รถสั่นเป็นเจ้าเข้า ปัญหาที่ทำให้คนรักรถอย่างเราต้องเกาหัว สตาร์ทรถทีไรเครื่องยนต์ก็เกิดอาการสั่นสะเทือนเหมือนแผ่นดินไหว สวิงขึ้นๆ ลงๆ หนักเข้าท่อไอเสียก็มีควันดำออกมา โดยปัญหาน่าปวดใจเหล่านี้อาจมาจาก “รอบเดินเบาไม่นิ่ง” แต่จะแก้ยังไงไม่ให้เกิดขึ้นอีก เราจะพามาขุดหาต้นตอของปัญหานี้ เพื่อแก้ไขให้มันจบได้ตรงจุดจริงๆ แต่ก่อนจะแก้ไขเราต้องเข้าใจซะก่อน รอบเดินเบาคืออะไร? รอบเดินเบา คือ รอบเครื่องยนต์ขณะที่รถยนต์ไม่เคลื่อนที่แต่มีการสตาร์ทเครื่องยนต์ไว้โดยปกติ ซึ่งรอบเดินเบาปกติแล้ว เข็มจะเคลื่อนขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ถึงเลข 1 โดยรอบเครื่องจะอยู่ที่ช่วง 700 - 800 รอบ/นาที หากรอบเครื่องยนต์นั้นมีความผิดแปลกไปจากนี้ คุณอาจต้องเฝ้าระวังหรือรีบตรวจเช็คทันที เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่ารอบเดินเบาของคุณกำลังมีปัญหาอยู่ วิธีสังเกตง่ายๆ ที่มองเห็นได้ชัดที่สุดคือ เมื่อจอดรถให้หยุดนิ่ง เครื่องยนต์จะสั่นจนหวิดดับเหมือนกำลังจะขาดใจ สลับกับรอบเครื่องที่สวิงขึ้นลงช่วง 500 – 1,200 รอบ/นาที ซึ่งการเติมคันเร่งอาจช่วยไม่ให้เครื่องดับได้ แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ให้จบได้จริงๆ ปัญหานี้ก็ยังคงวนกลับมากวนใจอยู่เรื่อยไป หากไม่รีบแก้ อาจทำให้ไม่สามารถคุมรอบเครื่องยนต์ได้ จนนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุ รอบเดินเบาไม่นิ่งมักจะพบในรถเก่าอายุการใช้งานหลายปี แต่ไม่ว่าจะรถเก่าปีเยอะหรือรถใหม่ปีน้อยก็ควรระวัง เพราะตัวการสำคัญของเรื่องนี้คือความสกปรก และความเสื่อมสภาพของอะไหล่เครื่องยนต์ ส่งผลให้การทำงานของเครื่องยนต์นั้นผิดปกติไป แต่จะเกิดจากชิ้นส่วนไหนบ้าง เราจะมาสาเหตุที่แท้จริง และแก้ปัญหานี้ให้จบได้จริงๆ กัน รอบเดินเบาไม่นิ่ง อาจเกิดปัญหาจาก… มอเตอร์รอบเดินเบาสกปรก สาเหตุอันดับต้นๆ ที่ทำให้รอบเดินเบาไม่นิ่งก็คือ มอเตอร์รอบเดินเบา (Idle Speed Control) โดยมอเตอร์รอบเดินเบา ทำหน้าที่ควบคุมรอบเครื่องยนต์ให้คงที่ หากลองสังเกตแล้วพบว่าเครื่องยนต์มีอาการสั่น เราแนะนำให้เริ่มเช็คที่จุดนี้เป็นอันดับแรกก่อนเลย โดยอาการที่เกิดจากมอเตอร์รอบเดินเบาสกปรก คือ รถจะมีอาการเครื่องยนต์สั่น เมื่อจอดรถนิ่งอยู่กับที่ รอบเครื่องยนต์จะค่อยๆ ตกลง จนมีอาการสั่นสะเทือนและหวิดดับ มักเกิดขึ้นกับรถที่มีอายุการใช้งาน 5 ปีขึ้นไป แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน หากใช้งานอย่างหนัก สมบุกสมบัน รถใหม่ก็อาจเกิดอาการนี้ขึ้นได้เช่นกัน วิธีแก้ไขเบื้องต้น หากคุณพอมีความรู้พื้นฐานด้านเครื่องยนต์อยู่บ้าง เราสามารถแก้ไขมอเตอร์รอบเดินเบาสกปรกได้เอง โดยการถอดมอเตอร์รอบเดินเบาออกมาแล้วใช้แปรงสีฟันขัดด้วยน้ำมันเบนซินให้สะอาด คราบสกปรกจะติดอยู่โดยรอบตัวมอเตอร์ จากนั้นให้นำไปผึ่งลมให้แห้ง แต่ถ้าหากคุณไม่ค่อยมีความรู้พื้นฐานด้านเครื่องยนต์หรืออาจไม่มั่นใจ แนะนำว่าควรส่งไม้ต่อให้ช่างผู้เชี่ยวชาญจัดการให้ดีกว่า Tips : ขณะถอดมอเตอร์ออกมา ระวังอย่าให้แหวนโอริงหายโดยเด็ดขาด ลิ้นปีกผีเสื้อสกปรก ลิ้นปีกผีเสือ (Air Throttle) มีรูปลักษณ์เหมือนปีกผีเสื้อ ทำหน้าที่ควบคุมการไหลของอากาศภายนอกเข้าห้องเครื่องยนต์ เมื่อต้องทำงานคบคู่กับเครื่องยนต์ การที่ลิ้นปีกผีเสื้อสกปรกจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก อาจเกิดเขม่าดำ คราบเหนียว ไอน้ำมันเกาะที่ลิ้นปีกผีเสื้อตลอด และเกิดเป็นคราบสกปรกสะสม เกาะติดแน่น จนเป็นสาเหตุให้อากาศไม่สามารถเข้าไปช่วยในเรื่องของการเผาไหม้ได้ ทำให้รถรอบเดินเบาไม่นิ่ง สวิงขึ้นลง รอบเครื่องต่ำจึงทำให้เครื่องดับ เกิดอาการสั่นขณะเร่ง และอาจทำให้รถมีอาการกินน้ำมันมากยิ่งขึ้น วิธีแก้ไขเบื้องต้น เราควรตรวจเช็คและทำความสะอาดลิ้นปีกผีเสื้อเป็นประจำ ในทุกระยะการใช้งาน 20,000 – 30,000 กิโลเมตร หากคุณมีความรู้พื้นฐานเรื่องเครื่องยนต์ ลิ้นปีกผีเสื้อสามารถถอดมาทำความสะอาดได้เช่นกัน ซึ่งมีวิธีการคล้ายกับมอเตอร์รอบเดินเบา เพียงใช้สเปรย์ฉีดทำความสะอาดไปที่คราบน้ำมันและสิ่งสกปรกที่เกาะแน่นที่ลิ้นปีกผีเสื้อที่ถอดออกมา แล้วใช้แปรงขัดให้สะอาดหมดจดไปเลย เซนเซอร์ลิ้นปีกผีเสื้อ ระบบเซนเซอร์ลิ้นปีกผีเสื้อ ทำหน้าที่วัดปริมาณของอากาศที่ผ่านเข้าไปในท่อ เมื่อไม่ค่อยได้ดูแล เซนเซอร์ก็จะสกปรกและเกิดคราบฝังแน่น ส่งผลให้เครื่องยนต์เบาดับได้ วิธีแก้ไขเบื้องต้น หากมีความรู้พื้นฐาน คุณสามารถใช้สเปรย์ทำความสะอาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปในการทำความสะอาด จากนั้นเช็ดให้แห้ง เครื่องยนต์จะกลับมาใช้งานได้ปกติอีกครั้ง ในบางกรณีที่ลองทำแล้วอาการเหล่านี้ไม่หายไป ยังคงสั่นอยู่ แนะนำให้ขับรถคู่ใจไปเปลี่ยนเซนเซอร์ใหม่ได้เลย ท่อแวคคั่มรั่ว สายท่อแวคคั่ม (Vacuum) ทำหน้าที่ช่วยเร่งไฟจุดระเบิดในรอบเดินเบา ผู้ใช้รถรุ่นที่ผลิตก่อนปี 2000 อาจเจอกับปัญหานี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะรถทั้งแบบจ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด หรือคาบูเรเตอร์ ล้วนมีสายท่อแวคคั่มควบคุมการทำงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งท่อแวคคั่มนั้นทำจากสายยาง หรือซิลิโคน จึงเสื่อมสภาพตามอายุใช้งานเป็นเรื่องปกติ ควรตรวจเช็คและเปลี่ยนใหม่เรื่อยๆ เพื่อป้องกันการรั่วหรือแตก และส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานแบบไม่มีประสิทธิภาพ รอบเดินเบาไม่นิ่ง เครื่องยนต์สั่น ยิ่งถ้าจอดนิ่งติดไฟแดงก็มีโอกาสเครื่องดับสูงมากขึ้น วิธีแก้ไขเบื้องต้น หากมีความรู้พื้นฐาน ให้ลองตรวจสอบสายแวคคั่มทุกสาย ไล่ตรวจเช็คไปทีละเส้น หากพบรอยรั่วตรงจุดไหนให้ตัดออก แล้วสวมส่วนที่เหลือใส่กลับเข้าไป แนะนำว่าหากพบว่ามีสายแวคคั่มเส้นหนึ่งผิดปกติหรือเปื่อยทะลุ ให้เปลี่ยนยกเซ็ต เพราะสายอื่นย่อมมีสภาพที่ใกล้เคียงกัน หัวเทียนบอด หัวเทียนเป็นส่วนสุดท้ายที่เราอยากให้คุณไล่ตรวจสอบ เพราะมีความสำคัญต่อการสตาร์ทรถมาก ทำหน้าที่จุดระเบิดของเครื่องยนต์ โดยปล่อยกระแสไฟแรงดันสูง ไม่ต่ำกว่า 10,000 โวลต์ ทนความร้อนไม่ต่ำกว่า 2,000 องศาเซลเซียส เพื่อติดเครื่องรถยนต์ หากหัวเทียนบอด รถจะเกิดอาการสตาร์ทติดยาก เมื่อเครื่องยนต์ติดและจอดอยู่กับที่ รอบจะสวิงลงต่ำจนเกือบดับ หากเป็นขณะรถวิ่งก็จะมีอาการกระตุก สำลักความเร็ว และกินน้ำมันเชื้อเพลิงมากยิ่งขึ้น วิธีแก้ไขเบื้องต้น หัวเทียนบอดเป็นอาการที่ไม่สามารถซ่อมได้ มีเพียงวิธีการเปลี่ยนเท่านั้นที่ช่วยได้ แต่ราคาการเปลี่ยนหัวเทียนนั้นไม่สูงอย่างที่คิด สามารถซื้อหัวเทียนมือหนึ่งมาเปลี่ยนเองได้เลยหากมีความรู้พื้นฐานมากพอ เริ่มจากเปิดฝากระโปรงเครื่องยนต์ แล้วหาจุดที่ติดตั้งหัวเทียน เพื่อเปลี่ยนหัวเทียนใหม่ลงไปแทน จากนั้นลองสตาร์ทรถดูอีกครั้ง หากติดง่ายขึ้น และรอบเดินเบาไม่สะดุดก็แสดงว่าเราแก้ปัญหานี้ได้ตรงจุดแล้วจริงๆ เมื่อรู้ปัญหาที่แท้จริงแล้วว่าเกิดควรที่ส่วนไหน ควรรีบดำเนินการตรวจเช็คและแก้ปัญหาให้ถูกจุดทันที แม้รอบเดินเบาไม่นิ่งอาจเป็นเพียงปัญหากวนใจในตอนนี้ แต่มั่นใจได้เลยว่าหากละเลยจุดนี้ต่อไป อาจจะเพิ่มค่าใช้จ่ายจนกระเป๋าสตางค์รับไม่ไหวก็เป็นได้ และที่แย่ไปกว่านั้น คืออาจจะทำให้คุณและเพื่อนร่วมทางเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ รีบแก้ไขไว้ปลอดภัยกว่า แต่สำหรับมือใหม่ รวมถึงผู้ใช้รถที่ไม่มั่นใจ และไม่มีความรู้พื้นฐานด้านเครื่องยนต์มาก่อน ปัญหาในแต่ละส่วนที่บอกไปอาจยากที่จะตรวจเช็คและแก้ไขได้ด้วยตัวเอง เราแนะนำให้คุณหาศูนย์บริการที่เชื่อถือได้มาช่วยแก้ไขปัญหารอบเดินเบาไม่นิ่งให้กับคุณ หรือลองเปิดใจเข้ามาตรวจเช็คที่อู่ของเรา SCG Performance พร้อมตรวจเช็คเครื่องยนต์ และแก้ไขปัญหารอบเดินเบาได้อย่างตรงจุด โดยช่างมากประสบการณ์ มั่นใจได้ว่าเช็คครบ ซ่อมจบในที่เดียวครับ Quickwash x SCG Performance
ระบบช่วงล่าง เป็นอีกส่วนสำคัญที่ส่งผลต่อการขับเคลื่อนรถยนต์ โดยเฉพาะระบบเบรคและยางที่ทำหน้าที่ในการควบคุมรถ ความปลอดภัยของผู้ใช้ขึ้นอยู่กับการดูแลในส่วนนี้ แต่จะมีวิธีดูแลอย่างไรบ้าง เราจะมาแชร์ให้ได้ทุกคนรู้กัน แม้ระบบช่วงล่างจะประกอบด้วยส่วนสำคัญอีกหลายส่วน อาทิเช่น.. ลูกหมาก โช๊คอัพ และชุดคันส่ง แต่บทความนี้เราจะมาเจาะลึกวิธีดูแลระบบเบรกและยางที่ไม่ควรละเลยเป็นอันขาด เพื่อลดโอกาสเสี่ยงไม่ให้เกิด อุบัติเหตุ หรือปัญหาบานปลายที่เพิ่มค่าใช้จ่ายให้กับคุณ เราจึงควรดูแลให้ถูกหลัก เพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยในการขับขี่รถยนต์ แต่เบรกและยางจะมีวิธีแตกต่างกันอย่างไรบ้าง สัญญาณเตือน ถ้าละเลยระบบเบรก.. เหยียบเบรกไม่สุด : กำลังมีปัญหาเกี่ยวกับระบบเบรก อาจเป็นเพราะน้ำมันเบรคต่ำ หรือผ้าเบรกสึกแล้ว มีเสียงดังเวลาเหยียบเบรค : ตัวเหล็กที่ยึดติดกับแผ่นดิสค์เบรก ไปขูดกับขอบบนของจานเบรค ไฟหน้าปัดมีสัญญาณเบรกเตือน : เวลาเหยียบเบรกแล้วรู้สึกว่า ต้องออกแรงเหยียบมากขึ้น หากรถยนต์ของคุณกำลังเกิดอาการดังกล่าว แสดงว่าคุณกำลังละเลยระบบเบรก และถึงเวลาที่ต้องตรวจเช็คและดูแลอย่างละเอียด เพื่อรีบแก้ปัญหาเล็กๆ ก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ และทำให้คุณต้องเสียค่าซ่อมจนกระเป๋าฉีก หรืออาจจะนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุหรือความอันตรายต่อชีวิตได้ แต่จะมีวิธีดูแลอย่างไรบ้าง มาดูกัน วิธีดูแลระบบเบรก ระบบเบรก (Brake) หนึ่งในระบบช่วงล่างที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการชะลอความเร็วของรถ และหยุดรถ แต่หลายคนก็อาจละเลยและไม่ได้ตรวจเช็ค เพราะคิดว่ายังไม่มีปัญหา ยังเบรกอยู่ และบางคนก็คิดว่าเบรกอยู่ในจุดที่มองเห็นได้ยาก ไม่สามารถเช็คได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งยังมีอุปกรณ์มากมายหลายส่วนที่เกี่ยวข้องอีก ไม่ว่าจะเป็น จานเบรก ผ้าเบรก น้ำมันเบรก และสายต่างๆ แต่ความจริงแล้วเราสามารถตรวจเช็คและดูแลในขั้นเบื้องต้นได้ ดังนี้ 1. ตรวจเช็คผ้าเบรก ผ้าเบรก ถือว่าเป็นส่วนที่สึกหรอไวที่สุดในระบบเบรก เนื่องจากผ้าเบรกอาจมีเหล็กหรือเศษหินมาติดอยู่ หรืออาจเสียดสีกับจานเบรก ซึ่งอาจทำให้จานเบรกเป็นรอยได้ เราควรตรวจเช็คผ้าเบรกเสมอว่าเนื้อผ้าเบรกเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าความหนาลดลงเรื่อยๆ จนต่ำกว่า 3 มิลลิเมตร นั้นแสดงว่าเริ่มไม่ปลอดภัยแล้ว เพราะผ้าเบรกที่บางมากจะเกิดการสึกหรอได้รวดเร็วกว่าปกติหลายเท่า เนื้อผ้าเบรกอาจหลุดร่อนกะทันหัน ส่งผลให้แผ่นเหล็กเสียดสีกับจานเบรกจนเสียหาย หรือนำไปสู่เหตุการณ์อันตรายอย่าง เบรกแตก ได้ 2. ตรวจเช็คจานเบรก จานเบรกเป็นส่วนที่คดงอได้ง่าย ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นกับรถที่ใช้งานหนักแล้วเกิดความร้อนสะสมจะจานเบรกมีอุณหภูมิสูงจัด เมื่อขับรถผ่านจุดที่มีน้ำขัง หรือนำรถไปฉีดล้างทันทีก็อาจทำให้จานเบรกที่ทำจากโลหะเกิดอาการคดเบี้ยวอย่างเฉียบพลันได้ เราจึงควรเช็คจานเบรกอยู่เสมอ หากจานเบรกเบี้ยว คดงอ หรือมีร่องลึกเป็นเส้นยาวที่เกิดจากเศษหินเศษเหล็กมาติด ให้นำจานเบรกไปเจียหรือเปลี่ยนทันทีเลย ซึ่งควรได้รับการดูแลจากช่างที่มากประสบการณ์ เพราะหากเจียจานเบรกจนบางเกินไป อาจเกิดการแตกร้าวได้ 3.เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรก น้ำมันเบรกอาจจะมีอายุที่นานกว่าน้ำมันเครื่องจนละเลยไป แต่ความจริงแล้วเราควรเปลี่ยนน้ำมันเบรกอย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี หรือเปลี่ยนทุก 25,000 กิโลเมตร เพราะน้ำมันเบรกก็มีโอกาสเสื่อมสภาพเหมือนกับของเหลวเติมเครื่องยนต์ชนิดอื่นๆ เช่นกัน น้ำมันเบรกที่เปลี่ยนควรจะใช้ค่ามาตราเดิมตามคู่มือหรือตามที่ระบบเบรคนั้นๆ บอกไว้ เช่น DOT 4 ควรใช้ DOT 4 เท่านั้น ไม่ควรนำน้ำมันเบรกค่าอื่นๆ มาผสมลงไป เพราะอาจทำให้ลูกยางหรือท่อสายต่างๆ บวมได้ เป็นอีกจุดที่สำคัญมากและไม่ควรละเลย 4. ตรวจเช็คท่อและสายต่างๆ เราอาจจะไม่สามารถตรวจเช็คท่อและสายต่างๆ ได้ทั้งหมด เนื่องจากอาจมีส่วนที่ลึกลงไปใต้ท้องรถ แต่เราควรตรวจเช็คท่อและสายต่างๆ ที่สามารถมองเห็นจากด้านบนหรือห้องเครื่อง ว่าสายยังนิ่มอยู่ไม่เสียรูป หรือแตกร้าว หากเกิดอาการแข็งกระด้างมาก อาจทำให้น้ำมันเบรกอาจจะซึมออกขณะใช้งาน จนทำให้รถเบรกแตกได้ สัญญาณเตือน ถ้าละเลยเรื่องยางรถยนต์.. แก้มยางแตกและมีรอยร้าว : จอดรถกลางแดดเป็นเวลานาน จนยางเสื่อมสภาพ และเกิดรอยแตกที่เนื้อยาง ดอกยางสึก : หน้ายางสัมผัสพื้นถนนมากเกินไปจนสึกหรอ รู้สึกล้อสั่นสะเทือนผิดปกติ : เกิดช่องว่างระหว่างดุมล้อ และล้อแม็ก ลมยางอ่อนลงเร็วกว่าปกติ : อาจมีบางอย่างกำลังทิ่มหรือตำยางอยู่ ยางมีเสียงดังแปลกๆ : เกิดช่องว่างระหว่างดุมล้อ และล้อแม็ก หากยางรถยนต์ของคุณกำลังเกิดอาการดังกล่าว แสดงว่าคุณกำลังละเลยยางรถจนมันเกิดปัญหาเสียแล้ว ถึงเวลาที่ต้องตรวจเช็คและดูแลอย่างละเอียด เพื่อยับยั้งปัญหาที่จะบานปลาย ที่อาจจะนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุหรือความอันตรายต่อชีวิตได้ วิธีดูแลยางรถยนต์ ยางรถยนต์ เป็นส่วนที่เห็นได้ชัดและสังเกตได้ไม่ยาก แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าควรเปลี่ยนยางตอนไหน ควรดูแลยังไง เราจึงจะมาแชร์ทริคดูแลยางง่ายๆ ให้ทุกคน ดังนี้ ตรวจสอบความดันลมยาง หากยางของคุณลมอ่อน ยางจะสะสมความร้อนอยู่ในตัว และเป็นแผลแตกได้ง่าย และหากยางของคุณมีลมมากเกินไป ยางก็อาจระเบิด และดอกยางก็เสื่อมเร็วกว่ากำหนด การตรวจเช็คความดันลมยางนั้นสำคัญมาก หากละเลยอาจส่งผลให้ยางเสื่อมไว และทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงได้ ควรใช้ความดันลมยางให้เหมาะสมตามที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ห้ามบรรทุกเกินดัชนีน้ำหนัก การบรรทุกน้ำหนักเกินดัชนีน้ำหนักที่ยางกำหนดไว้ จะทำให้ขอบยางรับน้ำหนักมากเกินจนถูกบดทับทำให้เกิดรอยแตกลายงา และเสื่อมเร็วกว่าปกติได้ 3. หลีกเลี่ยงถนนขรุขระ สภาพถนนที่มีลักษณะขรุขระของหลุมบ่ออาจทำให้แก้มยางรถบวม ดอกยางลอก และเจาะยางแตกได้ หากได้รับแรงกระแทกสูง ยางรถอาจมีรอยแตก หรือรอยบุบได้ จึงควรหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ขรุขระหากไม่จำเป็น ไม่เพียงเพื่อความปลอดภัยแต่เพื่อยืดอายุการใช้ของยางให้นานยิ่งขึ้น 4. ขับขี่อย่างนุ่มนวล ยางของรถยนต์จะสึกหรอไปมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับขับขี่รถยนต์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการเบรกอย่างระมัดระวัง ไม่เบรกกะทันหัน การเปลี่ยนเกียร์อย่างนุ่มนวล การเร่งเครื่อง และการเข้าโค้งอย่างนุ่มนวล ก็มีส่วนช่วยยืดอายุของยาง ป้องกันไม่ให้ยางของคุณสึกหรอเร็วกว่าที่ควร 5. การเช็คดอกยาง เมื่อคุณใช้รถยนต์มาเป็นเวลานาน ยางของคุณอาจเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา แต่ไม่สามารถวางใจได้เลยว่าดอกยางของยางรถจะหมดสภาพไปแบบเท่าๆ กัน การตรวจเช็คดอกยางเป็นประจำทุกปีจะช่วยให้รู้สภาพยางของรถยนต์ในขณะนั้นได้เป็นอย่างดี ทุกวิธีดูแลระบบช่วงล่างในของส่วนของเบรกและยางที่เราแชร์ให้นั้น เป็นเพียงวิธีพื้นฐานที่ช่วยให้เราสามารถดูแลรักษาเบรกและยางให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานยิ่งขึ้นได้อย่างง่ายๆ ด้วยตัวเอง ทั้งนี้การจะดูแลและตรวจเช็คระบบเบรกและยางให้แม่นยำและถูกต้องครบจุดนั้น อาจต้องพึ่งพาความชำนาญการของช่างมืออาชีพ เพื่อให้คุณมั่นใจว่าดูแลได้ครบจุดและตรงจุด สร้างความปลอดภัยในทุกการขับขี่ เราขอแนะนำให้ SCG Performance เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการดูแลตรวจเช็คระบบช่วงล่างรถยนต์ให้กับคุณ หากพบปัญหา เจออาการไม่ว่าหนักหรือเบา เราพร้อมดูแลเต็มที่โดยช่างมากประสบการณ์ ลองเข้ามาตรวจเช็คเบรกและยางที่อู่ของเราได้นะครับ Quickwash x SCG Performance
การดูแลเรื่องน้ำมันเครื่องรถยนต์ เป็นหน้าที่สำคัญที่เจ้าของรถทุกคนควรใส่ใจ และไม่ควรละเลย ทั้งเพื่อความปลอดภัย และเพื่อยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ให้นานยิ่งขึ้น เพราะน้ำมันเครื่องเป็นส่วนสำคัญดั่งเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงเครื่องยนต์ให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าควรดูแลเรื่องนี้ยังไง ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตอนไหนกันแน่ เราจึงอยากแนะนำทริคดีๆ ที่ช่วยทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องง่ายที่ดูแลเองได้ หลายคนที่เพิ่งซื้อรถใหม่อาจจะศึกษาจากคู่มือรถที่เพิ่งได้มา ซึ่งมีรายละเอียดบอกเอาไว้ชัดเจน แต่สำหรับคนที่ใช้รถมานานแล้วอาจจะหาคู่มือไม่เจอ หรือหลงลืมหลักการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องไปว่าควรดูแลยังไง ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตอนไหน เราจึงจะมาแชร์ทริคเรื่องการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องกัน โดยแบ่งรถที่ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ รถที่มีอาการผิดปกติ และรถที่ไม่มีอาการผิดปกติ แต่ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง คุณอยู่กลุ่มไหน มีหลักการดูแลและเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแตกต่างกันยังไงบ้าง มาดูไปพร้อมๆ กันเถอะ กลุ่มที่ 1 รถที่มีอาการผิดปกติ ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เริ่มจากกลุ่มรถยนต์ที่มีอาการบ่งชี้ว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องได้แล้ว ซึ่งบอกคนอาจจะได้ไม่สังเกตว่านี่แหละ คือสัญญาณครั้งใหญ่ให้รีบไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่องได้แล้ว จะมีอาการอะไรบ้าง มาดูกัน… 1. เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นผิดปกติ ให้ลองสังเกตทุกครั้งที่ขับรถว่ามีเสียงที่ดังมาจากห้องเครื่องรถยนต์หรือไม่ ซึ่งเป็นเสียงที่ดังกว่าปกติ ถ้าหากมี ควรจอดรถ และลงจากรถเพื่อตรวจเช็คทันที เพราะการที่เครื่องยนต์มีเสียงที่ดังผิดปกตินี้ อาจมีสาเหตุมาจากน้ำมันเครื่องแห้ง หรือต่ำเกินไป 2. อัตราเร่งอืด ขณะขับรถ หากคุณเหยียบคันเร่งแล้วรู้สึกว่ารถยนต์ของคุณมีอัตราเร่งที่อืด หรือแย่ลงอย่างผิดปกติจนรู้สึกได้ อาจเป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าน้ำมันเครื่องของรถคุณเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว ควรตรวจเช็คและเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทันที 3. สีของน้ำมันเครื่องเปลี่ยนไป โดยปกติแล้วเรามักจะคุ้นชินและจดจำได้ว่า น้ำมันเครื่องใหม่ที่ยังมีคุณภาพดีเยี่ยมนั้นจะมีสีเหลืองทองโปร่งแสงเล็กน้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไป สีน้ำมันเครื่องรถยนต์มักจะมีสีเข้มขึ้นเนื่องจากสิ่งสกปรกภายในเครื่องยนต์จะถูกชะล้างติดมากับตัวน้ำมันเครื่อง หากปล่อยให้เครื่องยนต์หล่อลื่นไปกับน้ำมันดำๆ อาจทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพน้อยลง ควรทำการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทันที กลุ่มที่ 2 รถที่ไม่มีอาการผิดปกติ แต่ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง หากเช็คแล้วว่ารถของคุณยังไม่พบเจอกับอาการผิดปกติที่กล่าวไปข้างต้น และก็ไม่แน่ใจด้วยว่าตอนนี้ถึงเวลาที่ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแล้วหรือยัง เราจึงอยากให้คุณสังเกตว่า คุณใช้รถบ่อยแค่ไหน เพราะความถี่ในการใช้งานนั้นสามารถแบ่งหลักการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องได้เป็น 2 กลุ่มย่อยๆ เป็นกลุ่มแบบไหนบ้าง มาดูกัน… ใช้งานรถบ่อย = เปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะทาง สำหรับคนที่ใช้งานรถยนต์บ่อย ใช้รถเป็นประจำ ขับไปทำงาน หรือไปทำธุระบ่อยๆ เราแนะนำให้คุณเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะทางที่ขับขี่ ลองสังเกตเลขไมล์รถยนต์ หากระยะทางถึงกำหนดต้องเปลี่ยนแล้ว ให้หาเวลาพารถคู่ใจไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่องได้เลย ซึ่งปกติแล้วผู้ใช้รถส่วนใหญ่มักจะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุกๆ 8,000 - 10,000 กิโลเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของน้ำมันเครื่องที่เราใช้ด้วยว่าเหมาะสมที่จะเปลี่ยนที่ระยะเท่าใด เพื่อไม่ให้เป็นการสิ้นเปลือง น้ำมันเครื่องธรรมดา (ปิโตรเลียม) ควรเปลี่ยนที่ระยะ 7,000 - 7,500 กิโลเมตร น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ ควรเปลี่ยนที่ระยะ 10,000 - 15,000 กิโลเมตร น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ ควรเปลี่ยนที่ระยะ 15,000 - 20,000 กิโลเมตร ใช้งานรถน้อย = เปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะเวลา สำหรับคนที่ใช้งานรถน้อย เป็นรถที่จอดไว้เฉยๆ นานๆ ทีถึงจะถอยออกมาใช้สักครั้ง เลขไมล์ไม่ค่อยขยับ เราแนะนำให้คุณนับระยะเวลาการใช้งานว่า ใช้รถคันนี้มานานแค่ไหนแทนการดูจากระยะทาง โดยปกติแล้วรถที่ใช้งานน้อย ควรเปลี่ยนทุก 6 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของน้ำมันเครื่องที่เราใช้ด้วยเช่นกัน น้ำมันเครื่องธรรมดา (ปิโตรเลียม) ควรเปลี่ยนทุก 6 เดือน น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ ควรเปลี่ยนทุก 6 - 9 เดือน น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ ควรเปลี่ยนทุก 1 ปี นอกจากการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแล้ว ควรเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องพร้อมกับการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องไปด้วย เพื่อช่วยให้น้ำมันเครื่องที่เปลี่ยนใหม่นั้น สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ให้นานยิ่งขึ้นอีกด้วย ทริคที่เรานำมาแชร์วันนี้น่าจะทำให้หลายคนเข้าใจแล้วว่าควรดูแล และเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตอนไหน เพื่อต่ออายุการใช้งานเครื่องยนต์ให้นานยิ่งขึ้น หากพบว่ารถของคุณถึงเวลาอันสมควรแล้วที่จะ เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง แต่ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนที่ไหนดี เราแนะนำให้คุณขับรถคู่ใจเข้ามาเปลี่ยนน้ำมันเครื่องที่ SCG Performance ได้เลย เพราะอู่ของเราเป็นอู่ซ่อมรถมาตรฐานสูง ให้บริการด้านการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองน้ำมันเครื่องครบครัน โดยช่างมากประสบการณ์ อีกทั้งยังรับตรวจเช็คและซ่อมดูแลรถอาการอื่นด้วยความตั้งใจ การันตีว่าเซอร์วิสครบจบในที่เดียว ลองมากันได้เลยนะครับ Quickwash x SCG Performance