอนสุดท้ายของการล้างรถภายนอกควรลงแว็กซ์ให้คราบเหล่านี้เกาะตัวฝังแน่นติดกับตัวรถกลายเป็นปัญหาภาวะสีด่าง สีของรถไม่เท่ากัน กลายเป็นปัญหาที่ใหญ่มากขึ้นไปอีกเพราะฉนั้นเราจึงต้องล้างรถบ่อยๆ เพื่อเป็นการป้องกันรถของคุณจากคราบความสกปรก เมื่อล้างรถเสร็จแล้วสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ การแว็กซ์ (Wax) เพราะการแว็กซ์เป็นอีกขั้นตอนสำคัญในการดูแลรถ จะช่วยเพิ่มความเงางาม และเป็นการรักษาสีของรถยนต์ให้ดูใหม่อยู่ตลอดเวาลา นอกจากทำวามสะอาดภายนอกแล้วก็ควรทำความสะอาดภายในตัวรถด้วย ไม่ว่าจะเป็น การดูดฝุ่นภายในรถ การซักเบาะ ซักพรมปูพื้น ก็เปนอีกสิ่งที่ควรทำคราวเพื่อไม่ให้เกิดสิ่งหมักหมมและเป็นอันตรายต่อทางเดินหายใจ 3.เช็กและดูและยางรถยนต์ เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ใครหลายคนละเลยสำหรับการเช็คลมยาง ขั้นตอนการเช็กลมยางควรต้องตรวจสอบแรงดันลมยางอย่างสม่ำเสมอ เพราะยางรถยนต์ มีหน้าที่ในการรับน้ำหนักของตัวรถทั้งคัน หากขาดการตรวจเช็กอย่างสม่ำเสมออาจทำให้เกิดปัญหาด้านการขับขี่จนเกิดอันตรายได้ แต่หากมีการตรวจเช็คลมยางตามคู่มืออยู่เสมอ นอกจากจะปลอดภัยในการขับขี่แล้วยังเป็นการประหยัดน้ำมันได้อีกด้วย โดยเราจะต้องตรวจสอบแรงดันลมยางอย่างสม่ำเสมอโดยเติมลมยางตามคู่มือรถอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง และอีกหนึ่งสิ่งที่ควรทำ นั่นก็คือการเปลี่ยนยางตามสภาพของยางรถยนต์ ยางรถยนต์จะมีระยะการใช้งานที่เหมาะสม ขอแนะนำให้คุณเปลี่ยนยางที่มีอายุการใช้งานยางรถยนต์มากกว่า 10 ปีขึ้นไป ถึงแม้ว่ายางเหล่านั้นจะยังดูสามารถใช้ได้ดีก็ตาม แต่เมื่อยางเหล่านี้เกิดความแข็ง และมีการเปราะ รวมถึงรอยแตกเล็ก ๆ ที่แทบมองไม่เห็นที่อาจเกิดขึ้นบริเวณดอกยางและแก้มยาง ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนลดลงเป็นอย่างมาก หากเปลี่ยนแล้วจะเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรก การยึดเกาะถนนรวมถึงเสียงที่ดังขึ้นในระหว่างการขับขี่ 4.เปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อครบกำหนด การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเป็นสิ่งที่เราได้ยินกันบ่อยๆ แล้วทำไมถึงต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเมื่อครบระยะเวลากำหนดด้วยหล่ะ เป็นเพราะน้ำมันเครื่องเปรียบได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของรถยนต์เลยก็ว่าได้ ทำหน้าที่หล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆ ของเรื่องยนต์ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยระบายความร้อนให้เครื่องยนต์ ปกป้องชิ้นส่วนภายในของเครื่องยนต์และเป็นการชำระสิ่งสกปรกออกอีกด้วย การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องควรที่จะเปลี่ยนทุก ๆ 8,000 กิโลเมตร ไม่เกิน 10,000 กิโลเมตรหรือทำการเปลี่ยนทุก ๆ 4 เดือน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แต่ละรูปแบบ 5. เช็คหัวเทียนเป็นประจำ หัวเทียน เป็นชิ้นส่วนที่สำคัญสำหับเครื่องยนต์ เป็นอุปกรณ์สร้างประกายไฟ เช่นเมื่อเราสตาร์ทเครื่องยนต์ ตัวคอยล์จะทำหน้าที่จุดระเบิดส่งกระแสไฟไปยังหัวเทียน ทำงานร่วมกับน้ำมันและอากาศ ทำให้เกิดการระเบิดและเผาไหม้ เพื่อดันลูกสูบให้เคลื่อนที่ขึ้น-ลง สร้างกำลังในการขับเคลื่อนตัวรถอีกด้วย แล้วทำไมเราถึงต้องเปลี่ยนหัวเทียนเป็นประจำหล่ะ ? เพราะเมื่อหัวเทียนถูกใช้งานไปได้ระยะหนึ่ง จะเกิดการสึกกร่อน หากใช้เป็นเวลานานไม่มีการตรวจเช็กหรือเปลี่ยน จะทำให้เครื่องยนต์ไม่มีกำลัง กินน้ำมันมากขึ้น เนื่องจากหัวเทียนจุดประกายไฟ และจุดระเบิดเริ่มไม่สม่ำเสมอ โดยค่ายรถยนต์หลายๆ ค่ายแนะนำให้มีการเปลี่ยนหัวเทียนทุก 50,000 กม. 6.ตรวจสอบแบตเตอรี่ ควรตรวจสอบและทำความสะอาดแบตเตอรี่รถยนต์ของคุณอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการยืดอายุการใช้งาน วิธีทำความสะอาดง่ายๆ เช่น ทำความสะอาดที่ขั้วแบตเตอรี่ด้วยการเทน้ำร้อนราดที่ขั้ว และตรวจสอบเช็กระดับน้ำกลั่นให้อยู่ในตำแหน่ง UPPER/LEVEL ควรเติมให้พอดี ห้ามเติมเกินระดับนี้ และไม่ควรเติมน้ำดื่มหรือน้ำประปาหรือของเหลวชนิดอื่นๆ นอกจากน้ำกลั่นเด็ดขาด เพราะเป็นการทำให้แบตเตอรี่เสื่อมไวยิ่งขึ้น ซึ่งแบตเตอรี่รถส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งานประมาณ 4 ถึง 5 ปี หากอยู่ในภูมิอากาศเขตร้อนอาจจะอยู่ได้แค่ประมาณ 3 ปีเท่านั้น ถ้าชาร์จแบตเตอรี่แล้วพบว่าประจุไหลออกทั้งที่ไม่ได้ใช้รถ แสดงว่าได้เวลาต้องเปลี่ยนแบตแล้วล่ะ 7.ตรวจสอบระบบเบรกและน้ำมันเบรก ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เปลี่ยนน้ำมันเบรกในทุกๆ 6 เดือน เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่รถยนต์ ควรตรวจเช็กระดับน้ำมันเบรกให้อยู่ระหว่าง MAX และ MIN โดยน้ำมันเบรกคุณภาพดีจะต้องมีลักษณะสีเหลืองใส ไม่ควรเป็นสีคล้ำหรือสีดำที่เสื่อมสภาพจากความชื้นหรือน้ำปนลงไป และควรตรวจเช็กระบบเบรกว่ามีรอยสึกเสมอกันทั่วทั้งวงหรือไม่ หากจากบางแล้วควรเปลี่ยนลูกยางเบรกใหม่ และตรวจเช็กผ้าเบรกโดยการดูแนวร่องกลางผ้าเบรกถ้าร่องเริ่มมีการตื้นแล้วควรเปลี่ยนใหม่ทันที 8.สังเกตไฟเตือนที่หน้าปัด หน้าปัดรถยนต์เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่หลายคนมองข้าม คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยสนใจอะไรนอกจากนาฬิกาหรือไม่ก็ระดับน้ำมันเชื้อเพลิง เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรหรือจะแก้ไขยังไง แต่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะมันจะบ่งบอกความผิดปกติของรถยนต์ หากมีสัญญาณเตือนขึ้นมาควรรีบนำรถเข้าไปตรวจเช็กทันทีก่อนที่จะสายเกินไป เป็นอย่า’ไรกันบ้างคะ การวิธีการดูแลรถง่ายๆ ที่คุณควรรู้ ที่เราได้รวบรวมมาให้อ่านเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถทำได้ และเป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำด้วยค่ะ เพื่อสุขภาพรถยนต์และความปลอดภัยในการใช้รถของทุกคน ควรเช็กให้ครบทุกข้ออย่าสม่ำเสมอกันนะคะ
การล้างรถถือเป็นขั้นตอนในการดูแลรักษารถที่ เป็นการทำให้รถดูสะอาดดูดีอยู่สม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังเป็นการถนอมสีรถไปด้วยเช่นกัน แต่การล้างรถนี้ถ้าหากล้างไม่ถูกวิธีก็อาจส่งผลอันตรายต่อรถยนต์ของเราได้ด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นเรามาอ่านขั้นตอนการล้างรถที่ถูกวิธีกันดีกว่าค่ะ ว่ามีวิธีการขั้นตอนอะไรบ้าง ขั้นตอนวิธีการล้างรถที่ถูกวิธี มีขั้นตอนอะไรบ้าง ฉีดน้ำล้างคราบสกปรก ขั้นตอนแรกจะเป็นการฉีดน้ำล้างคราบสกปรกออกก่อน ด้วยการฉีดน้ำจากบนหลังคาเพื่อให้คราบสกปรกไหลจากด้านบนลงมาด้านล่าง ใช้น้ำเย็นเพื่อเป็นการชะล้างคราบสกปรกฝังแน่นให้อ่อนตัวลง ผสมน้ำอุ่นกับน้ำยาล้างรถ ขั้นตอนที่สองผสมน้ำอุ่นกับน้ำยาล้างรถเข้าด้วยกันตามอัตราส่วนที่ฉลากสินค้านั้นๆ แนะนำ เนื่องจากน้ำยาล้างรถแต่ละยี่ห้อมีอัตราส่วนการผสมไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นต้องอ่านฉลากกันก่อนที่จะใช้งานนะคะ ล้างจากหลังคาลงด้านข้าง ขั้นตอนที่สามวิธีล้างรถที่ถูกต้อง ควรใช้ฟองน้ำทำความสะอาดจากด้านบนหลังคาไล่ลงมาด้านล่าง บริเวณขอบต่างๆ และกระจกรถให้ช้ผ้าสำลีเช็ดทำความสะอาดแทน เพราะฟองน้ำล้างรถอาจจะมีเม็ดทรายติดอยู่ในรูพรุนของฟองน้ำ อาจทำให้เกิดรอยสร้างความเสียหายให้กับรถยนต์ได้ค่ะ ใช้ฟองน้ำล้างแยกส่วน ขั้นตอนนี้เป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเสียหายต่อรถของคุณได้ เราจึงต้องควรแยกฟองน้ำล้างรถตามส่วนต่างๆ ของตัวรถ เช่น ฟองน้ำอันแรกใช้ทำความสะอาดหลังคารถ ฝากระโปรงหน้า ฝากระโปรงหลัง ผ้าสำลีใช้ทำความสะอาดกระจกรถและขอบต่าง ๆ ฟองน้ำอีกอันใช้ล้างล้อรถ และส่วนที่มีคราบสกปรกมากๆ ล้างน้ำเปล่าทันที เมื่อทำความสะอาดรถด้วยน้ำยาล้างรถเสร็จแล้ว ต้องล้างน้ำเปล่าทันที ก่อนที่จะไปล้างส่วนอื่นต่อและต้องทำแบบนี้กับทุกส่วนของรถ จากนั้นจึงค่อยล้างรถยนต์ด้วยน้ำเปล่าทั้งคันอีกครั้ง ใช้น้ำยาขจัดรอยเปื้อน หากล้างรถเสร็จเรียบร้อยแล้วยังพบคราบหรือรอยเปื้อน ให้ใช้น้ำยาขจัดรอยเปื้อนสำหรับรถโดยเฉพาะทำความสะอาดทันที หลังล้าง เช็ดรถให้แห้งทันที ขั้นตอนสุดท้าย เมื่อเราทำความสะอาดรถเสร็จครบทุกขั้นตอนแล้ว ควรใช้ผ้านุ่มๆ ที่ซับน้ำได้ดีหรือผ้าซามัวร์มาเช็ดรถ โดยเฉพาะกระจกหน้ารถ ด้านในฝากระโปรงด้านในบริเวณขอบประตู และด้านในฝาถังน้ำมัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดคราบน้ำ รวมทั้งฝุ่นที่จะมาเกาะกับพื้นผิวรถ ข้อห้ามสำคัญ ที่ห้ามทำขณะล้างรถ ข้อห้ามสำคัญในการล้างรถ นั่นก็คือ “ห้ามล้างรถกลางแดด” เนื่องจากจะทำให้น้ำแห้งเร็วจนเราเช็ดทำความสะอาดไม่ทัน แล้วอาจเกิดเป็นคราบน้ำเกาะบริเวณพื้นผิวรถยนต์ได้ และไม่ควรล้างในช่วงเย็นหรือกลางคืน เพราะหากเราเช็ดไม่แห้งสนิทก็อาจทำให้เกิดสนิมขึ้นในพื้นที่ที่ไม่แห้งได้ และข้อห้ามข้อสุดท้าย ไม่ควรใช้ผ้าชุปน้ำล้างรถ แทนฟองน้ำล้างรถ เพื่อป้องกันเศษฝุ่นหรือเม็ดทรายที่ติดผ้าจะทำให้เกิดรอยขีดข่วนกับตัวรถได้ นอกจากนี้ไม่แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์อื่น เช่น น้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก มาใช้แทนน้ำยาล้างรถ เนื่องจากจะเป็นการทำลายให้สีรถหมองในระยะยาว และไม่ควรใช้ไม้ขนไก่ปัดฝุ่น เพราะอาจเกิดรอบขีดข่วนต่อตัวรถได้ ขั้นตอนการทำความสะอาดภายในตัวรถ เป็นขั้นตอนสำคัญที่หลายๆ คนคิดว่ายากแต่วันนี้เรามีวิธีการล้างภายในตัวรถมานำเสนอ และทุกคนามารถไปทำตามกันได้ค่ะ 1) กำจัดเศษสิ่งสกปรกต่างๆ ออก เริ่มต้นด้วยการจำกัดเศษสิ่งสกปรกที่อยู่ภายในรถออกก่อน ด้วยการเก็บของที่จำเป็นออกเพื่อให้สะดวกต่อการเก็บกวาด จากนั้นเริ่มต้นเก้บกวาดเอาเศษสิ่งสกปรกออกด้วยมือ หลังจากนั้นนำเครื่องดูดฝุ่นดูดฝุ่นซ้ำเพื่อกำจัดฝุ่นเล็กๆ น้อยๆ ออกไป ทั้งบนเบาะและบนพื้น 2) เช็ดเบาะไวนิลและเบาะหนัง ขั้นตอนต่อไปเป็นขั้นตอนการล้างส่วนภายในโดยเริ่มทำความสะอาดจากเบาะผ้าไวนิลหรือเบาะหนังด้วยการใช้ผ้าเปียกหมาดเช็ดให้ทั่ว หรือจะใช้ผ้าแบบ wipe ที่ออกแบบมาสำหรับเช็ดเบาะหนังและไวนิลก็ได้ โดยผลิตภัณฑ์จำพวกนี้ เหมาะสำหรับการใช้เช็ดอุปกรณ์ภายในรถ แต่ก่อนจะให้ควรอ่านคำแนะนำและวิธีการใช้งานให้ดีก่อนใช้งานนะคะ 3) ซักเบาะผ้าถ้าจำเป็น ถ้าหากรถเป็นเบาะผ้า สามารถซักเบาะได้เมื่อจำเป็น ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับซักพรม หรือสำหรับซักเบาะผ้าในรถที่มีขายตามแผนกอุปกรณ์รถทั่วไป และก่อนจะใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้อย่าลืมทดสอบผลิตภัณฑ์ก่อนว่าจะไม่ทำให้เบาะรถของเรานั้นมีสีซีดหรือจางลง โดยให้ทดสอบบริเวณที่ไม่เป็นจุดสังเกตุเพื่อดุผลลัพธ์ 4) ทำความสะอาดหน้าต่างด้านใน อย่าลืมทำความสะอาดหน้าต่างด้านใน สามารถใช้ที่เช็ดกระจกทั่วไปหรือกระดาษทิจชู่เช็ดก็ได้ค่ะ แต่พอเช็ดเสร็จเรียบร้อยแล้ว มักจะทั้งคราบฝุ่นอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นใช้ผลิตภัณฑ์เช็ดกระจกสำหรับรถยนต์ หรือผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง แต่ระวังอย่าใช้น้ำยาเช็ดกระจกที่มีส่วนผสมของแอมโมเนีย เพราะจะทำให้กระจกรถเป็นรอยได้ค่ะ 5) ลงน้ำยาเคลือบหนังและผ้าไวนิล หลังจากที่ทำความสะอาดล้างด้านในตัวรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ลงน้ำยาเคลือบหนังและไวนิล ลงบนเบาะ เพื่อปกป้องและป้องกันดูแลเบาะรถให้มีสภาพดีอยู่ตลอด โดยน้ำยาเคลือบเบาะนี้จะช่วยให้ภายในตัวรถไม่มีฝุ่นเกาะ และปกป้องวัสดุจากแสงแดดรวมทั้งลดรอยแตกต่างๆได้ด้วย การลงแว๊กซ์หลังล้างรถ ในการดูแลการล้างรถในขั้นตอนสุดท้าย ควรการหาผลิตภัณฑ์ แว๊กซ์ (Wax) มาใช้เคลือบสีนอกจากจะเป็นเกราะป้องกันชั้นแรก มันยังทำให้สีรถของคุณ ดูเงางามขึ้นมาอีกด้วย เพราะการแว๊กซ์จะเปรียบเสมือนเกาะป้องกันรอยขีดข่วนให้ตัวรถ แว็กซ์จะทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันโดยมันมีการสร้างชั้นฟิล์มบางๆ มาเคลือบทับกับสีรถนั่นเอง ซึ่งการแว็กซ์สีรถเป็นประจำมันจะช่วยเพิ่มชั้นป้องกันรถ ซึ่งจะทำให้ผิวรถมีความลื่น ช่วยป้องกันคราบสกปรกต่าง ๆ ทำให้คราบไม่สามารถเกาะติดบนสีรถได้ เหมือนกับใบบอนที่น้ำจะกลิ้งไปกลิ้งมาทำให้เราล้างรถได้ง่ายมากขึ้น แล้วยิ่งถ้าเลือกใช้แว๊กซ์ที่มีคุณภาพสูงๆ ก็สามารถป้องกันได้แม้กระทั้งกรวดเล็กกันเลย และข้อดีอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับตัวรถเมื่อต้องการขายต่อรถมือสอง สีของรถเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ราคารถดีหรือไม่ดี แต่หากสีรถของคุณเป็นสีเดิมจากโรงงานและยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ สิ่งนี้มันจะสามารถบ่งบอกได้ว่า คุณเป็นคนที่ใช้รถอย่างทะนุถนอม ดูแลรักษารถดี มันทำให้ผู้ชื้อเกิดความเชื่อใจได้ราคาดีนั่นเอง และข้อสุดท้ายแว็กซ์ยังกันน้ำที่ต้องกันน้ำเพราะในบางสภาพอากาศการที่ฝนตกลงมาอาจมีสภาวะเป็นฝนกรด ซึ่งอาจเกิดความเสียหายต่อสีรถได้ เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับวิธีการล้างรถที่เรานำมาเสนอให้อ่านกัน ที่ผ่านมาทุกคนล้างรถด้วยวิธีการที่ถูกต้องกันหรือเปล่าเอ่ยหรือล้างครบทุกขั้นตอนที่เรานำเสนอไปไหมคะ หากยังล้างไม่ถูกต้องสามารถนำขั้นตอนที่เรานำมาเสนอไปปฏิบัติกันนะคะ รับรองว่าเป็นการดูแลรถที่ถูกต้องและทำให้รถของทุกคนดูใหม่และสุขภาพดีอยู่ตลอดแน่นอน Blog แนะนำ ไขข้อสงสัย ทำไมต้องล้างรถ ?
ถ้าพูดถึง การล้างรถ ก็คงเป็นสิ่งที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วว่าการล้างรถเป็นการทำความสะอาดสิ่งสกปรก และเป็นใส่ใจดูแลให้รถดูใหม่อยู่เสมอ แต่ทุกคนทราบกันหรือไม่ว่าแล้วต้องล้างรถบ่อยแค่ไหน ถึงจะเรียกว่าพอดี แบบไหนที่เป็นการดูแลเอาใจใส่รถของเราอย่างถูกต้องที่สุด ล้างรถบ่อยแค่ไหน? ถึงจะเรียกว่าพอดี ผู้เชี่ยวชาญในการดูแลสีรถแนะนำว่าควรล้างรถอย่างน้อยทุกหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ เป็นการล้างใหญ่ทั้งหมดทั้งภายนอกและภายใน อีกทั้งยังได้ดูแลสีรถด้วยการเคลือบผิวให้เงางามอีกด้วย แต่ในความเป็นจริง ช่วงเวลาสามารถยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสม สำหรับประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอุณหภูมิความร้อนสูงและแสงแดดเป็นตัวบ่อนทำลายความเงางามของสีรถได้เป็นอย่างดี หรือถ้าเป็นฤดูฝนการที่รถของเราตากฝน เม็ดฝนที่โดนกับตัวรถนั้นมีมลพิษที่ติดลงมาด้วยบวกกับรถของเราซึ่งมีฝุ่นจากมลภาวะบนท้องถนนอยู่แล้วจึงทำให้ตัวรถของเราดูโทรมมากขึ้น และยังกระตุ้นให้เกิดสนิมได้เมื่อเปรียบเทียบกับรถที่ได้รับการล้าง ดูแล เคลือบสีอยู่สม่ำเสมอ ยิ่งถ้ารถของเราคราบขี้นกหรือยางจากต้นไม้ที่มีสภาพความเป็นกรดสูง แล้วปล่อยให้เกาะกับสีรถนานเกินไป คราบจะยิ่งฝังลึกล้างหรือขัดออกยาก เพราะฉะนั้นควรล้างออกทันทีที่เห็นคราบเหล่านี้ ถ้าไม่อยากให้รถมีคราบที่เอานอกไม่ได้นอกเสียจากต้องทำสีรถใหม่อย่างเดียว หากไม่ล้างและปล่อยไว้เป็นเวลานานจะมีผลอย่างไร การล้างรถ คือ การชะล้างสิ่งสกปรกออกจากพื้นผิวรถ แน่นอนว่าหากคราบสกปรกเหล่านั้นถูกสะสมไว้เป็นเวลานานอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ เช่น รถผุ เกิดสนิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาฤดูฝนที่มักมีโคลน ดิน ติดตามตัวถังรถได้บ่อย จึงต้องการล้างทำความสะอาดทุกครั้งที่ตรวจเจอ ดีกว่าปล่อยให้คราบเหล่านี้เกาะตัวฝังแน่นติดกับตัวรถกลายเป็นปัญหาภาวะสีด่าง สีของรถไม่เท่ากัน กลายเป็นปัญหาที่ใหญ่มากขึ้นไปอีกได้ ถ้าล้างรถต้องมาคู่กับการลงแว็กซ์ เคลือบสีรถอยู่เสมอหรือไม่ หลังจากการดูแลรถด้วยการล้างรถไปแล้วนั้น รถยนตร์ส่วนใหญ่ก็ต้องการการบำรุงเพิ่มเติม ซึ่งผลิตภัณฑ์นี้จะป้องกันและดูแลสีรถยนต์ให้เงางามเหมือนใหม่อยู่ตลอดเวลา สิ่งนี้เรียกว่า “แว็กซ์” ซึ่งแว็กซ์ไม่ได้ทำหน้าที่แค่ความเงางามที่มอบให้กับตัวรถอย่างเดียวเท่านั้น แต่ตัวแว็กซ์นี้ยังช่วยป้องกันสารเคมีต่างๆ ที่คอยทำลายความความเงางามของรถ เช่น ขี้นก ยางต้นไม้ ฝุ่นละอองหรือแม้กระทั่งความร้อนจากแสงแดด ตัวแว็กซ์จะช่วยปกป้องไม่ให้สิ่งเหล่านี้มาทำลายสีรถ หรือย่างน้อยก็ลดความรุนแรงที่จะมีผลต่อสภาพสี เมื่อสีรถได้รับการเคลือบปกป้องจากตัวแว็กซ์นี้ก็เหมือนเป็นการสร้างเกาะป้องกันไว้ชั้นหนึ่งให้กับสีรถได้เลย ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรทำทุกครั้งหลังจากล้างรถเสร็จ เพราะแว๊กซ์เป็นสารเคมีที่สามารถถูกล้างออกไปได้ ไม่ติดแน่นไปกับสีรถโดยตลอดเพราะฉะนั้นควรเคลือบแว็กซ์ใหม่ทุกครั้งเพื่อการปกป้องสีรถที่ดีที่สุด ถ้าไม่ล้างรถ สามารถทำความสะอาดด้วยวิธีอื่นได้ไหม ? การล้างรถไม่จำเป็นจะต้องลงแรงล้างทุกครั้งที่มีคราบสกปรกเสมอไป ถ้าหากรถของเรามีการลงแว็กซ์ เคลือบสีอยู่แล้วละก็มีการผสมสารป้องกันการเกาะติดของคราบเปื้อนไม่ให้ฝังแน่น สำหรับฝุ่นละอองที่พบเจออยู่ทุกวัน สามารถใช้ไม้ขนไก่ขนนุ่มปัดทำความสะอาด แล้วใช้ผ้านุ่ม เช็ดวนพร้อมขัดรถไปในตัว ก็สร้างความเงางามให้กับรถได้เช่นเดียวกัน หรือถ้าเจอคราบเปื้อนเป็นจุด ๆ การใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดเฉพาะส่วน ก็สามารถทำได้ง่าย แต่เมื่อใดก็ตามที่มองดูแล้วความเปื้อนสกปรกไม่ว่าจากฝุ่น หรือโคลนกระจายไปรอบคัน สามารถใช้น้ำล้างทำความสะอาดโดยรอบโดยที่ไม่ต้องลงน้ำยาล้างรถ รถก็ดูสะอาดเหมือนใหม่ได้ด้วย ระยะเวลาที่เหมาะสำหรับการทำความสะอาดภายในตัวรถ การทำความสะอาดภายในตัวรถหรือพื้นที่บริเวณห้องโดยสารก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม ควรทำความสะอาดเป็นประจำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพราะฝุ่น ความสกปรก หรือเชื้อโรคต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นอาจจะติดอยู่ตามเบาะหรือซอกมุมต่างๆ ในตัวรถก็ได้เราจึงต้องมีรอบการทำความสะอาดที่สม่ำเสมอ เพื่อรถที่สวยงามและเพื่อสุขภาพร่างกายที่ดีของเจ้าของรถและผู้โดยสารทุกคน สรุปคือการล้างรถเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใช้รถยนต์ควรทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่ต้องเจอมลภาวะในหลากหลายฤดู เพราะฉนั้นควรล้างทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษาความสะอาดของตัวรถยนต์และเพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคนอีกด้วย ซึ่งความเหมาะสมตามที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำคืออย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเหมาะสมตามเจ้าเจ้าของรถยนต์พิจารณา หากทำได้ตามนี้รถของคุณก็จะดูสะอาดเงางามเหมือนใหม่อยู่ตลอด ขอบคุณข้อมูลจาก : mottoraka , chobrod
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการดูแลรถสักคันนั้นยากเกินไปสำหรับมือใหม่ จะทำตามคู่มือไหนก็ลำบากไปหมด จนบางทีก็เผลอละเลยจุดเล็กจนกลายเป็นปัญหาใหญ่แบบไม่รู้ตัว วันนี้เราจึงมาแชร์เคล็ดลับง่ายๆ ที่ไม่ว่าหญิงหรือชายก็สามารถนำไปลองทำได้สบายๆ เป็นประจำทุกวัน บทที่ 1 เช็คลมยาง เริ่มจากเรื่องพื้นฐานง่ายๆ ที่ไม่ว่ามือใหม่หรือใครๆ ก็สามารถทำเองได้ นั่นก็คือการเช็คลมยางของรถยนต์นั่นเอง ซึ่งผู้ใช้รถส่วนใหญ่มักจะละเลย และส่งผลให้ลมยางนั้นจะอ่อนลงไปทุกวันเนื่องจากการใช้งาน นานวันเข้าก็จะทำให้ยางเสื่อมสรรถภาพไวกว่าปกติ ลมยางมาตรฐานของล้อรถยนต์จะระบุอยู่ข้างประตูคนขับ ซึ่งเราสามารถตรวจเช็คได้ด้วยตัวเองเลย ดังนั้นหากเราจะเริ่มดูแลรถก็ควรเริ่มจากการตรวจเช็คลมยางนี่แหละ ลองก้มดูด้านล่างสักนิด เพื่อตรวจเช็คลมยางสักหน่อยก่อนออกจากบ้าน อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพื่อความปลอดภัย พร้อมทั้งดูด้วยว่ายางรถยนต์ไม่มีสิ่งปกติทิ่มคาอยู่ มั่นใจได้เลยว่าหลังจากนี้คุณจะรู้สึกดีขึ้นทุกครั้งที่ขับขี่ ที่สำคัญ! การเติมลมยางที่เหมาะสมช่วยประหยัดน้ำมันด้วยนะ อย่าลืมไปลองทำกัน Tips : ลมยางสูงสุดที่เติมได้ไม่ควรเกินที่ระบุไว้บริเวณแก้มยางนะ บทที่ 2 เช็คที่ปัดน้ำฝน ที่ปัดน้ำฝนเป็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่อยู่นอกสายตาเสมอ เมื่อใช้รถไปสักระยะ ยางปัดน้ำฝนก็อาจเสื่อมสภาพไปไม่น้อย เนื่องจากมีสิ่งสกปรกอย่าง ฝุ่น ทราย หรือเศษหินขนาดเล็ก เกาะติดอยู่ระหว่างยางใบปัดกับกระจก หากเราต้องการดูแลรถให้มีสภาพใหม่และสวยงามเหมือนซื้อใหม่อยู่เสมอ ให้สังเกตเวลาใช้งานอยู่เสมอว่าที่ปัดน้ำฝนต้องไม่ทิ้งลอยคราบต่างๆ ไว้ หรือปัดแล้วมีเสียงดังกว่าปกติ ถ้าหากเกิดอาการดังกล่าวแสดงว่าถึงเวลาต้องรีบเปลี่ยน เป็นอีกหนึ่งวีธีดูแลรถง่ายๆ ที่สามารถทำเองได้ บทที่ 3 เช็คสัญญาณไฟเตือนที่หน้าปัด แผงหน้าปัดที่แสดงสัญญาณไฟเตือนด้านหน้าพวงมาลัย เป็นอีกหนึ่งจุดที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับผู้ใช้รถมือใหม่ หลายคนอาจจะไม่ค่อยได้สังเกตหรือใส่ใจ จะก้มลงมองก็เฉพาะตอนที่นึกสงสัยว่าตอนนี้น้ำมันเหลืออยู่แค่ไหน แต่เราอยากให้คุณคอยสังเกตอยู่เสมอว่า ในขณะขับขี่รถยนต์อยู่นั้นมีไฟสัญญาณเตือนอะไรผิดแปลกขึ้นมาหรือไม่ ถ้าหากมี เราแนะนำให้คุณควรหาเวลานำรถคู่ใจไปตรวจเช็คที่ศูนย์ทันที เพราะสัญญาณไฟนั้นเป็นสัญญาณเตือนที่ช่วยให้เรารู้ตัวก่อนที่ปัญหาจะลุกลามไปมากกว่าเก่า บทที่ 4 เช็คแบตเตอรี่ หลายคนอาจจะมองว่าแบตเบอรี่รถยนต์เป็นส่วนที่ไม่สามารถดูแลรักษาได้ด้วยตนเอง แต่ความจริงแล้วเราสามารถตรวจเช็คแบตเตอรี่เบื้องต้นเองได้ เพียงตรวจสอบสภาพตัวแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอว่ามีความเสียหายใดๆ หรือไม่ ลองสังเกตสีที่แตกต่างกันของช่องตาแมวแบตเตอรี่ ซึ่งแต่ละลูกจะมีสีที่บอกสถานะของแบตที่แตกต่างกัน โดยสามารถศึกษาคำอธิบายสีต่างๆ ได้จากสติ๊กเกอร์บนตัวแบตเตอรี่ นอกจากนี้ยังควรตรวจสอบระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่ ไม่ให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าที่ควรอยู่เสมอ โดยแบตเตอรี่แบบเติมน้ำกลั่นควรตรวจเช็คทุกๆ 1 เดือน แบบกึ่งแห้งควรตรวจเช็คทุกๆ 6-12 เดือน หากรู้สึกว่าที่กล่าวไปนั้นยากเกินไป มี วิธีตรวจเช็คที่ง่ายที่สุดคือ ลองสังเกตว่า หากรถสตาร์ทติดยาก และเป็นแบตเตอรี่ที่ใช้อายุนานเกิน 2 ปี สันนิษฐานได้เลยว่าแบตเตอรี่ใกล้หมดอายุแล้ว ควรเปลี่ยนทันที Tips : ระวังอย่าเติมน้ำกลั่นจนเต็มหรือล้นจนเกินไปเพราะน้ำกลั่นที่อยู่ในแบตเตอรี่จะล้นออกมากัดกร่อนตัวถังรถและชิ้นส่วนต่าง ๆ เสียหายได้ บทที่ 5 เช็คน้ำมันเครื่อง มาถึงข้อสุดท้าย อ่านหัวข้อแล้วอาจจะรู้สึกว่ายาก ไม่เห็นจะง่ายเลย ก็อย่าเพิ่งปิดหน้านี้ทิ้งไป ความจริงแล้ว เราสามารถตรวจเช็คน้ำมันเครื่องเบื้องต้นด้วยตัวเองได้ โดยต้องอุ่นเครื่องยนต์จนถึงอุณหภูมิทำงานก่อน จอดรถให้อยู่ในแนวระนาบไม่ลาดเอียง หลังจากนั้นดับรถ รอ 1-3 นาทีแล้วจึงเปิดฝากระโปรงรถยนต์ มองหาก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องและดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมา จากนั้นใช้ผ้าสะอาดเช็ดน้ำมันเครื่องที่ติดอยู่กับก้านออก แล้วเสียบก้านวัดน้ำมันเครื่องคืนกลับไปจุดเดิม และสุดท้ายท้ายด้วยดึงก้านวัดออกมาอีกครั้งหนึ่งเพื่อตรวจดูระดับน้ำมันเครื่องที่ปลายก้านวัด ถ้าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่าง F กับ L หรือ Max กับ Min แสดงว่า ระดับน้ำมันเครื่องปกติ ไม่มากจนเกินไปและไม่น้อยจนเกินไป ควรหมั่นตรวจเช็คเป็นประจำ 1-2 ครั้ง/สัปดาห์ หรืออย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่ามีปริมาณน้ำมันเพียงพอสำหรับหล่อลื่นให้กับเครื่องยนต์ทั้งระบบ และปลอดภัยในทุกการขับขี่ เห็นไหมว่า 5 วิธีดูแลรถเบื้องต้นที่ให้ไป ง่ายนิดเดียว เหมาะสำหรับมือใหม่ เป็นวิธีที่สามารถสังเกต และทำด้วยตัวเองได้เป็นประจำ โดยไม่ต้องง้อใคร แต่ถ้าคุณยังรู้สึกว่ายากเกินไปที่จะทำด้วยตัวเอง เราแนะนำว่า ให้พารถคู่ใจของคุณเข้ามาตรวจเช็คที่อู่ของเรา SCG Performance อู่ซ่อมรถมาตรฐาน บริการด้วยความตั้งใจ รับตรวจเช็คและซ่อมดูแลรถโดยช่างมากประสบการ์ณ ยืนยันว่าเซอร์วิสครบจบในที่เดียว Quick Wash x SCG Performance
ธุรกิจล้างรถ หรือธุรกิจคาร์แคร์เป็นธุรกิจที่มีมายาวนาน และยังเป็นธุรกิจที่สามารถเติบโตได้ในตลาด แต่หากต้องการเติบโตในธุรกิจก็ต้องพัฒนา และปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม รถยนต์เป็นพาหนะที่อำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน และการที่มีรถยนต์ก็ต้องดูแลรักษา ซ่อมบำรุงเพื่อยืดอายุการใช้งาน คาร์แคร์จึงเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่มีการเติบโตและน่าจับตามองแต่เนื่องจากเวลาที่เปลี่ยนไป สังคมที่เปลี่ยนแปลง จึงได้มีการพัฒนาจากล้างคนที่ใช้แรงงานเป็นล้างด้วยเครื่องล้างอัตโนมัติ และปัจจุบันธุรกิจล้างรถที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย เพระาด้วยความสะดวกรวดเร็ว และตอบโจทย์คยยุคใหม่ หลายคนคงเคยได้ยินการล้างรถรูปแบบใหม่อย่าง การล้างรถอัตโนมัติ มาบ้างแล้ว แต่ก็มีหลายคนเช่นกันที่ยังไม่ทราบว่า การล้างรถอัตโนมัติต่างจากการล้างรถทั่วไปอย่างไร? มีประโยชน์อย่างไร? เรามี 3 เหตุผลมาตอบคำถามที่ว่า ทำไมต้องล้างรถอัตโนมัติกัน สะดวก รวดเร็ว เพิ่มเวลาชีวิต การล้างรถเป็นการดูแลรถที่ใช้เวลาไม่น้อย ลำพังจะทำเองก็ใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะครอบคลุมครบทุกจุด จะให้ร้านล้างให้ก็คงใช้เวลาไม่น้อย ยิ่งถ้าล้างก่อนเดินทางไปไหน เห็นว่าคงไม่ทันเวลา แต่จะไม่ล้างก็ไม่ได้ การล้างรถอัตโนมัติจึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ช่วยเซฟเวลาให้คุณสามารถนำรถที่สะอาดหมดจดไปใช้งานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะการล้างรถอัตโนมัติช่วยให้รถของคุณสะอาดและได้รับการดูแลครบทุกจุดในเวลาไม่เกิน 10 นาที เพียงเท่านี้.. คุณก็จะมีเวลาเหลือไปทำอย่างอื่นพร้อมรถคู่ใจที่สะอาดหมดจดได้แล้ว สะอาด ไร้รอย ดูแลครบครัน หากเราไม่ได้เป็นคนล้างรถด้วยตัวเอง ก็คงอดกังวลไม่ได้ว่ารถจะสะอาดหรือไม่? มีรอยขีดข่วนหรือเปล่า? แต่ถ้าเป็นการล้างรถด้วยเครื่องล้างรถอัตโนมัติแล้ว บอกได้เลยว่า “หายห่วง” ด้วยระบบที่คิดค้นมาให้เป็นมิตรต่อรถ เส้นใยที่ใช้ล้างนั้นผลิตจากวัสดุประเภทโฟมที่ให้สัมนุ่มนวลกับรถของคุณ ไร้รอยขีดข่วน คงไว้ซึ่งสภาพที่สวยงามดังเก่า อีกทั้งยังสะอาดหมดจุดเพราะได้รับการทำความสะอาดที่ครอบคลุมทุกจุด มั่นใจได้เลยว่าการล้างรถอัตโนมัติจะช่วยให้คุณคลายกังวลเรื่องความสะอาดและความปลอยภัยของรถได้อย่างปลิดทิ้ง สบายกระเป๋า คุ้มค่า คุ้มราคา จากเหตุผลสองข้อที่กล่าวไป จะเห็นได้ว่าการล้างรถอัตโนมัตินั้น ช่วยดูแลรถของคุณให้สะอาดด้วยเวลาอันสั้น และครอบคลุมครบทุกจุด ถึงแม้ว่าจะดูแลได้ดีขนาดนี้ แต่ค่าบริการเริ่มต้นกลับไม่ได้สูงอย่างที่คิด จ่ายแบงค์ร้อยมีทอน! เทียบกับการล้างที่ Car Care ดูแล้วจัดว่าคุ้มค่าไม่เบา ช่วยให้คุณนำเงินในกระเป๋าไปใช้ในส่วนอื่นได้อีกสบายๆ ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้คงช่วยให้คุณตัดสินใจได้ไม่ยาก หากต้องการดูแลรถให้ครบครันคลอมคลุมทุกจุดในเวลาเร่งรีบ หลังจากนี้ เราหวังว่าคุณจะให้การล้างรถอัตโนมัติเป็นตัวเลือกแรกในการดูแลรถ และเปิดใจลองใช้บริการดูสักครั้ง เพราะการล้างรถอัตโนมัติจะเปลี่ยนภารกิจยุ่งยากให้เป็นเรื่องง่ายและใช้เวลาน้อยกว่าที่คิด
เคยสงสัยกันมั้ยว่า ทำไมเราต้องล้างรถ วันนี้แอดจะมาแชร์สาเหตุหลักที่เราต้องล้างรถ เพราะการล้างรถก็เหมือนกับการที่เราอาบน้ำดูแลตัวเองเป็นประจำเสมอ ไม่งั้นจะเกิดคราบไคลเป็นชั้นๆ ส่งผลให้ดูแลยากระยะยาว และการดูแลรถก็มีหลายวิธี การล้างรถเป็นวิธีเบื้องต้นที่เราสามารถทำให้รถสวยเงางามได้ และเป็นวิธีที่่ง่ายที่สุดอีกด้วย เพราะนอกจากการนำรถยนต์เข้าศูนย์เช็คระยะแล้ว “การล้างรถ” ก็ถือเป็นขั้นตอนหนึ่งของการดูแลรักษารถยนต์เพื่อช่วยให้รถดูสะอาดและเป็นการถนอมสีรถไปในตัวที่ผู้ใช้รถยนต์จะต้องรู้ด้วย แต่ทั้งนี้จะต้องเป็นขั้นตอนการล้างรถจะต้องเป็นวิธีล้างรถที่ถูกต้องด้วยเช่นกัน แล้วการล้างรถมีประโยชน์อะไรกันบ้าง เรามาลองอ่าน 5 เหตุผลที่ผ่านบทความนี้กันค่ะ 1.เพื่อเป็นการดูแลรักษารถยนตร์ให้สะอาดอยู่ตลอดเวลา เพราะการล้างรถเป็นขั้นตอนที่ทำให้รถของเราสะอาดและดูดี ในปัจจุบันมีร้านคาร์แคร์และธุรกิจล้างรถ ล้างอัดฉีด ดูดฝุ่นอำนวยความสะดวกให้เลือกใช้บริการมากมาย ไม่ว่าจะเป็น บริการล้าง Car Care แบบเดิมที่ล้างด้วยคน, การบริการ ล้างรถ Drivethru ที่ล้างด้วยเครื่องล้างอัตโนมัติ ไม่ต้องลงจากรถ เป็นต้น ซึ่งการล้างรถให้รถสะอาดอยู่เสมอ ยังเป็นการบ่งบอกความใส่ใจดูแลรถของเจ้าของรถคันนั้นๆ อีกด้วย 2. เพื่อขจัดคราบสกปรกและฝุ่นละออง ต้นเหตุที่ทำลายสีของรถ คราบสกปรกและฝุ่นละออง ต้นเหตุที่ทำร้ายสีของรถยนต์ ความสกปรกต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ผู้ใช้รถยนต์ต้องเจอกับปัญหานี้อยู่เป็นประจำไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ไม่ว่าจะเป็น เศษดินเศษหิน เม็ดทรายขนาดใหญ่ น้ำเสีย หรือสารพัดสิ่งสกปรกที่มาจากบนท้องถนน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นต้นเหตุตัวร้ายที่ทำลายผิวรถยนต์ของคุณให้เสียหายได้ ซึ่งเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่ารถยนต์ของเราจะต้องเจอกับอะไรบ้าง การปล่อยคราบสิ่งสกปรกเหล่านี้ทิ้งไว้นานอาจเกาะติดพื้นผิวรถยนต์ของและพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้สีรถหมอง และสิ่งที่แย่ไปกว่านั้นอาจแปรสภาพกลายเป็นคราบฝังลึก โดยวิธีแก้ก็จะยากกว่าโดยใช้วิธีการขัดสีเพียงอย่างเดียว เป็นเหตุให้ต้องมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นอีก 3. เพื่อเป็นการถนอมสีรถ และทำให้สีรถยังคงเงางาม สำหรับผู้ที่ให้ความใส่ใจทางด้านสีสัน ความเงางามของรถยนต์เป็นพิเศษ เราขอแนะนำวิธีการดูแลรถยนต์ที่ได้ผลดีมาก นั่นก็คือ การแว๊กซ์รถ ให้รถดูสวยเงางามขึ้น โดยสามารถเอารถเข้าคาร์แคร์หรือบริการธุรกิจล้างรถต่างๆ หรือจะแว๊กซ์เองก็ได้ การทำความสะอาดและการดูแลในแต่ละครั้งสามารถช่วยดูแลสีของรถคุณให้สวยเงางามได้ ไม่ใช่ว่าจะมีการทำสีใหม่เพียงอย่างเดียว แต่การทำความสะอาดแล้วลงน้ำยาเคลือบเงาก็ยังรักษาสีรถของคุณให้เงางามอยู่เสมอ ซึ่งข้อดี ของน้ำยาเคลือบเงา คือ ฝุ่นสิ่งสกปรกจะจับตัวได้ยาก และน้ำฝนก็ไม่สามารถทำให้เป็นรอยได้ วิธีนี้ก็จะทำให้รถของคุณดูใหม่อยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องกังวลเรื่องคราบและรอยเปื้อนแต่อย่างใด การดูแลรถเบื้องต้น มีดังนี้ การขัดสีรถ คือ การขัดผิวหน้าสีหรือแล็กเกอร์ออกไป เพื่อลบรอยที่เกิดจากตราบยางไม้ ขี้แมลง และอื่น หลังจากที่เราได้ขัดสีเรียบร้อยแล้ว ผิวหน้าของสีก็จะดูเรียบเนียน สวยและมีความเงางามมากยิ่งขึ้น การเคลือบสี คือ การเคลือบเพื่อปกป้องผิวสีที่ถูกขัดออกไปให้มีความแข็งแรงทนทานต่อรอยที่จะเกิดมากขึ้น ซึ่งการเคลือบนั้นก็ต้องดูตามน้ำยาเคลือบกำหนดเพื่อให้มีอายุการใช้งานยาวนั่นเอง 4. ลดโอกาสการเกิดคราบฝังแน่น คราบฝังแน่นนี้เกิดจากการใช้รถยนต์ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยง เช่น คราบน้ำมัน คราบท่อไอเสีย มลภาวะ หรือสารเคมีที่กระเด็นมาติดขณะอยู่บนท้องถนน สิ่งเหล่านี้ค่อนข้างหลุดออกได้ยาก หากไม่ได้ล้างรถเป็นเวลานานก็จะเกิดครบฝังแน่นล้างออกได้ยาก หลายคนอาจจะคิดว่าแค่ฝนตก ก็สามารถชำระคราบสิ่งสกปรกได้หมดแล้ว แต่ความเป็นจริงหลังฝนตกหากมองด้วยตาเปล่า รถยนต์ของคุณอาจดูเหมือนสะอาดขึ้น แต่หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อเราใช้รถไปเรื่อยๆ โดนลม โดนแดดจนน้ำฝนระเหยแห้ง อนุภาคทั้งหลายที่เกาะติดตามพื้นผิวของตัวรถยนต์ก็จะแห้งไปด้วย แล้วกลายเป็นคราบฝังแน่นบนพื้นผิวรถ ซึ่งนอกจากจะทำความสะอาดได้ยากขึ้นแล้ว เมื่อนานไปจะกัดกร่อนสารเคลือบสีและส่งผลให้สีรถยนต์ของคุณซีดได้ ทางที่ดีหลังจากรถของคุณฝ่าฝนมาใหม่ๆ ควรหาเวลาล้างรถด้วยตัวเองโดยใช้น้ำฉีด ตามด้วยการลงแชมพูล้างรถให้ทั่ว แล้วฉีดน้ำล้างฟองออกจนสะอาด ถึงจะไม่สะอาดเนี้ยบเหมือนใช้บริการคาร์วอช แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้คราบต่างๆ ที่มองไม่ค่อยเห็นนั้นแห้งติดสะสมเป็นคราบฝังลึก 5. ช่วยป้องกันคราบจากเศษใบไม้ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะจอดรถใต้ร่มไม้ไม่ได้ แล้วทราบกันไหมคะหากจอดรถใต้ร่มไม้หลังจากฝนตกอาจมีเศษใบไม้ เกสรดอกไม้ เศษกิ่งไม้เล็กๆ หรือแม้แต่ตัวแมลง เมื่อสิ่งเหล่าแห้งติดบนพื้นผิวรถจะเกิดเป็นคราบแห้งกรัง ทำให้ทำความสะอาดได้ยาก รอยเปื้อนบางจุดล้างด้วยแชมพูล้างรถอย่างเดียวไม่ออก ต้องพึ่งพาน้ำยาทำความสะอาดชนิดพิเศษจากบริการคาร์วอชเท่านั้น เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับ 5 เหตุผลดีๆ ที่ตอบข้อสงสัยว่า ทำไมต้องล้างรถ สามารถช่วยตอบข้อสงสัยและเพิ่มความรู้ทำให้เห็นถึงความสำคัญของการล้างรถกันแล้วใช่ไหมคะ ถ้าเห็นถึงประโยชน์ของการล้างรถกันแล้ว อย่าลืมหันมาใส่ใจดูแลรถยนต์ของคุณด้วยการล้างรถที่ถูกวิธีกันนะคะ และหากคุณกำลังมองหาร้านล้าง หรือดูแลรถที่ไว้ใจได้ทั้งคุณภาพมาตรฐานก็แวะมาใช้บริการที่ Quickwash ได้เลยค่ะ เราพร้อมดูแลรถคุณให้สวยเหมือนใหม่และใส่ใจทุกรายระเอียด