ทราบกันหรือไม่ว่า “QuickWash (ควิกวอช) ร้านล้างรถอัตโนมัติ” ได้เปิดขายแฟรนไชส์ (Franchise) เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้เป็นเจ้าของธุรกิจร้านล้างรถอัตโนมัติที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนสมัยใหม่ โดยเราจะมาทำความรู้จักกับควิกวอชให้มากขึ้นผ่านบทความนี้กันค่ะ QuickWash (ควิกวอช) ร้านล้างรถอัตโนมัติ ล้างรถเร็วใน 7 นาที ราคาเริ่มต้น 99 บาท มีจุดเริ่มต้นในปี 2017 จากการที่เราเริ่มตั้งคำถามง่ายๆ ว่า “ทำไมการล้างรถมันถึงเป็นเรื่องยุ่งยากเหลือเกิน? ได้รับบริการไม่ค่อยมีมาตรฐาน ล้างสะอาดบ้างไม่สะอาดบ้าง แล้วก็ต้องรอนาน สุดท้ายกลับให้ความรู้สึกไม่คุ้มเลย” เราได้เล็งเห็นถึงปัญหานี้และอยากมีส่วนร่วมแก้ไข เราจึงได้พัฒนา Quick Wash ร้านล้างรถอัตโนมัติขึ้นมาเพื่อคนไทย โดยทำให้ “การล้างรถต้องไม่ใช่เรื่องยากและคุ้มค่าคุ้มราคาที่สุด” เครื่องล้างรถอัตโนมัติของเราเป็นเครื่องล้างที่นำเข้ามาจากสเปน มีเทคโนโลยีรับรู้ลักษณะยานพาหนะและปรับระยะให้เข้ากับรถได้อย่างดีเยี่ยม โดยเราใช้น้ำยาล้างรถนำเข้าจากยุโรปมีจุดเด่นในเรื่องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของการประหยัดน้ำและพลังงาน ทำให้มั่นใจว่าได้ว่าจะได้รับบริการที่มีคุณภาพและมาตรฐาน นอกจากนี้ขนแปรงล้างรถผลิตจากวัสดุโฟม ฟูนุ่ม น้ำหนักเบา ไม่อมน้ำ เคลือบด้วยน้ำยาพิเศษ จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดร่องรอยต่างๆ หรือไม่เป็นอันตรายต่อสีรถแน่นอน Values “4ส. วัฒนธรรม สปีด สมาย สหาย สะอาด” Slogan “เร็วกว่าที่คิด เป็นมิตรกว่าที่เคย” QuickWash มีกี่สาขา ในปัจจุบันควิกวอชมีร้านล้างรถอัตโนมัติที่ให้บริการครอบคลุมกรุงเทพฯ ปริมณฑล ถึง 14 สาขา โดยในปี 2565 มีการขยายสาขาเพิ่มขึ้นถึง 5 สาขา และกำลังขยายสาขาเพิ่มมากขึ้นในอนาคต Quickwash ทั้ง 14 สาขาได้แก่ Quick Wash วิภาวดี 36 Quick Wash ESSO บางพูด Quick Wash ESSO หนองแขม Quick Wash PTT บางบอน Quick Wash ESSO กาญจนา Quick Wash ESSO ประชาอุทิศ Quick Wash ESSO อ่อนนุช Quick Wash ESSO ปิ่นเกล้า Quick Wash ESSO ราชพฤกษ์ Quick Wash Caltex กิ่งแก้ว Quick Wash Shell สายไหม Quick Wash Susco เอกชัย101 Quick Wash PTT คลอง7 ธัญบุรี Quick Wash PTT ถนนเศรษฐกิจ รูปแบบการลงทุน หุ้นส่วนรูปแบบเจ้าของที่ดิน (Partner Landlord) หุ้นส่วนรูปแบบเจ้าของปั๊มน้ำมัน (Gas Ststion) แฟรนไชส์ระบบขายขาด (Franchise System) คลิก ดูรายละเอียดเพิ่มเติม Quickwash ใช้พื้นที่เท่าใด รูปแบบ Drive Thru ขนาดติดตั้งเครื่องล้างรถขั้นต่ำ : 12x5x3.5 ม. พื้นที่ร้านรวม : 150 ตร.ม. รูปแบบ Non – Drive Thru (Bay) ขนาดติดตั้งเครื่องล้างรถขั้นต่ำ : 12x5x3.5 ม. พื้นที่ร้านรวม : 180 ตร.ม. ทำไมต้องเลือก Quickwash เราช่วยพัฒนาพื้นที่ เพิ่มระยะเวลาและจำนวนการเข้าใช้พื้นที่ Non oil ส่วนต่างๆ ของปั๊มมากขึ้น เราช่วยคุณดูแลลูกค้า ดูแลลูกค้าด้วยระบบ CRM ระบบที่ช่วยทำให้รู้จักลูกค้าและทำการตลาดได้อย่างตรงจุด เราช่วยคุณประหยัดทั้งเงินและเวลา เราบริการด้วยระบบอัตโนมัติควบคุมได้ทั้งเวลา และค่าใช้จ่ายในการล้างแต่ละครั้ง เราเติบโตไปพร้อมกัน ทำธุรกิจแบบแบ่งส่วนรายได้ มั่นใจได้เลยว่าพวกเราจะเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยื่น ใช้พนักงานน้อย ในแต่ละสาขาจะมีพนักงานประจำเพียง 3-4 คน เท่านั้น ทำให้ไม่ต้องปวดหัวเรื่องการจัดการคนจำนวนมาก ลงทุนคุ้มค่า เพราะก่อนการเปิดแต่ละสาขา เรามีการสำรวจวิเคราะห์ศักยภาพในทุกด้าน ทำให้เงินลงทุนที่ลงทุนไปนั้นจะได้รับความคุ้มค่าอย่างแน่นอน ระยะคืนทุนไว ระยะคืนทุนจะขึ้นอยู่กับรูปแบบการลงทุน โดยระยะเวลาไวที่สุดคือ ประมาณ 2 ปี ดูแลให้ในทุกขั้นตอน ดูแลช่วยเหลือในทุกขั้นตอนการดำเนินงาน หากติดปัญหาในด้านใด เราจะไม่ทิ้งท่านไว้คนเดียว ธุรกิจยุคใหม่ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ เป็นธุรกิจตอบโจทย์ในทุกรูปแบบการใช้ชีวิตเพราะทั้ง สะดวก รวดเร็ว ทันสมัย มีการฟังก์ชั่นรองรับทุกไลฟ์สไตล์ เป็นอย่างไรกันบ้างคะ บทความนี้ทำให้ทุกท่านเรียนรู้ได้รู้จักกับ “ควิกวอช” มากขึ้นบ้างไหมเอ่ย หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยให้กับผู้ที่กำลังตัดสินใจลงทุนอยู่นะคะ
หลายคนอาจจะรู้จักกับร้านล้างรถอัตโนมัติควิกวอชกันไปแล้ว แต่หลายคนก็อาจจะยังไม่รู้จักวันนี้เรามาทำความรู้จักไปพร้อมๆ กัน พร้อมกับบอกเหตุดีที่ทำไมต้องมาล้างรถที่ร้านนี้กันค่ะ Quickwash (ควิกวอช) คือ ร้านล้างรถอัตโนมัติล้างรถเร็วใน 7 นาที ราคาเริ่มต้น 99 บาท มีจุดเริ่มต้นในปี 2017 จากการที่เราเริ่มตั้งคำถามง่ายๆ ว่า “ทำไมการล้างรถมันถึงเป็นเรื่องยุ่งยากเหลือเกิน? ได้รับบริการไม่ค่อยมีมาตรฐาน ล้างสะอาดบ้างไม่สะอาดบ้าง แล้วก็ต้องรอนาน สุดท้ายกลับให้ความรู้สึกไม่คุ้มเลย” เราได้เล็งเห็นถึงปัญหานี้และอยากมีส่วนร่วมแก้ไข เราจึงได้พัฒนา Quick Wash ร้านล้างรถอัตโนมัติขึ้นมาเพื่อคนไทย โดยทำให้ “การล้างรถต้องไม่ใช่เรื่องยากและคุ้มค่าคุ้มราคาที่สุด” เครื่องล้างรถอัตโนมัติของเราเป็นเครื่องล้างที่นำเข้ามาจากสเปน มีเทคโนโลยีรับรู้ลักษณะยานพาหนะและปรับระยะให้เข้ากับรถได้อย่างดีเยี่ยม โดยเราใช้น้ำยาล้างรถนำเข้าจากยุโรปมีจุดเด่นในเรื่องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของการประหยัดน้ำและพลังงาน ทำให้มั่นใจว่าได้ว่าจะได้รับบริการที่มีคุณภาพและมาตรฐาน นอกจากนี้ขนแปรงล้างรถผลิตจากวัสดุโฟม ฟูนุ่ม น้ำหนักเบา ไม่อมน้ำ เคลือบด้วยน้ำยาพิเศษ จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดร่องรอยต่างๆ หรือไม่เป็นอันตรายต่อสีรถแน่นอน โดยในปัจจุบันควิกวอชของเรามีสาขาครอบคลุมทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล 15 สาขาดังนี้ สาขาที่ 1 วิภาวดี 36 สาขาที่ 2 บางจาก อ่อนนุช สาขาที่ 3 บางจาก บางพูด สาขาที่ 4 บางจาก ปิ่นเกล้า สาขาที่ 5 บางจาก หนองแขม สาขาที่ 6 ปตท.บางบอน สาขาที่ 7 บางจาก กาญจนา สาขาที่ 8 บางจาก ประชาอุทิศ สาขาที่ 9 บางจาก ราชพฤกษ์ สาขาที่ 10 Caltex กิ่งแก้ว สาขาที่ 11 Shell สายไหม สาขาที่ 12 Susco เอกชัย101 สาขาที่ 13 PTT. คลอง 7 ธัญบุรี สาขาที่ 14 บางจาก ไทรน้อย สาขาที่ 15 สุพรรณบุรี และสาขาแฟรนไชส์อีก 2 สาขา ได้แก่ สาขาที่ 1 PTT เศรษฐกิจ สาขาที่ 2 ตลาด Foody Farm ทำความรู้จักกับ Quickwash กันมากขึ้นแล้ว เราลองมาดูเหตุผลดีๆที่เราต้องมาล้างรถที่ควิกวอชกันดีกว่าค่ะว่าจะมีอะไรบ้าง 1.ล้างเร็ว เสร็จไว ภายใน 7 นาที เนื่องจาก Quickwash เป็นร้านล้างรถอัตโนมัติที่ใช้เครื่องในการล้างทำให้สะดวก รวดเร็ว ล้างรถแบบที่ลูกค้าไม่ต้องลงจากรถเลย เป็นการประหยัดเวลา ลูกค้าจะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่นได้อีกมากมาย 2.ราคาถูก เริ่มต้นที่ 99 บาท ร้านล้างรถของเรามีราคาที่เริ่มต้นเพียง 99 บาทเท่านั้น ทำให้ราคาสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่าย 3.ไม่ต้องกลัวของหาย เพราะเป็นแบบ Drive Thru อย่างที่กล่าวไปข้างต้นร้านล้างรถของเราเป็นบริการแบบ Drive Thru ทำให้ลูกค้าไม่ต้องลงจากรถ สามารถขับรถเข้าไปจอดในเครื่องเพื่อให้เครื่องล้างรถอัตโนมัติทำงาน และหากล้างเสร็จก็สามารถขับออกมาเพื่อเช็ดเก็บรายละเอียดเป็นขั้นตอนสุดท้าย 4.ขนแปรงนุ่ม สัมผัสนิ่ม ไม่เกิดรอย ขนแปรงของเราใช้ทำจากวัสดุโฟมหรือว่า Eva Form ทำให้ขนแปรงน้ำหนักเบา นุ่ม จึงทำให้ไม่ก่อให้เกิดรอย หรือเป็นอันตรายต่อตัวรถของลูกค้า 5.ใช้น้ำยาล้างรถอย่างดีมีคุณภาพ เราเลือกใช้น้ำยาแชมพูและโฟมสูตรพิเศษจากผู้ผลิตเครื่องล้างรถโดยตรง ที่ถูกวิจัยและพัฒนามาเพื่อเครื่องล้างโดยเฉพาะ ซึ่งการล้างรถของร้านเราก็มี 5 ขั้นตอนง่ายๆ ที่ดูแลใส่ใจรถของลูกค้าในทุกขั้นตอน 1.Prewash เรามีขั้นตอนการล้างขั้นต้นด้วยการฉีดน้ำแรงดันสูงฉีดในจุดที่เครื่องล้างเข้าไม่ถึงอย่างเช่น ซุ้มล้อเพื่อทำความสะอาดคราบที่ฝังแน่นออกก่อน 2.Chemical เราเลือกใช้น้ำยาแชมพูและโฟมล้างรถสูตรพิเศษจากผู้ผลิตเครื่องล้างรถโดยตรง ที่ถูกวิจัยและพัฒนามาเพื่อเครื่องล้างโดยเฉพาะ ทำให้มั่นใจได้ว่าแชมพูและโฟมที่เราเลือกใช้จะปลอดภัย และเป็นมิตรต่อผิวรถของคุณอย่างแน่นอน 3.Brushform เครื่องล้างของเรามีแปรงที่ทำจากวัสดุโฟมหรือเรียกว่า Eva form ซึ่งทำให้ตัวแปรงมีน้ำหนักเบา แปรงขนนุ่ม ทำให้ไม่เกิดรอยต่อตัวรถ 4.Drying wax ขั้นตอนนี้จะเป็นขั้นตอนก่อนออกจากเครื่องล้าง เป่าแห้งเครื่องจะฉีดน้ำยาเพื่อช่วยให้ตัวรถลื่นเพื่อในขั้นตอนการเป่าแห้ง จะรีดน้ำออกได้ดียิ่งขึ้น 5.Heart สุดท้ายเราใส่ใจทุกรายละเอียดเพื่อคุณภาพการล้างที่คุ้มค่าประหยัดทั้งเงินและเวลาเพื่อให้ลูกค้าที่เรารัก มีเวลาเหลืออีกมากมาย เป็นอย่างไรกันบ้างคะ รู้จักกับควิกวอชแล้วรู้สึกอยากมาล้างรถกับเราแล้วหรือยัง ถ้าหากอยากมาใช้บริการร้านล้างรถอัตโนมัติของเรา สามารถมาใช้บริการได้ทั้ง 12 ได้เลยค่ะ
รอยสีถลอกเล็กๆ น้อยๆ บริเวณผิวรถที่ไม่รู้ว่าได้มาตอนไหน หรืออาจเกิดจากอุบัติเหตุเล็กๆ ที่ไม่ทันระวัง อาจสร้างความหงุดหงิดใจให้คนรักรถไม่น้อย แต่จะขับไปเข้าอู่เพื่อแก้สีก็ใช้เวลาไม่น้อย ทั้งรอคิว ทั้งรอทำ บางร้านก็ใช้เวลาซ่อมสีเป็นสัปดาห์ บางร้านหนักกว่า กินเวลาร่วมเดือน มีเหตุสำคัญต้องใช้รถทีไรก็ต้องเปลี่ยนแผน หลายคนจึงตัดสินใจปล่อยเลยตามเลย รอให้รอยถลอกเล็กๆ กลายเป็นแผลใหญ่ก่อนค่อยไปซ่อมทีเดียว และสุดท้ายก็ต้องจ่ายแพงมากขึ้นอีก แถมยังใช้เวลานานขึ้นตามไปด้วย แต่หลังจากนี้ไป การซ่อมสีจะเป็นเรื่องง่าย และใช้เวลาไม่นาน เพราะ ซ่อมสีด่วน ทำวันเดียวจบจริงๆ แต่จะทำอย่างไร มาพิสูจน์ด้วยขั้นตอนในการซ่อมสีด่วนกัน ขั้นตอนการซ่อมสีด่วน ถ้าต้องการพิสูจน์ว่าซ่อมสีด่วนสามารถซ่อมให้จบได้ภายในวันเดียวจริงหรือไม่ การรู้ขั้นตอนการซ่อมสีด่วนอาจช่วยให้เรามั่นใจได้มากยิ่งขึ้น โดยสามารถแบ่งได้ 5 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 : เช็ครอยสีถลอก ขั้นตอนแรกในการเริ่มซ่อมสีด่วน ทางร้านจะต้องตรวจสอบร่องรอยสีถลอก ที่ต้องการจะซ่อมสีด่วนก่อน โดยปกติแล้วมักจะเป็นรอยเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก เพราะถ้ารอยเป็นจุดใหญ่เกินไปอาจไม่ตรงตามเงื่อนไขในการซ่อมสีด่วน ซึ่งการซ่อมสีด่วนจะคิดราคาตามขนาดของรอยสีถลอก ยิ่งจุดใหญ่ ราคาก็จะเพิ่มไปตามขนาด นอกจากนั้นสีดั้งเดิมของรถก็มีส่วนเช่นกัน รถยนต์ที่มีสีมุก หรือสีทูโทน อาจจะมีราคาซ่อมสีด่วนที่สูงกว่า ทั้งนี้อาจขึ้นอยู่มาตรฐาน และดีลโปรโมชั่นของแต่ละอู่ด้วยว่า ใช้หลักใดบ้างในการกำหนดราคาซ่อมสีด่วน ขั้นตอนที่ 2 : ทำความสะอาด และ ขัดผิวรถ หลังจากกำหนดจุดที่ต้องการซ่อมสีด่วนแล้ว ทางร้านก็จะเริ่มเตรียมผิวรถให้พร้อมในการทำสี เริ่มจากทำความสะอาดเบื้องต้น เพื่อล้างคราบสิ่งสกปรกที่เกาะติดอยู่บริเวณผิวรถออกให้หมด จากนั้นเช็ดให้แห้ง แล้วปล่อยทิ้งไว้สักพัก เมื่อผิวรถแห้งแล้วจึงเริ่มลงมือขัดผิวรถบริเวณที่เป็นรอยสีถลอก โดยใช้กระดาษทรายขัดบริเวณที่เป็นรอยสีถลอกให้เรียบเนียนก่อน ซึ่งแต่ละร้านนั้นจะใช้เบอร์กระดาษทรายที่แตกต่างกันไป โดยส่วนใหญ่จะเริ่มขัดด้วยเบอร์ 320 หรือ 600 ก่อน ตามด้วยด้วยกระดาษทรายเบอร์ 1000 เพื่อความเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น เมื่อขัดผิวรถจนเรียบเนียนระดับหนึ่งแล้วจึงทำความสะอาดผิวรถอีกรอบก่อนทำขั้นตอนถัดไป ขั้นตอนที่ 3 : โป๊สีกลบรอยลึก และติดกระดาษกาว การขัดด้วยกระดาษทรายอาจทำให้ผิวรถที่ถลอกเรียบเนียนได้ระดับหนึ่ง แต่ในบางรอยที่มีลักษณะค่อนข้างเป็นรอยลึก ทางร้านนิยมใช้การโป๊สีในการเตรียมผิวรถ เพื่อความเรียบเนียนและพร้อมสำหรับลงสีมากที่สุด ซึ่งสีโป๊ก็จะมีคุณภาพที่แตกต่างกันไป อยู่ที่ว่าร้านนั้นจะเลือกใช้สีโป๊แบรนด์ไหน โดยจะโป๊สีลงไปบริเวณที่เป็นรอย จากนั้นใช้กระดาษขัดอีกครั้งเพื่อให้ผิวรถเรียบเนียนเสมอกัน เมื่อผิวดูเรียบเนียนเหมาะสมแล้วจึงทำความสะอาดอีกรอบ และเป่าลมให้ผิวรถแห้ง เมื่อรถแห้งได้ที่ ทางร้านจะจำกัดบริเวณในการพ่นสีให้อยู่ในจุดที่ต้องการเท่านั้น โดยการนำกระดาษและกระดาษกาวมาติดบริเวณโดยรอบจุดที่ซ่อมเอาไว้ เพื่อป้องกันสีกระเด็น หรือสาดไปโดนขณะพ่นสี ปกติแล้วมักจะติดกระดาษหรือคลุมรอบคันรถ เว้นไว้เพียงบริเวณที่ต้องการซ่อมเท่านั้น เมื่อติดจนรอบแล้วจึงลงมือขั้นตอนต่อไปทันที ขั้นตอนที่ 4 : ผสมสี และ พ่นสี เมื่อเตรียมผิวรถจนครบทุกขั้นตอนแล้ว ต่อไปจะเป็นการเข้าสู่ขั้นตอนการพ่นสี การพ่นสีนั้นควรทำภายในห้องอบสี เพื่อควบคุมอุณหภูมิ และแรงลม รวมถึงปริมาณฝุ่นละอองจากภายนอก แนะนำให้คุณควรเลือกอู่ซ่อมสีด่วนที่ได้มาตรฐาน มีห้องอบสีและเครื่องอบสีพร้อมสำหรับซ่อมสีด่วน ขั้นตอนการพ่นสี เริ่มจากการเช็ดคราบมัน และรอยฝุ่นในบริเวณที่ต้องการพ่นอีกครั้ง จากนั้นเริ่มพ่นสีพื้นหรือสีรองพื้นของรถยนต์ โดยเฉพาะบริเวณรอยที่โป๊สีไว้ เพื่อกลบรอยโป๊สีให้เรียบเนียน จากนั้นทางร้านจะผสมสีให้ตรงตามสีรถของคุณ จากนั้นจึงพ่นลงไปบริเวณรอยที่ต้องการซ่อมด้วยเครื่องพ่น โดยงานสีจะเนี๊ยบหรือไม่ เบื้องต้นขึ้นอยู่กับสีและอุปกรณ์ที่ใช้พ่น ถ้าทางร้านที่คุณเลือก ใช้สีคุณภาพและเครื่องพ่นมาตรฐาน รับรองว่าคุณสามารถวางใจในความเนี๊ยบไปได้เปราะหนึ่งแล้ว โดยในขั้นตอนนี้จะใช้เวลานานไม่นาน ขึ้นอยู่กับความชำนาญของช่างที่พ่นสีเช่นกัน ขั้นตอนที่ 5 : ปัดเงา และ เก็บงาน เมื่อพ่นสีจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก และเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการซ่อมสีด่วน นั่นก็คือ การปัดเงา และ การเก็บงาน สีที่พ่นลงไปอาจจะสวยเงาระดับหนึ่ง แต่อาจทำยังไม่เนียนไปกับสีของรถในส่วนอื่น เพราะขาดความเงางาม ดังนั้นร้านที่ได้มาตรฐานและควรค่าการแก่นำรถไปซ่อมสีด่วน ควรที่จะมีขั้นตอนการปัดเงาด้วย การปัดเงานั้นจะใช้อุปกรณ์สำหรับปัดเงาโดยเฉพาะ เมื่อปัดเงาเรียบร้อยแล้วผิวรถจะเงางามเรียบเนียนไปทั้งตัวรถ เหมือนไม่เคยมีรอยมาก่อน สุดท้ายทางร้านก็จะตรวจเช็คเก็บงานในจุดที่ซ่อม ว่ายังมีร่องรอย หรือขาดตกจุดไหนหรือไม่ เพื่อปัดเงาและปัดฝุ่นให้งานเนี๊ยบที่สุด เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการซ่อมสีด่วน เมื่อพิจารณาจากขั้นตอนการซ่อมสีด่วนแล้ว อาจเป็นข้อยืนยันได้ว่า ซ่อมสีด่วนนั้น ซ่อมจบ ได้ในวันเดียวจริงๆ ทั้งนี้ระยะเวลาที่บานปลายในแต่ละกรณี อาจขึ้นอยู่กับความชำนาญการของทีมช่างซ่อมสีด่วน ถ้าช่างมีประสบการณ์ บวกกับสีและเครื่องมือซ่อมสีระดับพรีเมี่ยม เวลาในการซ่อมสีด่วนนั้นไม่มีทางเกินหนึ่งวันอย่างแน่นอน อีกทั้งยังได้คุณภาพงานเหมาะสมกับราคาอีกด้วย อย่าลืมเช็คร่องรอยของรถยนต์เป็นประจำ และถ้าหากคุณกำลังมองหาอู่ซ่อมสีด่วนที่ทั้งคุ้มค่า และประหยัดเวลา เราขอแนะนำให้ SCG Carbody เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการดูแลสีรถ และซ่อมแซมแผลสีถลอกให้กับคุณ เพราะอู่ของเรารับบริการซ่อมสี และตัวถัง อย่างเร่งด่วน โดยช่างมากประสบการณ์ บวกกับเครื่องมือ และเทคโนโลยีพิเศษรวดเร็วมาตรฐานญี่ปุ่น มั่นใจได้เลยว่าทุกงานซ่อมสีด่วนต้องเนี๊ยบ เก็บเรียบในทุกรอยแผล ที่สำคัญอู่ของเรา ซ่อมสีด่วนทันใจ ทันใช้ภายในหนึ่งวัน ส่งตอนเช้ารับตอนเย็นได้เลย ลองหาโอกาสแวะมาซ่อมสีด่วนที่เราได้นะครับ Quickwash x SCG Carbody
แม้ยุคนี้จะเป็นยุคที่รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไร้คนขับกำลังมีบทบาทและได้รับความสนใจจากคนทั่วโลก แต่รถยนต์คลาสสิกก็ยังเป็นความเก๋าที่ไม่เคยเก่าอยู่ ผู้คนในวงการยานยนต์ยังคงสนใจและสะสมรถยนต์คลาสสิกกันเป็นจำนวนมาก รถยนต์คลาสสิกเก่าๆ กลายเป็น Rare Item ที่นักสะสมยอมจ่ายเพื่อเก็บไว้เป็นหนึ่งในคอลเล็กชัน อะไรที่ทำให้รถคลาสสิกยังคงความคลาสสิกไม่เปลี่ยนแปลง มาดูกัน นิยามของ รถยนต์คลาสสิก คือ? หากพูดถึงนิยามของ รถคลาสสิก (Classic Car) คนส่วนใหญ่อาจกล่าวรวมๆ ว่าหมายถึงรถยนต์เก่า หรือรถยนต์ที่ได้รับความนิยมในอดีต ผู้ที่หลงใหลในรถยนต์บางกลุ่ม อย่าง Classic Car Club of America ได้นิยามว่ารถยนต์คลาสสิก คือ รถยนต์ในช่วงก่อนปี ค.ศ. 1948 เท่านั้น แต่ก็มีอีกกลุ่มที่ให้นิยามตามรสนิยมว่ารถยนต์คลาสสิกคือ รถยนต์ที่มีรูปลักษณ์และลักษณะที่ดูคลาสสิก แม้ว่ารถคันนั้นจะผลิตหลังปี ค.ศ. 1948 ก็ตาม เช่น ฟอร์ด มัสแตง โฉมแรก อีกทั้งยังมีอีกกลุ่มจากฟากฝั่งยุโรปอย่างประเทศอังกฤษ ที่สรุปนิยามของรถยนต์คลาสสิกไว้อย่างเข้าใจง่ายว่า ถ้าหากพิจารณาเฉพาะช่วงเวลาที่ผลิต รถยนต์คลาสสิก (Classic Car) หมายถึง รถยนต์ที่ผลิตขึ้นตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ปี ค.ศ. 1945) จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1977 (ตามกฎหมายการยกเว้นภาษี Road Tax ของอังกฤษประจำปี 2018 ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปตามระยะเวลาในอนาคต) แต่ทั้งนี้ การจะพิจารณาว่ารถยนต์ยี่ห้อไหน หรือรุ่นใด เข้าข่ายการเป็นรถยนต์คลาสสิกนั้น มีการตีความที่ซับซ้อนมากกว่าการพิจารณาจากปีที่ผลิต เนื่องจากในแต่ละปีมีการผลิตรถยนต์ขึ้นจำนวนมหาศาล การจัดกลุ่มว่ารถรุ่นใดเข้าข่ายเป็นรถคลาสสิก จึงอาจต้องพิจารณาในด้านคุณค่า คุณภาพ ความพิเศษ การออกแบบ ความนิยม และอื่นๆ ประกอบไปด้วย จึงจะถือได้ว่ารถรุ่นดังกล่าวนั้นเป็นรถคลาสสิกอย่างแท้จริง โดยวิธีที่จะใช้ในการพิจารณาเรื่องคุณค่าหรือความพิเศษต่างๆ นั้น สามารถพิจารณาโดยรวมได้จากดัชนีชี้วัดในด้าน “ราคาตลาด” ซึ่งในที่นี้หมายถึงราคาตลาดที่เป็นสากล ซึ่งรถยนต์คลาสสิกนั้นจะเป็นรถที่มีแนวโน้มของราคาตลาดอยู่ในลักษณะ “ไม่เสื่อมราคาลง” (Stop Depreciate) แต่กลับจะ “มีมูลค่าเพิ่มขึ้น” สรุปง่ายๆ คือ “รถยนต์คลาสสิก หมายถึง รถยนต์ที่ผลิตขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1945 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1977 และมีคุณค่าเพิ่มขึ้นผ่านกาลเวลา” โดยรถยนต์ที่มีมูลค่าในตลาดเพิ่มขึ้นพิจารณาได้จากหลายปัจจัย อาทิเช่น รถยนต์รุ่นที่ราคาโดยทั่วไปในปัจจุบันสูงกว่าราคาผลิตในช่วงปีที่เปิดตัวหรือออกขายใหม่ๆ หรือรถยนต์ที่มีเจ้าของมาก่อน (pre-owned) เป็นรุ่นที่ราคาในปัจจุบันสูงกว่าราคาเมื่อหลายปีก่อนหน้า ทั้งที่มีสภาพเหมือนๆ กัน โดยจะต้องดูราคาเฉลี่ยทั่วๆ ไปในตลาด ไม่ใช่ราคาเฉพาะเพียงคันสองคันเท่านั้น โดยสามารถแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ดังนี้ รถยนต์ โมเดิร์น คลาสสิก (Modern Classic) : หมายถึง รถยนต์ที่มีแนวโน้มที่จะมีมูลค่าสูงขึ้น แต่ไม่ได้ผลิตก่อน 1 มกราคม 1978 เช่น Ferrari 328, McLaren F1, Lamborghini Diablo, Lotus Esprit S4, Mercedes Benz C126, Aston Martin DB7 รถยนต์ ฟิวเจอร์ คลาสสิก (Future Classic Car) : หมายถึง รถยนต์ที่มีคุณภาพสูง มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ แม้ในปัจจุบันมูลค่าอาจจะยังไม่ได้ขยับตัวสูงขึ้น แต่ก็เป็นที่เชื่อมั่นจากนักสะสม และเหล่าผู้ที่หลงใหลในรถยนต์จำนวนมากว่า อาจะเป็นรถยนต์ที่มีแนวโน้มว่าจะมีมูลค่าราคาสูงขึ้น ไม่ว่าจะผลิตก่อน 1 มกราคม 1978 หรือไม่ก็ตาม เช่น Porsche Boxster 986, BMW Z3, Mercedes Benz SLK R170, Mazda MX-5, Lotus Elise, Aston Martin (all models) ส่วนรถยนต์ที่ยังคงมูลค่าทรงตัว และมีแนวโน้มราคาต่ำลง แม้ว่าจะผลิตก่อน 1 มกราคม 1978 ก็ตาม ถ้าหากว่ารถยนต์กลุ่มนั้นไม่ได้รับความนิยม และไม่มีความเชื่อมั่นจากวงการรถยานยนต์ว่าจะมีมูลค่าสูงขึ้นในอนาคตอันใกล้ ก็ยังคงต้องถือว่าเป็น “รถเก่า” ทั่วๆ ไปนั่นเอง ตัวอย่าง รถยนต์คลาสสิก ยอดนิยม จากที่เราพยายามหาคำนิยามมากมายมาจำกัดความให้กับรถยนต์คลาสสิก ตอนนี้ถึงเวลาพาทุกคนมารู้จักสุดยอดรถยนต์คลาสสิกที่ทั้งเก๋า และไม่เคยเก่า แถมยังเป็นรถยนต์คลาสสิกรุ่นโปรดในดวงใจของหลายๆ คนอีกด้วย จะมีรุ่นอะไรบ้าง มาดูกัน Volkswagen Beetle ความเก๋าของรถเต่าในตำนาน หรือ Volkswagen Beetle ครองใจผู้หลงใหลรถยนต์คลาสสิกแนวน่ารักๆ มานานกว่า 80 ปี เป็นรถยนต์รุ่นแรกของค่ายรถยนต์ Volkswagen โดยเป็นรุ่นที่ออกแบบเพียงครั้งเดียว แต่สามารถทำยอดขายได้สูงสุด และผลิตเป็นระยะเวลานานที่สุดในประวัติศาสตร์ยานยนต์ Mercedes-Benz 300SL รถยนต์คูเป้เปิดประทุนสุดหรูหราที่ประสบความสำเร็จเรื่องครองการแข่งรถสปอร์ตในช่วงต้นยุค 50 ทั้งสวยและดูดียกระดับให้ผู้ใช้ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แม้จะเป็นรถเก่า แต่ยังคงสวยในสายตาสาวกแบรนด์ Mercedes-Benz เสมอ Porsche 911 Porsche 911 คันแรกนั้นถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1963 โดยถูกผลิตขึ้นมาแทนที่ Porsche 356 และได้กลายมาเป็นขวัญใจกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบรถสปอร์ตอย่างกว้างขวางในขณะนั้น ปัจจุบันรถคลาสสิกรุ่นนี้ได้กลายเป็นรุ่นที่เก่าที่สุดของค่าย Porsche ที่ยังดำเนินสายการผลิตอยู่ และเป็นหนึ่งในชื่อรุ่นประเภทคูเป้ที่เก่าที่สุดในโลกอีกด้วย BMW 3.0 CSL สุดยอดรถสปอร์ตคูเป้ในปี ค.ศ. 1971 แม้กาลเวลาจะเดินทางผ่านไปถึง 40 กว่าปีแล้ว ความงดงามคลาสสิกของตัวรถรุ่นนี้กลับยิ่งเพิ่มสูงขึ้น ทั้งสเปคเเละสมรรถนะของรถ ทำให้รถรุ่นนี้เป็นที่หมายปองของนักเล่นรถทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบัน Jaguar E type รถยนต์รุ่นนี้ได้รับการขนานนามมาอย่างยาวนานว่าเป็นรถสปอร์ตที่สวยตลอดกาล โดยผลิตออกสู่ตลาดตั้งแต่ปี 1961 ซึ่งมีการพัฒนาเครื่องยนต์อย่างต่อเนื่องจนเป็นขวัญใจนักซิ่งหลายๆ คน Ford Mustang 1965 Ford Mustang รถยนต์สายพันธุ์อเมริกันเปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 1964 มีดีไซน์แนวสปอร์ตแข็งแรง จนถูกนำไปใช้ในภาพยนตร์เรื่อง The Fast and the furious จนทำให้มีกระแสความนิยมมากกว่าแต่ก่อนขึ้นไปอีก Nissan Skyline รถยนต์รุ่นนี้เป็นที่รู้จักในฐานะของรถครอบครัวตระกูลชั้นสูง มีคลาสระดับหรูหรา ถูกผลิตในปี ค.ศ. 1968 – ปี ค.ศ. 1972 และยังได้รับความนิยมมาถึงทุกวันนี้ Honda NSX Type R Honda NSX มีการใช้อากาศพลศาสตร์และการออกแบบที่ล้ำสมัย ก้าวข้าม หรือเทียบเท่าความสามารถเครื่องยนต์ V8 ของ Ferrari ในยุคนั้น โดยเป็นรถสปอร์ตสมรรถณะสูงจากดินแดนปลาดิบอย่างญี่ปุ่น ที่ทุกวันนี้ยังมีความต้องการของตลาดสูงอยู่ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงรถยนต์คลาสสิกยอดนิยมบางส่วนเท่านั้น ยังมีรุ่น Volvo P1800, AC COBRA, Chevrolet chevelle ss, Aston Martin, Toyota Supra, Mitsubishi Evo, Subaru Impreza, และอีกมากมายที่เราไม่ได้กล่าวถึง แต่ได้รับความนิยมสูงมากในตลาดและวงการรถยนต์คลาสสิก ครั้งหน้าเราจะเอาสาระที่น่าสนใจเกี่ยวกับวงการรถยนต์คลาสสิกเรื่องไหน หรือรุ่นใดมากฝากอีก กดติดตาม (Subscribe) ไว้ก่อนได้เลย เพื่อไม่ให้พลาดบทความดีๆ จากพวกเรา
รถสั่นเป็นเจ้าเข้า ปัญหาที่ทำให้คนรักรถอย่างเราต้องเกาหัว สตาร์ทรถทีไรเครื่องยนต์ก็เกิดอาการสั่นสะเทือนเหมือนแผ่นดินไหว สวิงขึ้นๆ ลงๆ หนักเข้าท่อไอเสียก็มีควันดำออกมา โดยปัญหาน่าปวดใจเหล่านี้อาจมาจาก “รอบเดินเบาไม่นิ่ง” แต่จะแก้ยังไงไม่ให้เกิดขึ้นอีก เราจะพามาขุดหาต้นตอของปัญหานี้ เพื่อแก้ไขให้มันจบได้ตรงจุดจริงๆ แต่ก่อนจะแก้ไขเราต้องเข้าใจซะก่อน รอบเดินเบาคืออะไร? รอบเดินเบา คือ รอบเครื่องยนต์ขณะที่รถยนต์ไม่เคลื่อนที่แต่มีการสตาร์ทเครื่องยนต์ไว้โดยปกติ ซึ่งรอบเดินเบาปกติแล้ว เข็มจะเคลื่อนขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ถึงเลข 1 โดยรอบเครื่องจะอยู่ที่ช่วง 700 - 800 รอบ/นาที หากรอบเครื่องยนต์นั้นมีความผิดแปลกไปจากนี้ คุณอาจต้องเฝ้าระวังหรือรีบตรวจเช็คทันที เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่ารอบเดินเบาของคุณกำลังมีปัญหาอยู่ วิธีสังเกตง่ายๆ ที่มองเห็นได้ชัดที่สุดคือ เมื่อจอดรถให้หยุดนิ่ง เครื่องยนต์จะสั่นจนหวิดดับเหมือนกำลังจะขาดใจ สลับกับรอบเครื่องที่สวิงขึ้นลงช่วง 500 – 1,200 รอบ/นาที ซึ่งการเติมคันเร่งอาจช่วยไม่ให้เครื่องดับได้ แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ให้จบได้จริงๆ ปัญหานี้ก็ยังคงวนกลับมากวนใจอยู่เรื่อยไป หากไม่รีบแก้ อาจทำให้ไม่สามารถคุมรอบเครื่องยนต์ได้ จนนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุ รอบเดินเบาไม่นิ่งมักจะพบในรถเก่าอายุการใช้งานหลายปี แต่ไม่ว่าจะรถเก่าปีเยอะหรือรถใหม่ปีน้อยก็ควรระวัง เพราะตัวการสำคัญของเรื่องนี้คือความสกปรก และความเสื่อมสภาพของอะไหล่เครื่องยนต์ ส่งผลให้การทำงานของเครื่องยนต์นั้นผิดปกติไป แต่จะเกิดจากชิ้นส่วนไหนบ้าง เราจะมาสาเหตุที่แท้จริง และแก้ปัญหานี้ให้จบได้จริงๆ กัน รอบเดินเบาไม่นิ่ง อาจเกิดปัญหาจาก… มอเตอร์รอบเดินเบาสกปรก สาเหตุอันดับต้นๆ ที่ทำให้รอบเดินเบาไม่นิ่งก็คือ มอเตอร์รอบเดินเบา (Idle Speed Control) โดยมอเตอร์รอบเดินเบา ทำหน้าที่ควบคุมรอบเครื่องยนต์ให้คงที่ หากลองสังเกตแล้วพบว่าเครื่องยนต์มีอาการสั่น เราแนะนำให้เริ่มเช็คที่จุดนี้เป็นอันดับแรกก่อนเลย โดยอาการที่เกิดจากมอเตอร์รอบเดินเบาสกปรก คือ รถจะมีอาการเครื่องยนต์สั่น เมื่อจอดรถนิ่งอยู่กับที่ รอบเครื่องยนต์จะค่อยๆ ตกลง จนมีอาการสั่นสะเทือนและหวิดดับ มักเกิดขึ้นกับรถที่มีอายุการใช้งาน 5 ปีขึ้นไป แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน หากใช้งานอย่างหนัก สมบุกสมบัน รถใหม่ก็อาจเกิดอาการนี้ขึ้นได้เช่นกัน วิธีแก้ไขเบื้องต้น หากคุณพอมีความรู้พื้นฐานด้านเครื่องยนต์อยู่บ้าง เราสามารถแก้ไขมอเตอร์รอบเดินเบาสกปรกได้เอง โดยการถอดมอเตอร์รอบเดินเบาออกมาแล้วใช้แปรงสีฟันขัดด้วยน้ำมันเบนซินให้สะอาด คราบสกปรกจะติดอยู่โดยรอบตัวมอเตอร์ จากนั้นให้นำไปผึ่งลมให้แห้ง แต่ถ้าหากคุณไม่ค่อยมีความรู้พื้นฐานด้านเครื่องยนต์หรืออาจไม่มั่นใจ แนะนำว่าควรส่งไม้ต่อให้ช่างผู้เชี่ยวชาญจัดการให้ดีกว่า Tips : ขณะถอดมอเตอร์ออกมา ระวังอย่าให้แหวนโอริงหายโดยเด็ดขาด ลิ้นปีกผีเสื้อสกปรก ลิ้นปีกผีเสือ (Air Throttle) มีรูปลักษณ์เหมือนปีกผีเสื้อ ทำหน้าที่ควบคุมการไหลของอากาศภายนอกเข้าห้องเครื่องยนต์ เมื่อต้องทำงานคบคู่กับเครื่องยนต์ การที่ลิ้นปีกผีเสื้อสกปรกจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก อาจเกิดเขม่าดำ คราบเหนียว ไอน้ำมันเกาะที่ลิ้นปีกผีเสื้อตลอด และเกิดเป็นคราบสกปรกสะสม เกาะติดแน่น จนเป็นสาเหตุให้อากาศไม่สามารถเข้าไปช่วยในเรื่องของการเผาไหม้ได้ ทำให้รถรอบเดินเบาไม่นิ่ง สวิงขึ้นลง รอบเครื่องต่ำจึงทำให้เครื่องดับ เกิดอาการสั่นขณะเร่ง และอาจทำให้รถมีอาการกินน้ำมันมากยิ่งขึ้น วิธีแก้ไขเบื้องต้น เราควรตรวจเช็คและทำความสะอาดลิ้นปีกผีเสื้อเป็นประจำ ในทุกระยะการใช้งาน 20,000 – 30,000 กิโลเมตร หากคุณมีความรู้พื้นฐานเรื่องเครื่องยนต์ ลิ้นปีกผีเสื้อสามารถถอดมาทำความสะอาดได้เช่นกัน ซึ่งมีวิธีการคล้ายกับมอเตอร์รอบเดินเบา เพียงใช้สเปรย์ฉีดทำความสะอาดไปที่คราบน้ำมันและสิ่งสกปรกที่เกาะแน่นที่ลิ้นปีกผีเสื้อที่ถอดออกมา แล้วใช้แปรงขัดให้สะอาดหมดจดไปเลย เซนเซอร์ลิ้นปีกผีเสื้อ ระบบเซนเซอร์ลิ้นปีกผีเสื้อ ทำหน้าที่วัดปริมาณของอากาศที่ผ่านเข้าไปในท่อ เมื่อไม่ค่อยได้ดูแล เซนเซอร์ก็จะสกปรกและเกิดคราบฝังแน่น ส่งผลให้เครื่องยนต์เบาดับได้ วิธีแก้ไขเบื้องต้น หากมีความรู้พื้นฐาน คุณสามารถใช้สเปรย์ทำความสะอาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปในการทำความสะอาด จากนั้นเช็ดให้แห้ง เครื่องยนต์จะกลับมาใช้งานได้ปกติอีกครั้ง ในบางกรณีที่ลองทำแล้วอาการเหล่านี้ไม่หายไป ยังคงสั่นอยู่ แนะนำให้ขับรถคู่ใจไปเปลี่ยนเซนเซอร์ใหม่ได้เลย ท่อแวคคั่มรั่ว สายท่อแวคคั่ม (Vacuum) ทำหน้าที่ช่วยเร่งไฟจุดระเบิดในรอบเดินเบา ผู้ใช้รถรุ่นที่ผลิตก่อนปี 2000 อาจเจอกับปัญหานี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะรถทั้งแบบจ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด หรือคาบูเรเตอร์ ล้วนมีสายท่อแวคคั่มควบคุมการทำงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งท่อแวคคั่มนั้นทำจากสายยาง หรือซิลิโคน จึงเสื่อมสภาพตามอายุใช้งานเป็นเรื่องปกติ ควรตรวจเช็คและเปลี่ยนใหม่เรื่อยๆ เพื่อป้องกันการรั่วหรือแตก และส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานแบบไม่มีประสิทธิภาพ รอบเดินเบาไม่นิ่ง เครื่องยนต์สั่น ยิ่งถ้าจอดนิ่งติดไฟแดงก็มีโอกาสเครื่องดับสูงมากขึ้น วิธีแก้ไขเบื้องต้น หากมีความรู้พื้นฐาน ให้ลองตรวจสอบสายแวคคั่มทุกสาย ไล่ตรวจเช็คไปทีละเส้น หากพบรอยรั่วตรงจุดไหนให้ตัดออก แล้วสวมส่วนที่เหลือใส่กลับเข้าไป แนะนำว่าหากพบว่ามีสายแวคคั่มเส้นหนึ่งผิดปกติหรือเปื่อยทะลุ ให้เปลี่ยนยกเซ็ต เพราะสายอื่นย่อมมีสภาพที่ใกล้เคียงกัน หัวเทียนบอด หัวเทียนเป็นส่วนสุดท้ายที่เราอยากให้คุณไล่ตรวจสอบ เพราะมีความสำคัญต่อการสตาร์ทรถมาก ทำหน้าที่จุดระเบิดของเครื่องยนต์ โดยปล่อยกระแสไฟแรงดันสูง ไม่ต่ำกว่า 10,000 โวลต์ ทนความร้อนไม่ต่ำกว่า 2,000 องศาเซลเซียส เพื่อติดเครื่องรถยนต์ หากหัวเทียนบอด รถจะเกิดอาการสตาร์ทติดยาก เมื่อเครื่องยนต์ติดและจอดอยู่กับที่ รอบจะสวิงลงต่ำจนเกือบดับ หากเป็นขณะรถวิ่งก็จะมีอาการกระตุก สำลักความเร็ว และกินน้ำมันเชื้อเพลิงมากยิ่งขึ้น วิธีแก้ไขเบื้องต้น หัวเทียนบอดเป็นอาการที่ไม่สามารถซ่อมได้ มีเพียงวิธีการเปลี่ยนเท่านั้นที่ช่วยได้ แต่ราคาการเปลี่ยนหัวเทียนนั้นไม่สูงอย่างที่คิด สามารถซื้อหัวเทียนมือหนึ่งมาเปลี่ยนเองได้เลยหากมีความรู้พื้นฐานมากพอ เริ่มจากเปิดฝากระโปรงเครื่องยนต์ แล้วหาจุดที่ติดตั้งหัวเทียน เพื่อเปลี่ยนหัวเทียนใหม่ลงไปแทน จากนั้นลองสตาร์ทรถดูอีกครั้ง หากติดง่ายขึ้น และรอบเดินเบาไม่สะดุดก็แสดงว่าเราแก้ปัญหานี้ได้ตรงจุดแล้วจริงๆ เมื่อรู้ปัญหาที่แท้จริงแล้วว่าเกิดควรที่ส่วนไหน ควรรีบดำเนินการตรวจเช็คและแก้ปัญหาให้ถูกจุดทันที แม้รอบเดินเบาไม่นิ่งอาจเป็นเพียงปัญหากวนใจในตอนนี้ แต่มั่นใจได้เลยว่าหากละเลยจุดนี้ต่อไป อาจจะเพิ่มค่าใช้จ่ายจนกระเป๋าสตางค์รับไม่ไหวก็เป็นได้ และที่แย่ไปกว่านั้น คืออาจจะทำให้คุณและเพื่อนร่วมทางเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ รีบแก้ไขไว้ปลอดภัยกว่า แต่สำหรับมือใหม่ รวมถึงผู้ใช้รถที่ไม่มั่นใจ และไม่มีความรู้พื้นฐานด้านเครื่องยนต์มาก่อน ปัญหาในแต่ละส่วนที่บอกไปอาจยากที่จะตรวจเช็คและแก้ไขได้ด้วยตัวเอง เราแนะนำให้คุณหาศูนย์บริการที่เชื่อถือได้มาช่วยแก้ไขปัญหารอบเดินเบาไม่นิ่งให้กับคุณ หรือลองเปิดใจเข้ามาตรวจเช็คที่อู่ของเรา SCG Performance พร้อมตรวจเช็คเครื่องยนต์ และแก้ไขปัญหารอบเดินเบาได้อย่างตรงจุด โดยช่างมากประสบการณ์ มั่นใจได้ว่าเช็คครบ ซ่อมจบในที่เดียวครับ Quickwash x SCG Performance
ระบบช่วงล่าง เป็นอีกส่วนสำคัญที่ส่งผลต่อการขับเคลื่อนรถยนต์ โดยเฉพาะระบบเบรคและยางที่ทำหน้าที่ในการควบคุมรถ ความปลอดภัยของผู้ใช้ขึ้นอยู่กับการดูแลในส่วนนี้ แต่จะมีวิธีดูแลอย่างไรบ้าง เราจะมาแชร์ให้ได้ทุกคนรู้กัน แม้ระบบช่วงล่างจะประกอบด้วยส่วนสำคัญอีกหลายส่วน อาทิเช่น.. ลูกหมาก โช๊คอัพ และชุดคันส่ง แต่บทความนี้เราจะมาเจาะลึกวิธีดูแลระบบเบรกและยางที่ไม่ควรละเลยเป็นอันขาด เพื่อลดโอกาสเสี่ยงไม่ให้เกิด อุบัติเหตุ หรือปัญหาบานปลายที่เพิ่มค่าใช้จ่ายให้กับคุณ เราจึงควรดูแลให้ถูกหลัก เพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยในการขับขี่รถยนต์ แต่เบรกและยางจะมีวิธีแตกต่างกันอย่างไรบ้าง สัญญาณเตือน ถ้าละเลยระบบเบรก.. เหยียบเบรกไม่สุด : กำลังมีปัญหาเกี่ยวกับระบบเบรก อาจเป็นเพราะน้ำมันเบรคต่ำ หรือผ้าเบรกสึกแล้ว มีเสียงดังเวลาเหยียบเบรค : ตัวเหล็กที่ยึดติดกับแผ่นดิสค์เบรก ไปขูดกับขอบบนของจานเบรค ไฟหน้าปัดมีสัญญาณเบรกเตือน : เวลาเหยียบเบรกแล้วรู้สึกว่า ต้องออกแรงเหยียบมากขึ้น หากรถยนต์ของคุณกำลังเกิดอาการดังกล่าว แสดงว่าคุณกำลังละเลยระบบเบรก และถึงเวลาที่ต้องตรวจเช็คและดูแลอย่างละเอียด เพื่อรีบแก้ปัญหาเล็กๆ ก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ และทำให้คุณต้องเสียค่าซ่อมจนกระเป๋าฉีก หรืออาจจะนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุหรือความอันตรายต่อชีวิตได้ แต่จะมีวิธีดูแลอย่างไรบ้าง มาดูกัน วิธีดูแลระบบเบรก ระบบเบรก (Brake) หนึ่งในระบบช่วงล่างที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการชะลอความเร็วของรถ และหยุดรถ แต่หลายคนก็อาจละเลยและไม่ได้ตรวจเช็ค เพราะคิดว่ายังไม่มีปัญหา ยังเบรกอยู่ และบางคนก็คิดว่าเบรกอยู่ในจุดที่มองเห็นได้ยาก ไม่สามารถเช็คได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งยังมีอุปกรณ์มากมายหลายส่วนที่เกี่ยวข้องอีก ไม่ว่าจะเป็น จานเบรก ผ้าเบรก น้ำมันเบรก และสายต่างๆ แต่ความจริงแล้วเราสามารถตรวจเช็คและดูแลในขั้นเบื้องต้นได้ ดังนี้ 1. ตรวจเช็คผ้าเบรก ผ้าเบรก ถือว่าเป็นส่วนที่สึกหรอไวที่สุดในระบบเบรก เนื่องจากผ้าเบรกอาจมีเหล็กหรือเศษหินมาติดอยู่ หรืออาจเสียดสีกับจานเบรก ซึ่งอาจทำให้จานเบรกเป็นรอยได้ เราควรตรวจเช็คผ้าเบรกเสมอว่าเนื้อผ้าเบรกเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าความหนาลดลงเรื่อยๆ จนต่ำกว่า 3 มิลลิเมตร นั้นแสดงว่าเริ่มไม่ปลอดภัยแล้ว เพราะผ้าเบรกที่บางมากจะเกิดการสึกหรอได้รวดเร็วกว่าปกติหลายเท่า เนื้อผ้าเบรกอาจหลุดร่อนกะทันหัน ส่งผลให้แผ่นเหล็กเสียดสีกับจานเบรกจนเสียหาย หรือนำไปสู่เหตุการณ์อันตรายอย่าง เบรกแตก ได้ 2. ตรวจเช็คจานเบรก จานเบรกเป็นส่วนที่คดงอได้ง่าย ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นกับรถที่ใช้งานหนักแล้วเกิดความร้อนสะสมจะจานเบรกมีอุณหภูมิสูงจัด เมื่อขับรถผ่านจุดที่มีน้ำขัง หรือนำรถไปฉีดล้างทันทีก็อาจทำให้จานเบรกที่ทำจากโลหะเกิดอาการคดเบี้ยวอย่างเฉียบพลันได้ เราจึงควรเช็คจานเบรกอยู่เสมอ หากจานเบรกเบี้ยว คดงอ หรือมีร่องลึกเป็นเส้นยาวที่เกิดจากเศษหินเศษเหล็กมาติด ให้นำจานเบรกไปเจียหรือเปลี่ยนทันทีเลย ซึ่งควรได้รับการดูแลจากช่างที่มากประสบการณ์ เพราะหากเจียจานเบรกจนบางเกินไป อาจเกิดการแตกร้าวได้ 3.เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรก น้ำมันเบรกอาจจะมีอายุที่นานกว่าน้ำมันเครื่องจนละเลยไป แต่ความจริงแล้วเราควรเปลี่ยนน้ำมันเบรกอย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี หรือเปลี่ยนทุก 25,000 กิโลเมตร เพราะน้ำมันเบรกก็มีโอกาสเสื่อมสภาพเหมือนกับของเหลวเติมเครื่องยนต์ชนิดอื่นๆ เช่นกัน น้ำมันเบรกที่เปลี่ยนควรจะใช้ค่ามาตราเดิมตามคู่มือหรือตามที่ระบบเบรคนั้นๆ บอกไว้ เช่น DOT 4 ควรใช้ DOT 4 เท่านั้น ไม่ควรนำน้ำมันเบรกค่าอื่นๆ มาผสมลงไป เพราะอาจทำให้ลูกยางหรือท่อสายต่างๆ บวมได้ เป็นอีกจุดที่สำคัญมากและไม่ควรละเลย 4. ตรวจเช็คท่อและสายต่างๆ เราอาจจะไม่สามารถตรวจเช็คท่อและสายต่างๆ ได้ทั้งหมด เนื่องจากอาจมีส่วนที่ลึกลงไปใต้ท้องรถ แต่เราควรตรวจเช็คท่อและสายต่างๆ ที่สามารถมองเห็นจากด้านบนหรือห้องเครื่อง ว่าสายยังนิ่มอยู่ไม่เสียรูป หรือแตกร้าว หากเกิดอาการแข็งกระด้างมาก อาจทำให้น้ำมันเบรกอาจจะซึมออกขณะใช้งาน จนทำให้รถเบรกแตกได้ สัญญาณเตือน ถ้าละเลยเรื่องยางรถยนต์.. แก้มยางแตกและมีรอยร้าว : จอดรถกลางแดดเป็นเวลานาน จนยางเสื่อมสภาพ และเกิดรอยแตกที่เนื้อยาง ดอกยางสึก : หน้ายางสัมผัสพื้นถนนมากเกินไปจนสึกหรอ รู้สึกล้อสั่นสะเทือนผิดปกติ : เกิดช่องว่างระหว่างดุมล้อ และล้อแม็ก ลมยางอ่อนลงเร็วกว่าปกติ : อาจมีบางอย่างกำลังทิ่มหรือตำยางอยู่ ยางมีเสียงดังแปลกๆ : เกิดช่องว่างระหว่างดุมล้อ และล้อแม็ก หากยางรถยนต์ของคุณกำลังเกิดอาการดังกล่าว แสดงว่าคุณกำลังละเลยยางรถจนมันเกิดปัญหาเสียแล้ว ถึงเวลาที่ต้องตรวจเช็คและดูแลอย่างละเอียด เพื่อยับยั้งปัญหาที่จะบานปลาย ที่อาจจะนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุหรือความอันตรายต่อชีวิตได้ วิธีดูแลยางรถยนต์ ยางรถยนต์ เป็นส่วนที่เห็นได้ชัดและสังเกตได้ไม่ยาก แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าควรเปลี่ยนยางตอนไหน ควรดูแลยังไง เราจึงจะมาแชร์ทริคดูแลยางง่ายๆ ให้ทุกคน ดังนี้ ตรวจสอบความดันลมยาง หากยางของคุณลมอ่อน ยางจะสะสมความร้อนอยู่ในตัว และเป็นแผลแตกได้ง่าย และหากยางของคุณมีลมมากเกินไป ยางก็อาจระเบิด และดอกยางก็เสื่อมเร็วกว่ากำหนด การตรวจเช็คความดันลมยางนั้นสำคัญมาก หากละเลยอาจส่งผลให้ยางเสื่อมไว และทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงได้ ควรใช้ความดันลมยางให้เหมาะสมตามที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ห้ามบรรทุกเกินดัชนีน้ำหนัก การบรรทุกน้ำหนักเกินดัชนีน้ำหนักที่ยางกำหนดไว้ จะทำให้ขอบยางรับน้ำหนักมากเกินจนถูกบดทับทำให้เกิดรอยแตกลายงา และเสื่อมเร็วกว่าปกติได้ 3. หลีกเลี่ยงถนนขรุขระ สภาพถนนที่มีลักษณะขรุขระของหลุมบ่ออาจทำให้แก้มยางรถบวม ดอกยางลอก และเจาะยางแตกได้ หากได้รับแรงกระแทกสูง ยางรถอาจมีรอยแตก หรือรอยบุบได้ จึงควรหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ขรุขระหากไม่จำเป็น ไม่เพียงเพื่อความปลอดภัยแต่เพื่อยืดอายุการใช้ของยางให้นานยิ่งขึ้น 4. ขับขี่อย่างนุ่มนวล ยางของรถยนต์จะสึกหรอไปมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับขับขี่รถยนต์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการเบรกอย่างระมัดระวัง ไม่เบรกกะทันหัน การเปลี่ยนเกียร์อย่างนุ่มนวล การเร่งเครื่อง และการเข้าโค้งอย่างนุ่มนวล ก็มีส่วนช่วยยืดอายุของยาง ป้องกันไม่ให้ยางของคุณสึกหรอเร็วกว่าที่ควร 5. การเช็คดอกยาง เมื่อคุณใช้รถยนต์มาเป็นเวลานาน ยางของคุณอาจเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา แต่ไม่สามารถวางใจได้เลยว่าดอกยางของยางรถจะหมดสภาพไปแบบเท่าๆ กัน การตรวจเช็คดอกยางเป็นประจำทุกปีจะช่วยให้รู้สภาพยางของรถยนต์ในขณะนั้นได้เป็นอย่างดี ทุกวิธีดูแลระบบช่วงล่างในของส่วนของเบรกและยางที่เราแชร์ให้นั้น เป็นเพียงวิธีพื้นฐานที่ช่วยให้เราสามารถดูแลรักษาเบรกและยางให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานยิ่งขึ้นได้อย่างง่ายๆ ด้วยตัวเอง ทั้งนี้การจะดูแลและตรวจเช็คระบบเบรกและยางให้แม่นยำและถูกต้องครบจุดนั้น อาจต้องพึ่งพาความชำนาญการของช่างมืออาชีพ เพื่อให้คุณมั่นใจว่าดูแลได้ครบจุดและตรงจุด สร้างความปลอดภัยในทุกการขับขี่ เราขอแนะนำให้ SCG Performance เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการดูแลตรวจเช็คระบบช่วงล่างรถยนต์ให้กับคุณ หากพบปัญหา เจออาการไม่ว่าหนักหรือเบา เราพร้อมดูแลเต็มที่โดยช่างมากประสบการณ์ ลองเข้ามาตรวจเช็คเบรกและยางที่อู่ของเราได้นะครับ Quickwash x SCG Performance
Porsche 911 เป็นรถมีการเปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 1963 ย้อนกลับไป เมื่อ 57 ปีก่อน ในงานมหกรรมยานยนต์ Frankfurt IAA Motor Show (IAA อินเตอร์เนชั่นแนล ออโต้โมทีฟโชว์) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1963 ที่เมือง Frankfurt ประเทศเยอรมนี ได้มีการเปิดตัวรถยนต์สปอร์ต ภายใต้รหัส 901 ซึ่งถูกผลิตขึ้นมาแทนที่ Porsche 356 เป็นรถโชว์ตัวต้นแบบ จากนั้นจึงมีการเปลี่ยนรหัสรุ่นเป็น 911 และขึ้นสายพานการผลิตอย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 1964 เครื่องยนต์ที่ใช้เป็นแบบเบนซิน ที่ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ (Air-cooled engines) แบบ 6 สูบเรียงนอน (Flat-6) ให้พละกำลัง 130 แรงม้า ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง ความจุตัวถังขนาด 2.0 ลิตร มีชื่อเรียกฉายาว่า “Horn Grill” เนื่องมาจากเอกลักษณ์ที่มีช่องตรงตระแกรงข้างไฟเลี้ยว ซึ่งช่องดังกล่าว เป็นระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์ โดยระบายจากกระจังหน้ารถ ให้อากาศให้ไปถ่ายเทความร้อนข้างใน ตามมาติด ๆ ในปี ค.ศ. 1962 ด้วยรถยนต์รหัส 912 มาพร้อมเครื่องยนต์แบบ 4 สูบ และรหัส 911 S ที่มาพร้อมกับขุมพลังเครื่องยนต์ขนาด 160 แรงม้า ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 1966 อีกทั้งยังนับเป็นครั้งแรกกับการติดตั้งล้ออัลลอยด์จาก Fuchs มากับตัวรถอีกด้วย จนกระทั่งเดือนกันยายน ปีค.ศ. 1965 ในงานมหกรรมยานยนต์ International Motor Show ณ เมือง Frankfurt ได้เผยโฉม 911 Targa (ทาร์ก้า) รถสปอร์ตที่ผสมผสานรูปทรงของรถเปิดประทุนกับรถคูเป้ 2 ประตู ซึ่งได้รับการขนานนามว่า เป็นรถเปิดประทุนที่มีความปลอดภัย ด้วยอุปกรณ์นิรภัย Roll bar แบบติดตั้งถาวร งานดีไซน์หลังคา Targa คืองานดีไซน์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในรถยนต์เปิดหลังคาแบรนด์อื่น ถือเป็นต้นแบบให้กับรถสปอร์ตรุ่นหลัง ๆ ต่อมาในปี ค.ศ. 1967 ทางพอร์เชอ ได้พัฒนาระบบเกียร์แบบใหม่ ส่งผ่านกำลังแบบ Semiautomatic Sport-automatic 4 จังหวะเป็นครั้งแรก รวมทั้งในปีเดียวกัน ยังได้ปล่อยรถยนต์ 911 รุ่น T , E และ S เข้าสู่ตลาดด้วยเช่นกัน ส่งผลให้พอร์เชอ กลายเป็นโรงงานผลิตรถยนต์จากเยอรมนีเจ้าแรก ที่สามารถผลิตรถตามกฎและข้อกำหนดควบคุมการปล่อยไอเสียของสหรัฐอเมริกา 10 ปี หลังจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของรถยนต์ 911 Generation แรก ทางพอร์เชอ ก็ได้ทำการเปิดตัวรถรุ่นที่ 2 มีชื่อเรียกว่า G Model ซึ่งเริ่มไลน์การผลิตตั้งแต่ปี ค.ศ. 1973 จนถึงปี ค.ศ. 1989 ซึ่งถือได้ว่า เป็นรุ่นที่มีการผลิตยาวนานกว่า 911 เจเนอเรชั่นอื่น ๆ รถยนต์รุ่นนี้ ได้รับการติดตั้งชิ้นส่วนกันชนด้านล่าง โดยมีการปรับปรุงให้มีความหนาขึ้น ซึ่งเป็นนวัตกรรมการออกแบบเพื่อให้เข้ากับมาตรฐานการทดสอบการชนในสหรัฐอเมริกา เพื่อการส่งออกไปขายในประเทศ ความปลอดภัยในห้องโดยสาร ได้รับการพัฒนาด้วยเช่นกัน โดยมีการเพิ่มเติมเข็มขัดนิรภัย ถึง 3 จุด แบบ Three-Point มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานพร้อมกับรถ รวมทั้งเพิ่มที่พักศีรษะเข้าไป เพื่อความสบายแก่ผู้ขับขี่ ในปี ค.ศ. 1983 พอร์เชอ ได้ปล่อย 911 Carrera (คาร์เรร่า) Superseded SC ออกมา พร้อมเครื่องยนต์ขนาด 3.2 ลิตร ขุมพลัง 231 แรงม้า และรุ่นนี้ ยังได้กลายมาเป็นรุ่นยอดนิยมสำหรับนักสะสมอีกด้วย สำหรับผู้ที่ชื่นชอบรถเปิดประทุน ยังสามารถเลือกสั่งรถยนต์เปิดประทุนได้ตั้งแต่ ปีค.ศ. 1982 เป็นต้นมา จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1989 ได้มีการเปิดตัวรถยนต์อีกรุ่น ภายใต้ชื่อ 911 Carrera Speedster (คาร์เรร่า สปีดสเตอร์) ซึ่งเป็นรุ่นที่พัฒนาขึ้นมาจากแรงบันดาลใจจากรถยนต์รุ่น 356 ในช่วงปี 1950s นั่นเอง ใน ปี ค.ศ. 1969 พอร์เชอ ได้นำเสนอเครื่องยนต์ ที่มีพละกำลังมากขึ้น รวมถึงเพิ่มความจุของเครื่องยนต์จากเดิม 2.0 ลิตร เป็น 2.2 ลิตร และ เพิ่มเป็น 2.4 ลิตร ในปี ค.ศ. 1971 สำหรับรถยนต์ 911 Carrera RS (คาร์เรร่า อาร์เอส) ที่มาพร้อมกับพละกำลังเครื่องยนต์สูงสุด 210 แรงม้า ด้วยน้ำหนักที่เบากว่า 1,000 กิโลกรัม ได้ทำการเปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 1972 โดยมีความจุเครื่องยนต์ 2.7 ลิตร มีการติดตั้งสปอยเลอร์หลังแบบ “Ducktail” ซึ่งถือเป็นสปอยเลอร์ชิ้นแรกที่ได้รับการติดตั้งลงบนรถที่เข้าสายการผลิต พอร์เชอ ปล่อยรถยนต์ 911 Carrera 4 (คาร์เรร่า 4) ภายใต้รหัส 964 ออกมาเมื่อปี ค.ศ. 1988 ซึ่งเป็นรุ่นที่ได้รับการเปลี่ยนชิ้นส่วนของตัวถังใหม่หมดกว่า 85% หลังจากที่ใช้รูปแบบตัวถังเดิมมาเป็นเวลา 15 ปี ส่งผลให้ 911 Generation 3 นี้เป็นรถที่มีความทันสมัยมากขึ้น มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบแบบนอน 3.6 ลิตร ให้พละกำลัง 250 แรงม้า รหัสตัวถัง 993 เปิดตัวในปี ค.ศ. 1990 และได้กลายมาเป็นรถที่ผู้ขับขี่พอร์เชอต่างเทใจให้ โดยการพัฒนาพื้นฐานโครงสร้างใหม่ทั้งหมด ด้วยการใช้โครงสร้างอลูมิเนียม รวมถึงล้อแม็กอลูมิเนียมแบบ Hollow-spoke ซึ่งไม่เคยมีใช้กับรถรุ่นใดมาก่อน มีการเสริมกันชนเข้าไป เพิ่มประสิทธิภาพความมั่นคง อีกทั้งยังทรงตัวได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งถือว่าเป็นนวัตกรรมอันทันสมัยมากในสมัยนั้น ในปี ค.ศ. 1995 สำหรับรุ่น Turbo นั้น ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีการติดตั้งเครื่องยนต์ 6 สูบแบบ Bi-Turbo (เทอร์โบคู่) ซึ่งมีประสิทธิภาพในเรื่องของการปล่อยมลพิษได้ต่ำมากที่สุดในโลก ถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยม สำหรับรถขับเคลื่อนสี่ล้อในสมัยนั้น ตามมาด้วยการเปิดตัวของ 911 GT2 (จีที2) ที่ได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นรถสปอร์ตอันสมบูรณ์แบบ มาพร้อมกับความเร็วสูงแบบเต็มพิกัด รวมทั้งหลังคาและกระจกไฟฟ้า ถือได้ว่า 993 เป็นรุ่นสุดท้ายที่ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่นักสะสมตามหา รหัสตัวถัง 996 นี้ เปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 1997 โดยทำการตลาดเป็นรุ่นที่จำหน่ายเมื่อปี 1998 เป็นรุ่นที่เรียกได้ว่าคือจุดเปลี่ยนที่สำคัญของตระกูล 911 เลยก็ว่าได้ โดย 996 นี้ยังคงความเป็นตำนานแบบดั้งเดิมคลาสสิคอยู่ แต่มาพร้อมกับการออกแบบใหม่ทั้งหมด ด้วยการใช้ระบบเครื่องยนต์ที่ระบายความร้อนด้วยน้ำ (Water-cooled engines) มีพละกำลังสูงสุด 300 แรงม้า อีกทั้งยังรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยการลดการปล่อยมลพิษ เสียง รวมถึงประหยัดเชื้อเพลิงมากยิ่งขึ้น พอร์เชอ ได้ทำการเปิดตัว 911 Carrera และ 911 Carrera S เจเนอเรชั่นที่ 6 ภายใต้รหัสตัวถัง 997 เมื่อเดือนกรกฏาคม ปี ค.ศ. 2004 โดยมีรูปทรงย้อนกลับไปยุคคลาสสิคอีกครั้ง ด้วยไฟหน้าแบบวงรี ที่แยกออกจากไฟเลี้ยวมาอยู่ตรงมุมกันชน เป็นการระลึกถึง 911 รุ่นดั้งเดิม มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 3.6 ลิตร แบบ Boxer (เบนซิน 6 สูบนอน) กับพละกำลังสูงสุดที่ 325 แรงม้า Generation ที่ 7 นี้ เป็นที่รู้จักกันภายใต้ชื่อรุ่น 991 เปิดตัวเมื่อปี 2011 โดยทำการตลาดเป็นรุ่น 2012 เป็นรุ่นที่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาของเทคโนโลยีรวมทั้งความทันสมัย ที่รวมตัวอยู่ใน 911 คันนี้ เป็นเจเนอเรชั่นใหม่ ที่ได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพและสมรรถนะเครื่องยนต์เข้าสู่ยุคใหม่ ด้วยฐานล้อที่ยาวขึ้น กว้างขึ้น มาพร้อมกับยางที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ห้องโดยสารได้รับการพัฒนาตามหลักสรีระศาสตร์มากขึ้น เพื่อประสิทธิภาพในการขับขี่ที่ถูกผสมผสานเข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ สำหรับ 911 Generation ที่ 8 นี้ ถือว่าเป็น เจเนอเรชั่นล่าสุด ภายใต้รหัส 992 ทำการเปิดตัวครั้งแรกที่ Los Angeles Autoshow เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ปี 2018 โดยยังคงรูปทรงดั้งเดิมของ 911 ในอดีตมาผสมผสานกับความทันสมัยในปัจจุบัน มีการเพิ่มระยะของล้อทั้งหน้าและหลัง โครงสร้างของตัวถังใช้แพลตฟอร์มร่วมกับ Porsche 718 ซึ่งมีชื่อเรียกว่า MMB-Modular Mid-Engine อันเป็นโครงสร้างแบบใหม่ที่รองรับเครื่องยนต์วางกลางลำและเครื่องยนต์วางท้าย นอกเหนือจากความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครแล้ว ในส่วนของเทคโนโลยีก็ยังได้รับการพัฒนาให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา การออกแบบที่ลงตัว มาพร้อมกับฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครัน สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงเรื่องราวความสำเร็จ ที่มีใน 911 ทุก Generation ความเป็นรถสปอร์ตที่ควบคู่กับการใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน จะมีรถสักกี่รุ่นบนโลก ที่ยังสามารถยืนหยัดอยู่ในวงการได้อย่างแข็งแกร่งและยังคงประสบความสำเร็จ มานานถึง 5 ทศวรรษ ปัจจุบัน Porsche 911 ได้กลายเป็นรถที่มีความเก่าแก่ที่สุดของแบรนด์ ที่ยังดำเนินสายการผลิตอยู่ และเป็นหนึ่งในรถประเภทคูเป้ ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอีกด้วย
รถยนต์อัตโนมัติ หรือ ยานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous vehicle) เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ก้าวข้ามจากรถยนต์ในฝัน และภาพจำในภาพยนตร์ เข้าสู่ความเป็นจริง มีบริษัทยักษ์ใหญ่มากมายที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และกำลังเดินหน้าพัฒนาระบบ เพื่อเป็นที่หนึ่งของตลาดยานยนต์ไร้คนขับก่อนใคร บางบริษัทก็ไต่ระดับ พัฒนาความสามารถในกับขับเคลื่อนอัตโนมัติของรถยนต์ จนอยู่ในขั้นสูงกว่าที่เคยและสามารถสร้างรถยนต์กึ่งอัตโนมัติได้สำเร็จ บริษัทไหนจะเป็นตัวเต็งในสนามแห่งยานยนต์ไร้คนขับที่น่าจับตาบ้าง มาดูกัน TESLA หากพูดถึงรถยนต์อัตโนมัติ นาทีนี้ต้องมีชื่อ Tesla (เทสล่า) เป็นชื่อบริษัทอันดับแรกที่อยู่ในใจหลายๆ คนแน่นอน โดยบริษัท Tesla เป็นบริษัทผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานสะอาด 100% (Electric Vehicle) จากฝั่งสหรัฐอเมริกาที่มุ่งเน้นในการพัฒนาเทคโนโลยีไร้คนขับ โดยเริ่มเปิดตัวความอัจฉริยะของรถยนต์อัตโนมัติด้วยการใส่ระบบขับขี่อัตโนมัติ ( AutoPilot ) เข้ามาในรถยนต์ Tesla model S ซึ่งสามารถช่วยขับแทนผู้ใช้งานได้จริง แต่จัดในอยู่ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติอยู่ในระดับ 3 ( SAE Automation Levels 3 : Conditional Driving Automation ) ปัจจุบัน Tesla สามารถพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติมาจนถึงระดับที่ 4 ( SAE Automation Levels 3 : High Driving Automation ) ที่สามารถให้รถขับเคลื่อนได้เอง โดย Elon Musk ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ CEO คนล่าสุด ออกมาเผยว่ารถยนต์ที่กำลังพัฒนาอยู่นั้น จะสามารถขับเคลื่อนอัตโนมัติได้ 100% แต่จะเป็นยังไงนั้น ต้องมารอติดตามกัน Alphabet Inc. Alphabet Inc. เป็นที่รู้จักในนามของบริษัทแม่ของ Google บริษัทมองเห็นโอกาสในการสร้างรายได้จากงานวิจัย และใช้เวลากว่า 7 ปีไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเองจนพาตัวมาอยู่ในแถวหน้า ในนามบริษัทลูกอย่าง Waymo เมื่อปี ค.ศ. 2015 เริ่มมีการนำรถยนต์ขับขี่อัตโนมัติไร้คนขับมาทดลองขับขี่ใน Austin, Texus โดยให้ชายผู้บกพร่องทางการมองเห็น โดยสารรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติคันดังกล่าว พร้อมทีมวิศวกรนั่งประกบเพื่อทดสอบการใช้งานจริง และเมื่อปี ค.ศ. 2019 ได้หันมาจับมือกับบริษัทพันธมิตรอย่าง Honda และ Intel เพื่อพัฒนาชิปของรถยนต์อัตโนมัติร่วมกัน ต้องรอดูว่าการรวมพลังครั้งนี้จะสร้างนวัตกรรมไหนให้ผู้ใช้รถเซอร์ไพรส์ได้อีก ต้องติดตาม Daimler บริษัทรถยนต์สัญชาติเยอรมัน เจ้าของแบรนด์ Mercedes-Benz จับมือกับ Baidu บริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน Search Engine และเทคโนโลยีสัญชาติจีน ร่วมกันนำระบบรถยนต์อัตโนมัติขับเคลื่อนตัวเองที่ Baidu พัฒนาขึ้น มาใช้ในรถยนต์ที่ Daimler เป็นผู้ผลิต นอกจากนั้นบริษัท Daimler ได้พัฒนาระบบรถยนต์จนมีความสามารถในการขับเคลื่อนอัตโนมัติอยู่ในระดับ 3 หรือยังต้องมีมนุษย์การควบคุมอยู่นั่นเอง แต่ก็ถือว่าเป็นบริษัทที่น่าจับตา เพราะ บริษัท Daimler ได้ร่วมมือกับบริษัท Uber พัฒนารถยนต์เพื่อให้สามารถขับเคลื่ออัตโนมัติได้ในระดับ 4 และ 5 ที่สามารถขับเคลื่อนอัตโนมัติ 100% ต้องรอติดตามว่ารถดังกล่าวจะเป็นอย่างไร จะสามารถขึ้นแซง Tesla ได้หรือไม่ ต้องรอดู BMW บริษัทรถยนต์ที่เราคุ้นหูกันเป็นอย่างดี ได้ร่วมมือกับ Intel บริษัทผู้นำด้านคอมพิวเตอร์ และ Mobileye บริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยี ในนาม BMW iNEXT โดยเป็นรถนวัตกรรมใหม่ ใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ 4 ระดับ หรือคนขับเองได้เหมือนรถไฟฟ้าทั่วไป หากเกิดกรณีที่ไม่มั่นใจในระบบ เมื่อเข้าสู่โหมดขับเคลื่อนอัตโนมัติ พวงมาลัยจะหดกลับเข้าไปในแดชบอร์ด แป้นเบรกและแป้นคันเร่งก็หายไปด้วยเช่นกัน โดยคันเร่งและเบรกจะหดลงไปจมอยู่กับพื้นเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการวางเท้า เมื่อต้องการกลับมาควบคุมรถยนต์ด้วยตัวของคุณเองก็แค่กดลงไปบนตราสัญลักษณ์ BMW พวงมาลัยจะยื่นออกมาพร้อมๆ กับสัญญาณเตือนที่จะส่งมอบการควบคุมให้กับคนขับ จัดว่าเป็นรถในฝันที่น่าครอบครองอีกหนึ่งแบบ ต้องรอติดตามว่าในอนาคต BMW จะสามารถพัฒนาระบบขับเคลื่อนไปสู่ระดับ 5 หรือขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบ 100% ได้หรือไม่ ต้องรอชม Apple Inc. บริษัทคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เบอร์ต้นๆ ของโลกที่เปิดจำหน่ายสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ดีไซน์เรียบหรูจนเป็นที่นิยมของคนส่วนใหญ่ บริษัท Apple เคยมีโครงการ “ไททัน” ที่พัฒนาด้านรถยนต์อัตโนมัติในปี ค.ศ. 2014 แต่ก็ต้องพับโปรเจ็คไป ตอนนี้ Apple กำลังกลับมาพัฒนาอีกครั้ง และกำลังคืบหน้าขึ้นเรื่อยๆ Apple ได้ยื่นขอและเผยแพร่สิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ถึง 248 รายการ แต่จะออกมาหน้าแบบไหน ตรงตามโมเดลที่วางไว้ไหม ต้องรอติดตาม แม้ว่าจะยังไม่มีแบรนด์ใดที่สามารถพัฒนาและผลิตยานยนต์ไร้คนขับ หรือรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ 100% ออกมา แต่ก็ถือว่าการพัฒนาของแต่ละแบรนด์นั้นเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว รถยนต์ไร้คนขับอาจเป็นจริงได้ในอีกไม่ช้า ต้องรอติดตามว่าจะมีแบรนด์ไหนที่สามารถทำลายขีดจำกัด และพัฒนารถยนต์อัตโนมัติ 100% ได้ก่อนกัน หรือไม่แน่ว่า อาจจะมีม้ามืดนอกจาก 5 บริษัทนี้สามารถพัฒนารถยนต์ไร้คนขับได้ก่อนก็เป็นได้ เราขอแนะนำว่าให้ กดติดตาม (Subscribe) บทความนี้ไว้ เพื่อไม่ให้พลาดสาระความรู้ และติดตามข่าวสารวงการยานยนต์ก่อนใคร
หลายปีมานี้นอกจากธุรกิจ Food Delivery จะเติบโตเป็นอย่างมากแล้ว ธุรกิจการขนส่งได้รับความนิยม เติบโตขึ้นเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน ทำให้เกิดบริษัทขนส่งเอกชนขึ้นมาอย่างมากมายเพื่อรองรับการขนส่งที่เติบโตได้อย่างรวดเร็วนี้ บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) เป็นอีกหนึ่งขนส่งเอกชนที่คนส่วนใหญ่ให้ความนิยมใช้บริการเป็นอย่างมาก เพราะมีบริการครอบคลุมและราคาค่าส่งที่ถูก มาทำความรู้จักกับบริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส กันให้มากขึ้นผ่านบทความนี้กันค่ะ บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) คือ ผู้ให้บริการด้าน E-commerce แบบครบวงจร ภายใต้คอนเซปต์ “คิดถึง ส่งถึง In mind In delivery” ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2560 โดยนายคมสันต์ แซ่ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ร่วมด้วยทีมผู้บริหาร และบุคลากรไทย ปัจจุบันบริษัทฯ มีพนักงานกว่า 10,000 คน พร้อมบริการที่ครอบคลุมครบ 77 จังหวัดทั่วประเทศ และมีจุดรับส่งพัสดุมากกว่า 2,500 แห่ง เรายังเป็นผู้ให้บริการเจ้าแรกที่มีนโยบายเข้ารับพัสดุฟรีถึงที่ตั้งแต่ชิ้นแรก พร้อมเปิดให้บริการ 365 วัน ไม่มีวันหยุด ปัจจุบันตัวเลขการส่งพัสดุของบริษัทฯ มีมากกว่า 1 ล้าน ชิ้นต่อวัน นอกจากบริการด้านขนส่งแบบมืออาชีพ เรายังมีโปรแกรมการคุ้มครองสินค้าเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าที่มาใช้บริการทั้งในกรณีพัสดุเกิดความเสียหาย และสูญหาย ด้วยวงเงินคุ้มครองสูงถึง 50,000 บาท (ภายใต้เงื่อนไขของบริษัทฯ) เพื่อให้ลูกค้าสามารถวางใจในการใช้บริการของเรา นอกจากนี้เรายังมีบริการ โดยภายใต้ธุรกิจของ แฟลช (Flash Group) นอกจากการให้บริการด้านขนส่งด่วน (Flash Express) แล้ว เรายังมีบริการอื่นๆ ที่ครอบคลุมสู่การเป็นผู้ให้บริการด้าน E-Commerce แบบครบวงจร เช่น บริการด้านโลจิสติกส์ (Flash Logistics) ที่ให้บริการรับส่งสินค้าขนาดใหญ่, บริการการด้านคลังสินค้า (Flash Fulfillment) ดูแลจัดเก็บสินค้า บริการตัวแทนรับส่งพัสดุ (Flash Home) และ บริการด้านการเงิน (Flash Money) โดยบริการด้านขนส่งด่วน (Flash Express) มีจุดเด่นตรงที่มีบริการรับ-ส่งสินค้าที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ในประเทศไทย โดยมีอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับบุ๊คกิ้งออนไลน์ ระบบการติดตามพัสดุและ Application ของ Flashที่ง่ายต่อการใช้งาน เพื่อคุณจะมั่นใจได้ว่าสามารถส่งพัสดุของคุณและสามารถตรวจสถานะพัสดุได้ทุกที่ทุกเวลา นอกจากนี้บริการ Flash Express ยังเปิดให้บริการในวันหยุดเสาร์อาทิตย์และวันหยุดราชการ เปิดให้บริการตามปกติ เรามาลองดู 5 เหตุผลดีๆ ที่ควรมาใช้บริการ Flash Express กันดีกว่าเพื่อนำไปพิจารณาในการเลือกรับบริการ 1.บริการที่สะดวก รวดเร็ว ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย อย่างที่กล่าวไปในข้างต้นว่า Flash Express ของเราเปิดบริการทุกวันไม่เว้นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ เป็นการปิดช่องโหว่ที่หลายๆ ขนส่งยังไม่มีให้บริการ โดยจะตอบโจทย์ลูกค้าที่ทำงานประจำ ไม่ค่อยมีวันหยุด และลูกค้าที่ต้องการส่งพัสดุด่วนในทันทีทันใด ถือได้ว่าเป็นธุรกิจโลจิสติกส์เจ้าแรกที่เปิดให้บริการรับ-ส่งพัสดุทุกวันแบบไม่มีวันหยุด นอกจากนี้ยังมีบริการรับพัสดุถึงหน้าบ้านไว้บริการลูกค้าที่ไม่สะดวกในการเดินทาง เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพบริการจัดส่งพัสดุที่สะดวก รวดเร็ว และประหยัด ตอบโจทย์ในทุกกลุ่มเป้าหมาย 2.ตัวเลือกบริการที่มากกว่า มีตัวเลือกบริการที่หลากหลาย เพราะไม่ว่าคุณจะส่งพัสดุรูปแบบไหน ก็สามารถเลือกใช้บริการที่เหมาะสมกับความต้องการได้ซึ่งหากเป็นพัสดุขนาดใหญ่และพัสดุที่มีน้ำหนักมากก็จะมี Flash Logistics ไว้คอยให้บริการ 3.บริการลูกค้าทางออนไลน์ บริการโลจิสติกส์ของเราพร้อมบริการขนส่งทุกทิศทั่วไทย เรามีทีมงานบริการลูกค้าทางออนไลน์ และบริการ Call Center ไว้คอยบริการลูกค้าคนสำคัญอย่างคุณ ทุกปัญหาของคุณเรายินดีช่วยคุณแก้ไข เพียงคุณโทรหรือติดต่อสอบถามผ่านช่องทาง แอปพลิเคชันของเรา 4.ประหยัดต้นทุน Flash Express ยังมีบริการห่อพัสดุให้ ทำให้เป็นการลดต้นทุนการห่อพัสดุให้กับผู้มาใช้บริการ 5.หมดกังวลของเสียหาย Flash Express มีบริการรับประกันการขนส่ง และยังมีบริการประกันค่าขนส่งตีกลับอีกด้วย คุณสามารถหมดกังวลปัญหาความเสียหายที่ตามมาภายหลังได้ สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ Flash Express APP เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับข้อมูลที่เรารวบรวมมานำเสนอ หวังว่าข้อมูลความรู้จะเป็นประโยชน์และตัวช่วยในการตัดสินใจที่จะใช้บริการขนส่งเอกชนไม่มากก็น้อยนะคะ
หากพูดถึงความสามารถในการขับเคลื่อนของรถยนต์อัตโนมัติ หรือ ยานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous vehicle) อาจเกิดข้อถกเถียงว่ารถยนต์แบรนด์ไหนจะสามารถขับเคลื่อนอัตโนมัติ 100% เราจึงมาสรุปให้หายสงสัยว่าความจริงแล้วระดับความสามารถในการขับเคลื่อนแบ่งเป็นกี่ระดับกันแน่ แล้วแต่ระดับนั้นต่างกันอย่างไร มาดูกัน ระดับของการขับเคลื่อนรถยนต์อัตโนมัติ Society of Automotive Engineers หรือ SAE International อาจจะเป็นชื่อหน่วยงานคนใช้รถคุ้นตา เพราะเป็นหน่วยงานเดียวกันกับหน่วยงานที่แบ่งเกรดน้ำมันเครื่อง ที่เรามักจะเห็นโลโก้กันเป็นประจำอยู่ด้านข้างกระป๋อง โดยหน่วยงานนี้ยังเข้ามามีบทบาท ทำหน้าที่ในการแบ่งระดับของการทำงานของระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติด้วยเช่นกัน แบ่งเอาไว้ทั้งหมด 6 ระดับ ดังนี้ SAE Automation Levels 0: No Automation ระดับ 0 : รถจะไม่มีระบบอัตโนมัติอยู่เลย ผู้ขับขี่ที่เป็นมนุษย์จะทำหน้าที่ในการควบคุมเองทุกอย่าง ทั้งพวงมาลัย, เบรก คันเร่ง สรุปง่ายๆ ว่าระดับนี้คือ ระดับรถยนต์ส่วนใหญ่ที่วางจำหน่ายอยู่ในขณะนี้ SAE Automation Levels 1: Driver Assistance (Hands on) ระดับ 1 : ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติจะเริ่มเข้ามาช่วยเหลือผู้ขับขี่ในบางฟังก์ชั่น เช่น ระบบ Adaptive Cruise Control ที่ควบคุมคันเร่งได้อัตโนมัติ, Lane Keeping ที่ควบคุมพวงมาลัยให้อยู่ในเส้นทางเดินรถโดยอัตโนมัติ เป็นต้น โดยการทำงานของระบบอัตโนมัติจะไม่ทำงานพร้อมกัน อีกทั้งคนขับยังจำเป็นเป็นคนมองเส้นทางอยู่ และพร้อมที่จะกลับเข้าไปควบคุมได้ตลอดเวลา SAE Automation Levels 2: Partial Automation (Hands Off) ระดับนี้ จะคล้ายกับ Level 1 เพียงแต่ว่า ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติจะทำงานพร้อมกันตั้งแต่ 2 อย่างขึ้นไป อย่างเช่นระบบ Pilot Assist ของ Volvo ที่เมื่อตั้งระบบ Adaptive Cruise Control ให้ทำงาน ระบบจะทำการปรับระดับความเร็วให้อัตโนมัติ ตามที่เราตั้งค่าเอาไว้ และปรับความเร็วไปตามความเร็วรถข้างหน้าได้ พร้อมกันนี้ ระบบก็จะเข้ามาควบคุมพวงมาลัย และเบรกด้วย ทาง SAE จึงนิยามในระดับนี้ว่า Hands Off หรือปล่อยมือได้ แต่ผู้ขับขี่ก็ยังคงต้องตรวจสอบเส้นทางด้วยสายตาตัวเองอยุ่ตลอดเวลา และพร้อมกลับเข้าไปควบคุมตัวรถเองได้ทุกวินาทีเช่นเดิม SAE Automation Levels 3 : Conditional Driving Automation ในระดับนี้จะมีความสามารถในการตรวจจับสภาพแวดล้อม และสามารถตัดสินใจได้อย่างเต็มที่และอย่างชาญฉลาดยิ่งขึ้น เพิ่มขีดความสามารถในการใช้งานระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติได้ในพื้นที่ที่มีการจำกัดโซนเอาไว้ เช่น ฟรีเวย์, ไฮเวย์ โดยผู้ขับขี่สามารถละการควบคุมรถไปทำกิจกรรมอย่างอื่นในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการละสายตาจากถนนไปหยิบสิ่งของ หรืออ่านข้อความสั้นๆ ในโทรศัพท์มือถือ ทั้งนี้ผู้ขับขี่ยังคงต้องตื่นตัว เตรียมตัว และพร้อมในการเข้าควบคุมรถเองในสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่ตลอดเวลา อธิบายง่ายๆ คือ สามารถละสายตาได้ชั่วขณะ แต่ไม่สามารถละสายตาจนอ่านหนังสือจบเล่มได้ และเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เงื่อนไขการทำงานในระบบผิดพลาด รถจะมีฟังก์ชั่นขอความช่วยเหลือจากมนุษย์ด้วย โดยรถยนต์จากผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ ยังคงพัฒนาอยู่ในแค่ระดับนี้ แม้กระทั่ง Tesla เองก็ตาม SAE Automation Levels 4 : High Driving Automation ระดับ 4 เป็นระบบอัตโนมัติระดับสูง ยานพาหนะนั้นจะสามารถบังคับขับเคลื่อนและวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใต้สภาวะที่เกิดขึ้นใน ณ ขณะที่ยานหานะเคลื่อนที่ ไม่ว่าจะเป็นหลบหลีกสิ่งกีดขวาง มีรถเลี้ยวออกมาจากซอย อีกทั้งเตือนถึงความเร็วที่มากจนเกินไปในขณะขับขี่ โดยที่มนุษย์นั้นมีส่วนในการบังคับควบคุมนั้นน้อยมาก ๆ หรือแทบจะไม่ต้องบังคับเลย แต่มนุษย์ยังคงสามารถควบคุมตัวรถได้ หากเกิดสถานการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ในระดับ 4 นี้ ระบบสามารถขับเคลื่อนด้วยตัวเองอย่างสมบูรณ์ แต่ฟังก์ชันนี้มีข้อจำกัดว่าไว้เฉพาะขอบเขตพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่เฉพาะเจาะจงและสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมอื่นๆ อาจต้องเป็นเส้นทางที่ตั้งไว้ หรือ เป็นเส้นทางประจำ ไม่มีการออกนอกเส้นทางเด็ดขาด เช่น ในเมือง หรือ ชนบท ซึ่งทำให้การพัฒนารถยนต์ไร้คนขับระดับ 4 ส่วนใหญ่จะมีจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นรถรับส่งสาธารณะ ที่วิ่งด้วยความเร็วไม่สูงมาก และมีเส้นทางที่ระบุชัดเจน SAE Automation Levels 5 : Full Driving Automation (No driver!) ระดับนี้ไม่ต้องการมนุษย์มาช่วยขับอีกต่อไป เพราะระบบจะทำงาน Dynamic Driving Task เต็มประสิทธิภาพ เป็นระดับสูงสุดที่ SAE ตั้งข้อกำหนดเอาไว้ ตัวระบบไม่ต้องการการควบคุมใดๆ จากผู้ขับเลยในทุกกรณี ผู้ขับเพียงแต่สตาร์ทเครื่องและระบุจุดหมายปลายทางบนเนวิเกเตอร์เท่านั้น หรืออาจใช้อุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง เช่น สมาร์ทโฟน ดังนั้นระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติในคลาสนี้ต้องมีความสามารถในการขับเคลื่อนตัวรถเองในทุกสถานการณ์โดยไม่ละเมิดกฏหมายใดๆ และสามารถตัดสินใจประเมินสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ด้วยตัวเอง ส่วนผู้ขับสามารถทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ตามความต้องการ เป็นรถยนต์ในฝันแห่งโลกอนาคตที่พาคุณไปได้ทุกที่ตามใจต้องการ จากระดับการขับเคลื่อนรถยนต์อัตโนมัติที่กล่าวไป อาจทำให้หลายคนเข้าใจรถยนต์อัตโนมัติ หรือยานยนต์ไร้คนขับมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันยังไม่มีแบรนด์ใดพัฒนาไปได้ถึงจุดระดับ Full Driving Automation แม้แต่ระบบขับเคลื่อนกึ่งเคลื่อนอัตโนมัติจากบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Tesla Model S ที่มีชื่อทางการค้าว่า AutoPilot ก็ยังไม่ถึงขั้นอัตโนมัติ 100% และยังเป็นเพียงรถในระดับ Level 3 เท่านั้น แต่หลังจากนี้เรามารอติดตามกันดีกว่าว่า วงการยานยนต์จะสร้างความเซอร์ไพรส์ หรือบริษัทไหนจะสามารถพัฒนาระบบจนสามารถขับเคลื่อนอัตโนมัติ 100% ได้ก่อนกัน เพื่อไม่ให้พลาดข่าวสารและสาระสำคัญ กดติดตาม (Subscribe) บทความของเราไว้ได้เลย รับรองว่าจะอัพเดทให้ทันทุกเทรนด์ยานยนตแน่นอน