รอยสีถลอกเล็กๆ น้อยๆ บริเวณผิวรถที่ไม่รู้ว่าได้มาตอนไหน หรืออาจเกิดจากอุบัติเหตุเล็กๆ ที่ไม่ทันระวัง อาจสร้างความหงุดหงิดใจให้คนรักรถไม่น้อย แต่จะขับไปเข้าอู่เพื่อแก้สีก็ใช้เวลาไม่น้อย ทั้งรอคิว ทั้งรอทำ บางร้านก็ใช้เวลาซ่อมสีเป็นสัปดาห์ บางร้านหนักกว่า กินเวลาร่วมเดือน มีเหตุสำคัญต้องใช้รถทีไรก็ต้องเปลี่ยนแผน หลายคนจึงตัดสินใจปล่อยเลยตามเลย รอให้รอยถลอกเล็กๆ กลายเป็นแผลใหญ่ก่อนค่อยไปซ่อมทีเดียว และสุดท้ายก็ต้องจ่ายแพงมากขึ้นอีก แถมยังใช้เวลานานขึ้นตามไปด้วย แต่หลังจากนี้ไป การซ่อมสีจะเป็นเรื่องง่าย และใช้เวลาไม่นาน เพราะ ซ่อมสีด่วน ทำวันเดียวจบจริงๆ แต่จะทำอย่างไร มาพิสูจน์ด้วยขั้นตอนในการซ่อมสีด่วนกัน ขั้นตอนการซ่อมสีด่วน ถ้าต้องการพิสูจน์ว่าซ่อมสีด่วนสามารถซ่อมให้จบได้ภายในวันเดียวจริงหรือไม่ การรู้ขั้นตอนการซ่อมสีด่วนอาจช่วยให้เรามั่นใจได้มากยิ่งขึ้น โดยสามารถแบ่งได้ 5 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 : เช็ครอยสีถลอก ขั้นตอนแรกในการเริ่มซ่อมสีด่วน ทางร้านจะต้องตรวจสอบร่องรอยสีถลอก ที่ต้องการจะซ่อมสีด่วนก่อน โดยปกติแล้วมักจะเป็นรอยเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก เพราะถ้ารอยเป็นจุดใหญ่เกินไปอาจไม่ตรงตามเงื่อนไขในการซ่อมสีด่วน ซึ่งการซ่อมสีด่วนจะคิดราคาตามขนาดของรอยสีถลอก ยิ่งจุดใหญ่ ราคาก็จะเพิ่มไปตามขนาด นอกจากนั้นสีดั้งเดิมของรถก็มีส่วนเช่นกัน รถยนต์ที่มีสีมุก หรือสีทูโทน อาจจะมีราคาซ่อมสีด่วนที่สูงกว่า ทั้งนี้อาจขึ้นอยู่มาตรฐาน และดีลโปรโมชั่นของแต่ละอู่ด้วยว่า ใช้หลักใดบ้างในการกำหนดราคาซ่อมสีด่วน ขั้นตอนที่ 2 : ทำความสะอาด และ ขัดผิวรถ หลังจากกำหนดจุดที่ต้องการซ่อมสีด่วนแล้ว ทางร้านก็จะเริ่มเตรียมผิวรถให้พร้อมในการทำสี เริ่มจากทำความสะอาดเบื้องต้น เพื่อล้างคราบสิ่งสกปรกที่เกาะติดอยู่บริเวณผิวรถออกให้หมด จากนั้นเช็ดให้แห้ง แล้วปล่อยทิ้งไว้สักพัก เมื่อผิวรถแห้งแล้วจึงเริ่มลงมือขัดผิวรถบริเวณที่เป็นรอยสีถลอก โดยใช้กระดาษทรายขัดบริเวณที่เป็นรอยสีถลอกให้เรียบเนียนก่อน ซึ่งแต่ละร้านนั้นจะใช้เบอร์กระดาษทรายที่แตกต่างกันไป โดยส่วนใหญ่จะเริ่มขัดด้วยเบอร์ 320 หรือ 600 ก่อน ตามด้วยด้วยกระดาษทรายเบอร์ 1000 เพื่อความเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น เมื่อขัดผิวรถจนเรียบเนียนระดับหนึ่งแล้วจึงทำความสะอาดผิวรถอีกรอบก่อนทำขั้นตอนถัดไป ขั้นตอนที่ 3 : โป๊สีกลบรอยลึก และติดกระดาษกาว การขัดด้วยกระดาษทรายอาจทำให้ผิวรถที่ถลอกเรียบเนียนได้ระดับหนึ่ง แต่ในบางรอยที่มีลักษณะค่อนข้างเป็นรอยลึก ทางร้านนิยมใช้การโป๊สีในการเตรียมผิวรถ เพื่อความเรียบเนียนและพร้อมสำหรับลงสีมากที่สุด ซึ่งสีโป๊ก็จะมีคุณภาพที่แตกต่างกันไป อยู่ที่ว่าร้านนั้นจะเลือกใช้สีโป๊แบรนด์ไหน โดยจะโป๊สีลงไปบริเวณที่เป็นรอย จากนั้นใช้กระดาษขัดอีกครั้งเพื่อให้ผิวรถเรียบเนียนเสมอกัน เมื่อผิวดูเรียบเนียนเหมาะสมแล้วจึงทำความสะอาดอีกรอบ และเป่าลมให้ผิวรถแห้ง เมื่อรถแห้งได้ที่ ทางร้านจะจำกัดบริเวณในการพ่นสีให้อยู่ในจุดที่ต้องการเท่านั้น โดยการนำกระดาษและกระดาษกาวมาติดบริเวณโดยรอบจุดที่ซ่อมเอาไว้ เพื่อป้องกันสีกระเด็น หรือสาดไปโดนขณะพ่นสี ปกติแล้วมักจะติดกระดาษหรือคลุมรอบคันรถ เว้นไว้เพียงบริเวณที่ต้องการซ่อมเท่านั้น เมื่อติดจนรอบแล้วจึงลงมือขั้นตอนต่อไปทันที ขั้นตอนที่ 4 : ผสมสี และ พ่นสี เมื่อเตรียมผิวรถจนครบทุกขั้นตอนแล้ว ต่อไปจะเป็นการเข้าสู่ขั้นตอนการพ่นสี การพ่นสีนั้นควรทำภายในห้องอบสี เพื่อควบคุมอุณหภูมิ และแรงลม รวมถึงปริมาณฝุ่นละอองจากภายนอก แนะนำให้คุณควรเลือกอู่ซ่อมสีด่วนที่ได้มาตรฐาน มีห้องอบสีและเครื่องอบสีพร้อมสำหรับซ่อมสีด่วน ขั้นตอนการพ่นสี เริ่มจากการเช็ดคราบมัน และรอยฝุ่นในบริเวณที่ต้องการพ่นอีกครั้ง จากนั้นเริ่มพ่นสีพื้นหรือสีรองพื้นของรถยนต์ โดยเฉพาะบริเวณรอยที่โป๊สีไว้ เพื่อกลบรอยโป๊สีให้เรียบเนียน จากนั้นทางร้านจะผสมสีให้ตรงตามสีรถของคุณ จากนั้นจึงพ่นลงไปบริเวณรอยที่ต้องการซ่อมด้วยเครื่องพ่น โดยงานสีจะเนี๊ยบหรือไม่ เบื้องต้นขึ้นอยู่กับสีและอุปกรณ์ที่ใช้พ่น ถ้าทางร้านที่คุณเลือก ใช้สีคุณภาพและเครื่องพ่นมาตรฐาน รับรองว่าคุณสามารถวางใจในความเนี๊ยบไปได้เปราะหนึ่งแล้ว โดยในขั้นตอนนี้จะใช้เวลานานไม่นาน ขึ้นอยู่กับความชำนาญของช่างที่พ่นสีเช่นกัน ขั้นตอนที่ 5 : ปัดเงา และ เก็บงาน เมื่อพ่นสีจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก และเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการซ่อมสีด่วน นั่นก็คือ การปัดเงา และ การเก็บงาน สีที่พ่นลงไปอาจจะสวยเงาระดับหนึ่ง แต่อาจทำยังไม่เนียนไปกับสีของรถในส่วนอื่น เพราะขาดความเงางาม ดังนั้นร้านที่ได้มาตรฐานและควรค่าการแก่นำรถไปซ่อมสีด่วน ควรที่จะมีขั้นตอนการปัดเงาด้วย การปัดเงานั้นจะใช้อุปกรณ์สำหรับปัดเงาโดยเฉพาะ เมื่อปัดเงาเรียบร้อยแล้วผิวรถจะเงางามเรียบเนียนไปทั้งตัวรถ เหมือนไม่เคยมีรอยมาก่อน สุดท้ายทางร้านก็จะตรวจเช็คเก็บงานในจุดที่ซ่อม ว่ายังมีร่องรอย หรือขาดตกจุดไหนหรือไม่ เพื่อปัดเงาและปัดฝุ่นให้งานเนี๊ยบที่สุด เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการซ่อมสีด่วน เมื่อพิจารณาจากขั้นตอนการซ่อมสีด่วนแล้ว อาจเป็นข้อยืนยันได้ว่า ซ่อมสีด่วนนั้น ซ่อมจบ ได้ในวันเดียวจริงๆ ทั้งนี้ระยะเวลาที่บานปลายในแต่ละกรณี อาจขึ้นอยู่กับความชำนาญการของทีมช่างซ่อมสีด่วน ถ้าช่างมีประสบการณ์ บวกกับสีและเครื่องมือซ่อมสีระดับพรีเมี่ยม เวลาในการซ่อมสีด่วนนั้นไม่มีทางเกินหนึ่งวันอย่างแน่นอน อีกทั้งยังได้คุณภาพงานเหมาะสมกับราคาอีกด้วย อย่าลืมเช็คร่องรอยของรถยนต์เป็นประจำ และถ้าหากคุณกำลังมองหาอู่ซ่อมสีด่วนที่ทั้งคุ้มค่า และประหยัดเวลา เราขอแนะนำให้ SCG Carbody เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการดูแลสีรถ และซ่อมแซมแผลสีถลอกให้กับคุณ เพราะอู่ของเรารับบริการซ่อมสี และตัวถัง อย่างเร่งด่วน โดยช่างมากประสบการณ์ บวกกับเครื่องมือ และเทคโนโลยีพิเศษรวดเร็วมาตรฐานญี่ปุ่น มั่นใจได้เลยว่าทุกงานซ่อมสีด่วนต้องเนี๊ยบ เก็บเรียบในทุกรอยแผล ที่สำคัญอู่ของเรา ซ่อมสีด่วนทันใจ ทันใช้ภายในหนึ่งวัน ส่งตอนเช้ารับตอนเย็นได้เลย ลองหาโอกาสแวะมาซ่อมสีด่วนที่เราได้นะครับ Quickwash x SCG Carbody
แม้ยุคนี้จะเป็นยุคที่รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไร้คนขับกำลังมีบทบาทและได้รับความสนใจจากคนทั่วโลก แต่รถยนต์คลาสสิกก็ยังเป็นความเก๋าที่ไม่เคยเก่าอยู่ ผู้คนในวงการยานยนต์ยังคงสนใจและสะสมรถยนต์คลาสสิกกันเป็นจำนวนมาก รถยนต์คลาสสิกเก่าๆ กลายเป็น Rare Item ที่นักสะสมยอมจ่ายเพื่อเก็บไว้เป็นหนึ่งในคอลเล็กชัน อะไรที่ทำให้รถคลาสสิกยังคงความคลาสสิกไม่เปลี่ยนแปลง มาดูกัน นิยามของ รถยนต์คลาสสิก คือ? หากพูดถึงนิยามของ รถคลาสสิก (Classic Car) คนส่วนใหญ่อาจกล่าวรวมๆ ว่าหมายถึงรถยนต์เก่า หรือรถยนต์ที่ได้รับความนิยมในอดีต ผู้ที่หลงใหลในรถยนต์บางกลุ่ม อย่าง Classic Car Club of America ได้นิยามว่ารถยนต์คลาสสิก คือ รถยนต์ในช่วงก่อนปี ค.ศ. 1948 เท่านั้น แต่ก็มีอีกกลุ่มที่ให้นิยามตามรสนิยมว่ารถยนต์คลาสสิกคือ รถยนต์ที่มีรูปลักษณ์และลักษณะที่ดูคลาสสิก แม้ว่ารถคันนั้นจะผลิตหลังปี ค.ศ. 1948 ก็ตาม เช่น ฟอร์ด มัสแตง โฉมแรก อีกทั้งยังมีอีกกลุ่มจากฟากฝั่งยุโรปอย่างประเทศอังกฤษ ที่สรุปนิยามของรถยนต์คลาสสิกไว้อย่างเข้าใจง่ายว่า ถ้าหากพิจารณาเฉพาะช่วงเวลาที่ผลิต รถยนต์คลาสสิก (Classic Car) หมายถึง รถยนต์ที่ผลิตขึ้นตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ปี ค.ศ. 1945) จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1977 (ตามกฎหมายการยกเว้นภาษี Road Tax ของอังกฤษประจำปี 2018 ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปตามระยะเวลาในอนาคต) แต่ทั้งนี้ การจะพิจารณาว่ารถยนต์ยี่ห้อไหน หรือรุ่นใด เข้าข่ายการเป็นรถยนต์คลาสสิกนั้น มีการตีความที่ซับซ้อนมากกว่าการพิจารณาจากปีที่ผลิต เนื่องจากในแต่ละปีมีการผลิตรถยนต์ขึ้นจำนวนมหาศาล การจัดกลุ่มว่ารถรุ่นใดเข้าข่ายเป็นรถคลาสสิก จึงอาจต้องพิจารณาในด้านคุณค่า คุณภาพ ความพิเศษ การออกแบบ ความนิยม และอื่นๆ ประกอบไปด้วย จึงจะถือได้ว่ารถรุ่นดังกล่าวนั้นเป็นรถคลาสสิกอย่างแท้จริง โดยวิธีที่จะใช้ในการพิจารณาเรื่องคุณค่าหรือความพิเศษต่างๆ นั้น สามารถพิจารณาโดยรวมได้จากดัชนีชี้วัดในด้าน “ราคาตลาด” ซึ่งในที่นี้หมายถึงราคาตลาดที่เป็นสากล ซึ่งรถยนต์คลาสสิกนั้นจะเป็นรถที่มีแนวโน้มของราคาตลาดอยู่ในลักษณะ “ไม่เสื่อมราคาลง” (Stop Depreciate) แต่กลับจะ “มีมูลค่าเพิ่มขึ้น” สรุปง่ายๆ คือ “รถยนต์คลาสสิก หมายถึง รถยนต์ที่ผลิตขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1945 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1977 และมีคุณค่าเพิ่มขึ้นผ่านกาลเวลา” โดยรถยนต์ที่มีมูลค่าในตลาดเพิ่มขึ้นพิจารณาได้จากหลายปัจจัย อาทิเช่น รถยนต์รุ่นที่ราคาโดยทั่วไปในปัจจุบันสูงกว่าราคาผลิตในช่วงปีที่เปิดตัวหรือออกขายใหม่ๆ หรือรถยนต์ที่มีเจ้าของมาก่อน (pre-owned) เป็นรุ่นที่ราคาในปัจจุบันสูงกว่าราคาเมื่อหลายปีก่อนหน้า ทั้งที่มีสภาพเหมือนๆ กัน โดยจะต้องดูราคาเฉลี่ยทั่วๆ ไปในตลาด ไม่ใช่ราคาเฉพาะเพียงคันสองคันเท่านั้น โดยสามารถแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ดังนี้ รถยนต์ โมเดิร์น คลาสสิก (Modern Classic) : หมายถึง รถยนต์ที่มีแนวโน้มที่จะมีมูลค่าสูงขึ้น แต่ไม่ได้ผลิตก่อน 1 มกราคม 1978 เช่น Ferrari 328, McLaren F1, Lamborghini Diablo, Lotus Esprit S4, Mercedes Benz C126, Aston Martin DB7 รถยนต์ ฟิวเจอร์ คลาสสิก (Future Classic Car) : หมายถึง รถยนต์ที่มีคุณภาพสูง มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ แม้ในปัจจุบันมูลค่าอาจจะยังไม่ได้ขยับตัวสูงขึ้น แต่ก็เป็นที่เชื่อมั่นจากนักสะสม และเหล่าผู้ที่หลงใหลในรถยนต์จำนวนมากว่า อาจะเป็นรถยนต์ที่มีแนวโน้มว่าจะมีมูลค่าราคาสูงขึ้น ไม่ว่าจะผลิตก่อน 1 มกราคม 1978 หรือไม่ก็ตาม เช่น Porsche Boxster 986, BMW Z3, Mercedes Benz SLK R170, Mazda MX-5, Lotus Elise, Aston Martin (all models) ส่วนรถยนต์ที่ยังคงมูลค่าทรงตัว และมีแนวโน้มราคาต่ำลง แม้ว่าจะผลิตก่อน 1 มกราคม 1978 ก็ตาม ถ้าหากว่ารถยนต์กลุ่มนั้นไม่ได้รับความนิยม และไม่มีความเชื่อมั่นจากวงการรถยานยนต์ว่าจะมีมูลค่าสูงขึ้นในอนาคตอันใกล้ ก็ยังคงต้องถือว่าเป็น “รถเก่า” ทั่วๆ ไปนั่นเอง ตัวอย่าง รถยนต์คลาสสิก ยอดนิยม จากที่เราพยายามหาคำนิยามมากมายมาจำกัดความให้กับรถยนต์คลาสสิก ตอนนี้ถึงเวลาพาทุกคนมารู้จักสุดยอดรถยนต์คลาสสิกที่ทั้งเก๋า และไม่เคยเก่า แถมยังเป็นรถยนต์คลาสสิกรุ่นโปรดในดวงใจของหลายๆ คนอีกด้วย จะมีรุ่นอะไรบ้าง มาดูกัน Volkswagen Beetle ความเก๋าของรถเต่าในตำนาน หรือ Volkswagen Beetle ครองใจผู้หลงใหลรถยนต์คลาสสิกแนวน่ารักๆ มานานกว่า 80 ปี เป็นรถยนต์รุ่นแรกของค่ายรถยนต์ Volkswagen โดยเป็นรุ่นที่ออกแบบเพียงครั้งเดียว แต่สามารถทำยอดขายได้สูงสุด และผลิตเป็นระยะเวลานานที่สุดในประวัติศาสตร์ยานยนต์ Mercedes-Benz 300SL รถยนต์คูเป้เปิดประทุนสุดหรูหราที่ประสบความสำเร็จเรื่องครองการแข่งรถสปอร์ตในช่วงต้นยุค 50 ทั้งสวยและดูดียกระดับให้ผู้ใช้ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แม้จะเป็นรถเก่า แต่ยังคงสวยในสายตาสาวกแบรนด์ Mercedes-Benz เสมอ Porsche 911 Porsche 911 คันแรกนั้นถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1963 โดยถูกผลิตขึ้นมาแทนที่ Porsche 356 และได้กลายมาเป็นขวัญใจกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบรถสปอร์ตอย่างกว้างขวางในขณะนั้น ปัจจุบันรถคลาสสิกรุ่นนี้ได้กลายเป็นรุ่นที่เก่าที่สุดของค่าย Porsche ที่ยังดำเนินสายการผลิตอยู่ และเป็นหนึ่งในชื่อรุ่นประเภทคูเป้ที่เก่าที่สุดในโลกอีกด้วย BMW 3.0 CSL สุดยอดรถสปอร์ตคูเป้ในปี ค.ศ. 1971 แม้กาลเวลาจะเดินทางผ่านไปถึง 40 กว่าปีแล้ว ความงดงามคลาสสิกของตัวรถรุ่นนี้กลับยิ่งเพิ่มสูงขึ้น ทั้งสเปคเเละสมรรถนะของรถ ทำให้รถรุ่นนี้เป็นที่หมายปองของนักเล่นรถทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบัน Jaguar E type รถยนต์รุ่นนี้ได้รับการขนานนามมาอย่างยาวนานว่าเป็นรถสปอร์ตที่สวยตลอดกาล โดยผลิตออกสู่ตลาดตั้งแต่ปี 1961 ซึ่งมีการพัฒนาเครื่องยนต์อย่างต่อเนื่องจนเป็นขวัญใจนักซิ่งหลายๆ คน Ford Mustang 1965 Ford Mustang รถยนต์สายพันธุ์อเมริกันเปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 1964 มีดีไซน์แนวสปอร์ตแข็งแรง จนถูกนำไปใช้ในภาพยนตร์เรื่อง The Fast and the furious จนทำให้มีกระแสความนิยมมากกว่าแต่ก่อนขึ้นไปอีก Nissan Skyline รถยนต์รุ่นนี้เป็นที่รู้จักในฐานะของรถครอบครัวตระกูลชั้นสูง มีคลาสระดับหรูหรา ถูกผลิตในปี ค.ศ. 1968 – ปี ค.ศ. 1972 และยังได้รับความนิยมมาถึงทุกวันนี้ Honda NSX Type R Honda NSX มีการใช้อากาศพลศาสตร์และการออกแบบที่ล้ำสมัย ก้าวข้าม หรือเทียบเท่าความสามารถเครื่องยนต์ V8 ของ Ferrari ในยุคนั้น โดยเป็นรถสปอร์ตสมรรถณะสูงจากดินแดนปลาดิบอย่างญี่ปุ่น ที่ทุกวันนี้ยังมีความต้องการของตลาดสูงอยู่ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงรถยนต์คลาสสิกยอดนิยมบางส่วนเท่านั้น ยังมีรุ่น Volvo P1800, AC COBRA, Chevrolet chevelle ss, Aston Martin, Toyota Supra, Mitsubishi Evo, Subaru Impreza, และอีกมากมายที่เราไม่ได้กล่าวถึง แต่ได้รับความนิยมสูงมากในตลาดและวงการรถยนต์คลาสสิก ครั้งหน้าเราจะเอาสาระที่น่าสนใจเกี่ยวกับวงการรถยนต์คลาสสิกเรื่องไหน หรือรุ่นใดมากฝากอีก กดติดตาม (Subscribe) ไว้ก่อนได้เลย เพื่อไม่ให้พลาดบทความดีๆ จากพวกเรา
รถสั่นเป็นเจ้าเข้า ปัญหาที่ทำให้คนรักรถอย่างเราต้องเกาหัว สตาร์ทรถทีไรเครื่องยนต์ก็เกิดอาการสั่นสะเทือนเหมือนแผ่นดินไหว สวิงขึ้นๆ ลงๆ หนักเข้าท่อไอเสียก็มีควันดำออกมา โดยปัญหาน่าปวดใจเหล่านี้อาจมาจาก “รอบเดินเบาไม่นิ่ง” แต่จะแก้ยังไงไม่ให้เกิดขึ้นอีก เราจะพามาขุดหาต้นตอของปัญหานี้ เพื่อแก้ไขให้มันจบได้ตรงจุดจริงๆ แต่ก่อนจะแก้ไขเราต้องเข้าใจซะก่อน รอบเดินเบาคืออะไร? รอบเดินเบา คือ รอบเครื่องยนต์ขณะที่รถยนต์ไม่เคลื่อนที่แต่มีการสตาร์ทเครื่องยนต์ไว้โดยปกติ ซึ่งรอบเดินเบาปกติแล้ว เข็มจะเคลื่อนขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ถึงเลข 1 โดยรอบเครื่องจะอยู่ที่ช่วง 700 - 800 รอบ/นาที หากรอบเครื่องยนต์นั้นมีความผิดแปลกไปจากนี้ คุณอาจต้องเฝ้าระวังหรือรีบตรวจเช็คทันที เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่ารอบเดินเบาของคุณกำลังมีปัญหาอยู่ วิธีสังเกตง่ายๆ ที่มองเห็นได้ชัดที่สุดคือ เมื่อจอดรถให้หยุดนิ่ง เครื่องยนต์จะสั่นจนหวิดดับเหมือนกำลังจะขาดใจ สลับกับรอบเครื่องที่สวิงขึ้นลงช่วง 500 – 1,200 รอบ/นาที ซึ่งการเติมคันเร่งอาจช่วยไม่ให้เครื่องดับได้ แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ให้จบได้จริงๆ ปัญหานี้ก็ยังคงวนกลับมากวนใจอยู่เรื่อยไป หากไม่รีบแก้ อาจทำให้ไม่สามารถคุมรอบเครื่องยนต์ได้ จนนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุ รอบเดินเบาไม่นิ่งมักจะพบในรถเก่าอายุการใช้งานหลายปี แต่ไม่ว่าจะรถเก่าปีเยอะหรือรถใหม่ปีน้อยก็ควรระวัง เพราะตัวการสำคัญของเรื่องนี้คือความสกปรก และความเสื่อมสภาพของอะไหล่เครื่องยนต์ ส่งผลให้การทำงานของเครื่องยนต์นั้นผิดปกติไป แต่จะเกิดจากชิ้นส่วนไหนบ้าง เราจะมาสาเหตุที่แท้จริง และแก้ปัญหานี้ให้จบได้จริงๆ กัน รอบเดินเบาไม่นิ่ง อาจเกิดปัญหาจาก… มอเตอร์รอบเดินเบาสกปรก สาเหตุอันดับต้นๆ ที่ทำให้รอบเดินเบาไม่นิ่งก็คือ มอเตอร์รอบเดินเบา (Idle Speed Control) โดยมอเตอร์รอบเดินเบา ทำหน้าที่ควบคุมรอบเครื่องยนต์ให้คงที่ หากลองสังเกตแล้วพบว่าเครื่องยนต์มีอาการสั่น เราแนะนำให้เริ่มเช็คที่จุดนี้เป็นอันดับแรกก่อนเลย โดยอาการที่เกิดจากมอเตอร์รอบเดินเบาสกปรก คือ รถจะมีอาการเครื่องยนต์สั่น เมื่อจอดรถนิ่งอยู่กับที่ รอบเครื่องยนต์จะค่อยๆ ตกลง จนมีอาการสั่นสะเทือนและหวิดดับ มักเกิดขึ้นกับรถที่มีอายุการใช้งาน 5 ปีขึ้นไป แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน หากใช้งานอย่างหนัก สมบุกสมบัน รถใหม่ก็อาจเกิดอาการนี้ขึ้นได้เช่นกัน วิธีแก้ไขเบื้องต้น หากคุณพอมีความรู้พื้นฐานด้านเครื่องยนต์อยู่บ้าง เราสามารถแก้ไขมอเตอร์รอบเดินเบาสกปรกได้เอง โดยการถอดมอเตอร์รอบเดินเบาออกมาแล้วใช้แปรงสีฟันขัดด้วยน้ำมันเบนซินให้สะอาด คราบสกปรกจะติดอยู่โดยรอบตัวมอเตอร์ จากนั้นให้นำไปผึ่งลมให้แห้ง แต่ถ้าหากคุณไม่ค่อยมีความรู้พื้นฐานด้านเครื่องยนต์หรืออาจไม่มั่นใจ แนะนำว่าควรส่งไม้ต่อให้ช่างผู้เชี่ยวชาญจัดการให้ดีกว่า Tips : ขณะถอดมอเตอร์ออกมา ระวังอย่าให้แหวนโอริงหายโดยเด็ดขาด ลิ้นปีกผีเสื้อสกปรก ลิ้นปีกผีเสือ (Air Throttle) มีรูปลักษณ์เหมือนปีกผีเสื้อ ทำหน้าที่ควบคุมการไหลของอากาศภายนอกเข้าห้องเครื่องยนต์ เมื่อต้องทำงานคบคู่กับเครื่องยนต์ การที่ลิ้นปีกผีเสื้อสกปรกจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก อาจเกิดเขม่าดำ คราบเหนียว ไอน้ำมันเกาะที่ลิ้นปีกผีเสื้อตลอด และเกิดเป็นคราบสกปรกสะสม เกาะติดแน่น จนเป็นสาเหตุให้อากาศไม่สามารถเข้าไปช่วยในเรื่องของการเผาไหม้ได้ ทำให้รถรอบเดินเบาไม่นิ่ง สวิงขึ้นลง รอบเครื่องต่ำจึงทำให้เครื่องดับ เกิดอาการสั่นขณะเร่ง และอาจทำให้รถมีอาการกินน้ำมันมากยิ่งขึ้น วิธีแก้ไขเบื้องต้น เราควรตรวจเช็คและทำความสะอาดลิ้นปีกผีเสื้อเป็นประจำ ในทุกระยะการใช้งาน 20,000 – 30,000 กิโลเมตร หากคุณมีความรู้พื้นฐานเรื่องเครื่องยนต์ ลิ้นปีกผีเสื้อสามารถถอดมาทำความสะอาดได้เช่นกัน ซึ่งมีวิธีการคล้ายกับมอเตอร์รอบเดินเบา เพียงใช้สเปรย์ฉีดทำความสะอาดไปที่คราบน้ำมันและสิ่งสกปรกที่เกาะแน่นที่ลิ้นปีกผีเสื้อที่ถอดออกมา แล้วใช้แปรงขัดให้สะอาดหมดจดไปเลย เซนเซอร์ลิ้นปีกผีเสื้อ ระบบเซนเซอร์ลิ้นปีกผีเสื้อ ทำหน้าที่วัดปริมาณของอากาศที่ผ่านเข้าไปในท่อ เมื่อไม่ค่อยได้ดูแล เซนเซอร์ก็จะสกปรกและเกิดคราบฝังแน่น ส่งผลให้เครื่องยนต์เบาดับได้ วิธีแก้ไขเบื้องต้น หากมีความรู้พื้นฐาน คุณสามารถใช้สเปรย์ทำความสะอาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปในการทำความสะอาด จากนั้นเช็ดให้แห้ง เครื่องยนต์จะกลับมาใช้งานได้ปกติอีกครั้ง ในบางกรณีที่ลองทำแล้วอาการเหล่านี้ไม่หายไป ยังคงสั่นอยู่ แนะนำให้ขับรถคู่ใจไปเปลี่ยนเซนเซอร์ใหม่ได้เลย ท่อแวคคั่มรั่ว สายท่อแวคคั่ม (Vacuum) ทำหน้าที่ช่วยเร่งไฟจุดระเบิดในรอบเดินเบา ผู้ใช้รถรุ่นที่ผลิตก่อนปี 2000 อาจเจอกับปัญหานี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะรถทั้งแบบจ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด หรือคาบูเรเตอร์ ล้วนมีสายท่อแวคคั่มควบคุมการทำงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งท่อแวคคั่มนั้นทำจากสายยาง หรือซิลิโคน จึงเสื่อมสภาพตามอายุใช้งานเป็นเรื่องปกติ ควรตรวจเช็คและเปลี่ยนใหม่เรื่อยๆ เพื่อป้องกันการรั่วหรือแตก และส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานแบบไม่มีประสิทธิภาพ รอบเดินเบาไม่นิ่ง เครื่องยนต์สั่น ยิ่งถ้าจอดนิ่งติดไฟแดงก็มีโอกาสเครื่องดับสูงมากขึ้น วิธีแก้ไขเบื้องต้น หากมีความรู้พื้นฐาน ให้ลองตรวจสอบสายแวคคั่มทุกสาย ไล่ตรวจเช็คไปทีละเส้น หากพบรอยรั่วตรงจุดไหนให้ตัดออก แล้วสวมส่วนที่เหลือใส่กลับเข้าไป แนะนำว่าหากพบว่ามีสายแวคคั่มเส้นหนึ่งผิดปกติหรือเปื่อยทะลุ ให้เปลี่ยนยกเซ็ต เพราะสายอื่นย่อมมีสภาพที่ใกล้เคียงกัน หัวเทียนบอด หัวเทียนเป็นส่วนสุดท้ายที่เราอยากให้คุณไล่ตรวจสอบ เพราะมีความสำคัญต่อการสตาร์ทรถมาก ทำหน้าที่จุดระเบิดของเครื่องยนต์ โดยปล่อยกระแสไฟแรงดันสูง ไม่ต่ำกว่า 10,000 โวลต์ ทนความร้อนไม่ต่ำกว่า 2,000 องศาเซลเซียส เพื่อติดเครื่องรถยนต์ หากหัวเทียนบอด รถจะเกิดอาการสตาร์ทติดยาก เมื่อเครื่องยนต์ติดและจอดอยู่กับที่ รอบจะสวิงลงต่ำจนเกือบดับ หากเป็นขณะรถวิ่งก็จะมีอาการกระตุก สำลักความเร็ว และกินน้ำมันเชื้อเพลิงมากยิ่งขึ้น วิธีแก้ไขเบื้องต้น หัวเทียนบอดเป็นอาการที่ไม่สามารถซ่อมได้ มีเพียงวิธีการเปลี่ยนเท่านั้นที่ช่วยได้ แต่ราคาการเปลี่ยนหัวเทียนนั้นไม่สูงอย่างที่คิด สามารถซื้อหัวเทียนมือหนึ่งมาเปลี่ยนเองได้เลยหากมีความรู้พื้นฐานมากพอ เริ่มจากเปิดฝากระโปรงเครื่องยนต์ แล้วหาจุดที่ติดตั้งหัวเทียน เพื่อเปลี่ยนหัวเทียนใหม่ลงไปแทน จากนั้นลองสตาร์ทรถดูอีกครั้ง หากติดง่ายขึ้น และรอบเดินเบาไม่สะดุดก็แสดงว่าเราแก้ปัญหานี้ได้ตรงจุดแล้วจริงๆ เมื่อรู้ปัญหาที่แท้จริงแล้วว่าเกิดควรที่ส่วนไหน ควรรีบดำเนินการตรวจเช็คและแก้ปัญหาให้ถูกจุดทันที แม้รอบเดินเบาไม่นิ่งอาจเป็นเพียงปัญหากวนใจในตอนนี้ แต่มั่นใจได้เลยว่าหากละเลยจุดนี้ต่อไป อาจจะเพิ่มค่าใช้จ่ายจนกระเป๋าสตางค์รับไม่ไหวก็เป็นได้ และที่แย่ไปกว่านั้น คืออาจจะทำให้คุณและเพื่อนร่วมทางเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ รีบแก้ไขไว้ปลอดภัยกว่า แต่สำหรับมือใหม่ รวมถึงผู้ใช้รถที่ไม่มั่นใจ และไม่มีความรู้พื้นฐานด้านเครื่องยนต์มาก่อน ปัญหาในแต่ละส่วนที่บอกไปอาจยากที่จะตรวจเช็คและแก้ไขได้ด้วยตัวเอง เราแนะนำให้คุณหาศูนย์บริการที่เชื่อถือได้มาช่วยแก้ไขปัญหารอบเดินเบาไม่นิ่งให้กับคุณ หรือลองเปิดใจเข้ามาตรวจเช็คที่อู่ของเรา SCG Performance พร้อมตรวจเช็คเครื่องยนต์ และแก้ไขปัญหารอบเดินเบาได้อย่างตรงจุด โดยช่างมากประสบการณ์ มั่นใจได้ว่าเช็คครบ ซ่อมจบในที่เดียวครับ Quickwash x SCG Performance
ระบบช่วงล่าง เป็นอีกส่วนสำคัญที่ส่งผลต่อการขับเคลื่อนรถยนต์ โดยเฉพาะระบบเบรคและยางที่ทำหน้าที่ในการควบคุมรถ ความปลอดภัยของผู้ใช้ขึ้นอยู่กับการดูแลในส่วนนี้ แต่จะมีวิธีดูแลอย่างไรบ้าง เราจะมาแชร์ให้ได้ทุกคนรู้กัน แม้ระบบช่วงล่างจะประกอบด้วยส่วนสำคัญอีกหลายส่วน อาทิเช่น.. ลูกหมาก โช๊คอัพ และชุดคันส่ง แต่บทความนี้เราจะมาเจาะลึกวิธีดูแลระบบเบรกและยางที่ไม่ควรละเลยเป็นอันขาด เพื่อลดโอกาสเสี่ยงไม่ให้เกิด อุบัติเหตุ หรือปัญหาบานปลายที่เพิ่มค่าใช้จ่ายให้กับคุณ เราจึงควรดูแลให้ถูกหลัก เพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยในการขับขี่รถยนต์ แต่เบรกและยางจะมีวิธีแตกต่างกันอย่างไรบ้าง สัญญาณเตือน ถ้าละเลยระบบเบรก.. เหยียบเบรกไม่สุด : กำลังมีปัญหาเกี่ยวกับระบบเบรก อาจเป็นเพราะน้ำมันเบรคต่ำ หรือผ้าเบรกสึกแล้ว มีเสียงดังเวลาเหยียบเบรค : ตัวเหล็กที่ยึดติดกับแผ่นดิสค์เบรก ไปขูดกับขอบบนของจานเบรค ไฟหน้าปัดมีสัญญาณเบรกเตือน : เวลาเหยียบเบรกแล้วรู้สึกว่า ต้องออกแรงเหยียบมากขึ้น หากรถยนต์ของคุณกำลังเกิดอาการดังกล่าว แสดงว่าคุณกำลังละเลยระบบเบรก และถึงเวลาที่ต้องตรวจเช็คและดูแลอย่างละเอียด เพื่อรีบแก้ปัญหาเล็กๆ ก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ และทำให้คุณต้องเสียค่าซ่อมจนกระเป๋าฉีก หรืออาจจะนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุหรือความอันตรายต่อชีวิตได้ แต่จะมีวิธีดูแลอย่างไรบ้าง มาดูกัน วิธีดูแลระบบเบรก ระบบเบรก (Brake) หนึ่งในระบบช่วงล่างที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการชะลอความเร็วของรถ และหยุดรถ แต่หลายคนก็อาจละเลยและไม่ได้ตรวจเช็ค เพราะคิดว่ายังไม่มีปัญหา ยังเบรกอยู่ และบางคนก็คิดว่าเบรกอยู่ในจุดที่มองเห็นได้ยาก ไม่สามารถเช็คได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งยังมีอุปกรณ์มากมายหลายส่วนที่เกี่ยวข้องอีก ไม่ว่าจะเป็น จานเบรก ผ้าเบรก น้ำมันเบรก และสายต่างๆ แต่ความจริงแล้วเราสามารถตรวจเช็คและดูแลในขั้นเบื้องต้นได้ ดังนี้ 1. ตรวจเช็คผ้าเบรก ผ้าเบรก ถือว่าเป็นส่วนที่สึกหรอไวที่สุดในระบบเบรก เนื่องจากผ้าเบรกอาจมีเหล็กหรือเศษหินมาติดอยู่ หรืออาจเสียดสีกับจานเบรก ซึ่งอาจทำให้จานเบรกเป็นรอยได้ เราควรตรวจเช็คผ้าเบรกเสมอว่าเนื้อผ้าเบรกเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าความหนาลดลงเรื่อยๆ จนต่ำกว่า 3 มิลลิเมตร นั้นแสดงว่าเริ่มไม่ปลอดภัยแล้ว เพราะผ้าเบรกที่บางมากจะเกิดการสึกหรอได้รวดเร็วกว่าปกติหลายเท่า เนื้อผ้าเบรกอาจหลุดร่อนกะทันหัน ส่งผลให้แผ่นเหล็กเสียดสีกับจานเบรกจนเสียหาย หรือนำไปสู่เหตุการณ์อันตรายอย่าง เบรกแตก ได้ 2. ตรวจเช็คจานเบรก จานเบรกเป็นส่วนที่คดงอได้ง่าย ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นกับรถที่ใช้งานหนักแล้วเกิดความร้อนสะสมจะจานเบรกมีอุณหภูมิสูงจัด เมื่อขับรถผ่านจุดที่มีน้ำขัง หรือนำรถไปฉีดล้างทันทีก็อาจทำให้จานเบรกที่ทำจากโลหะเกิดอาการคดเบี้ยวอย่างเฉียบพลันได้ เราจึงควรเช็คจานเบรกอยู่เสมอ หากจานเบรกเบี้ยว คดงอ หรือมีร่องลึกเป็นเส้นยาวที่เกิดจากเศษหินเศษเหล็กมาติด ให้นำจานเบรกไปเจียหรือเปลี่ยนทันทีเลย ซึ่งควรได้รับการดูแลจากช่างที่มากประสบการณ์ เพราะหากเจียจานเบรกจนบางเกินไป อาจเกิดการแตกร้าวได้ 3.เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรก น้ำมันเบรกอาจจะมีอายุที่นานกว่าน้ำมันเครื่องจนละเลยไป แต่ความจริงแล้วเราควรเปลี่ยนน้ำมันเบรกอย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี หรือเปลี่ยนทุก 25,000 กิโลเมตร เพราะน้ำมันเบรกก็มีโอกาสเสื่อมสภาพเหมือนกับของเหลวเติมเครื่องยนต์ชนิดอื่นๆ เช่นกัน น้ำมันเบรกที่เปลี่ยนควรจะใช้ค่ามาตราเดิมตามคู่มือหรือตามที่ระบบเบรคนั้นๆ บอกไว้ เช่น DOT 4 ควรใช้ DOT 4 เท่านั้น ไม่ควรนำน้ำมันเบรกค่าอื่นๆ มาผสมลงไป เพราะอาจทำให้ลูกยางหรือท่อสายต่างๆ บวมได้ เป็นอีกจุดที่สำคัญมากและไม่ควรละเลย 4. ตรวจเช็คท่อและสายต่างๆ เราอาจจะไม่สามารถตรวจเช็คท่อและสายต่างๆ ได้ทั้งหมด เนื่องจากอาจมีส่วนที่ลึกลงไปใต้ท้องรถ แต่เราควรตรวจเช็คท่อและสายต่างๆ ที่สามารถมองเห็นจากด้านบนหรือห้องเครื่อง ว่าสายยังนิ่มอยู่ไม่เสียรูป หรือแตกร้าว หากเกิดอาการแข็งกระด้างมาก อาจทำให้น้ำมันเบรกอาจจะซึมออกขณะใช้งาน จนทำให้รถเบรกแตกได้ สัญญาณเตือน ถ้าละเลยเรื่องยางรถยนต์.. แก้มยางแตกและมีรอยร้าว : จอดรถกลางแดดเป็นเวลานาน จนยางเสื่อมสภาพ และเกิดรอยแตกที่เนื้อยาง ดอกยางสึก : หน้ายางสัมผัสพื้นถนนมากเกินไปจนสึกหรอ รู้สึกล้อสั่นสะเทือนผิดปกติ : เกิดช่องว่างระหว่างดุมล้อ และล้อแม็ก ลมยางอ่อนลงเร็วกว่าปกติ : อาจมีบางอย่างกำลังทิ่มหรือตำยางอยู่ ยางมีเสียงดังแปลกๆ : เกิดช่องว่างระหว่างดุมล้อ และล้อแม็ก หากยางรถยนต์ของคุณกำลังเกิดอาการดังกล่าว แสดงว่าคุณกำลังละเลยยางรถจนมันเกิดปัญหาเสียแล้ว ถึงเวลาที่ต้องตรวจเช็คและดูแลอย่างละเอียด เพื่อยับยั้งปัญหาที่จะบานปลาย ที่อาจจะนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุหรือความอันตรายต่อชีวิตได้ วิธีดูแลยางรถยนต์ ยางรถยนต์ เป็นส่วนที่เห็นได้ชัดและสังเกตได้ไม่ยาก แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าควรเปลี่ยนยางตอนไหน ควรดูแลยังไง เราจึงจะมาแชร์ทริคดูแลยางง่ายๆ ให้ทุกคน ดังนี้ ตรวจสอบความดันลมยาง หากยางของคุณลมอ่อน ยางจะสะสมความร้อนอยู่ในตัว และเป็นแผลแตกได้ง่าย และหากยางของคุณมีลมมากเกินไป ยางก็อาจระเบิด และดอกยางก็เสื่อมเร็วกว่ากำหนด การตรวจเช็คความดันลมยางนั้นสำคัญมาก หากละเลยอาจส่งผลให้ยางเสื่อมไว และทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงได้ ควรใช้ความดันลมยางให้เหมาะสมตามที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ห้ามบรรทุกเกินดัชนีน้ำหนัก การบรรทุกน้ำหนักเกินดัชนีน้ำหนักที่ยางกำหนดไว้ จะทำให้ขอบยางรับน้ำหนักมากเกินจนถูกบดทับทำให้เกิดรอยแตกลายงา และเสื่อมเร็วกว่าปกติได้ 3. หลีกเลี่ยงถนนขรุขระ สภาพถนนที่มีลักษณะขรุขระของหลุมบ่ออาจทำให้แก้มยางรถบวม ดอกยางลอก และเจาะยางแตกได้ หากได้รับแรงกระแทกสูง ยางรถอาจมีรอยแตก หรือรอยบุบได้ จึงควรหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ขรุขระหากไม่จำเป็น ไม่เพียงเพื่อความปลอดภัยแต่เพื่อยืดอายุการใช้ของยางให้นานยิ่งขึ้น 4. ขับขี่อย่างนุ่มนวล ยางของรถยนต์จะสึกหรอไปมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับขับขี่รถยนต์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการเบรกอย่างระมัดระวัง ไม่เบรกกะทันหัน การเปลี่ยนเกียร์อย่างนุ่มนวล การเร่งเครื่อง และการเข้าโค้งอย่างนุ่มนวล ก็มีส่วนช่วยยืดอายุของยาง ป้องกันไม่ให้ยางของคุณสึกหรอเร็วกว่าที่ควร 5. การเช็คดอกยาง เมื่อคุณใช้รถยนต์มาเป็นเวลานาน ยางของคุณอาจเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา แต่ไม่สามารถวางใจได้เลยว่าดอกยางของยางรถจะหมดสภาพไปแบบเท่าๆ กัน การตรวจเช็คดอกยางเป็นประจำทุกปีจะช่วยให้รู้สภาพยางของรถยนต์ในขณะนั้นได้เป็นอย่างดี ทุกวิธีดูแลระบบช่วงล่างในของส่วนของเบรกและยางที่เราแชร์ให้นั้น เป็นเพียงวิธีพื้นฐานที่ช่วยให้เราสามารถดูแลรักษาเบรกและยางให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานยิ่งขึ้นได้อย่างง่ายๆ ด้วยตัวเอง ทั้งนี้การจะดูแลและตรวจเช็คระบบเบรกและยางให้แม่นยำและถูกต้องครบจุดนั้น อาจต้องพึ่งพาความชำนาญการของช่างมืออาชีพ เพื่อให้คุณมั่นใจว่าดูแลได้ครบจุดและตรงจุด สร้างความปลอดภัยในทุกการขับขี่ เราขอแนะนำให้ SCG Performance เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการดูแลตรวจเช็คระบบช่วงล่างรถยนต์ให้กับคุณ หากพบปัญหา เจออาการไม่ว่าหนักหรือเบา เราพร้อมดูแลเต็มที่โดยช่างมากประสบการณ์ ลองเข้ามาตรวจเช็คเบรกและยางที่อู่ของเราได้นะครับ Quickwash x SCG Performance
รถยนต์อัตโนมัติ หรือ ยานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous vehicle) เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ก้าวข้ามจากรถยนต์ในฝัน และภาพจำในภาพยนตร์ เข้าสู่ความเป็นจริง มีบริษัทยักษ์ใหญ่มากมายที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และกำลังเดินหน้าพัฒนาระบบ เพื่อเป็นที่หนึ่งของตลาดยานยนต์ไร้คนขับก่อนใคร บางบริษัทก็ไต่ระดับ พัฒนาความสามารถในกับขับเคลื่อนอัตโนมัติของรถยนต์ จนอยู่ในขั้นสูงกว่าที่เคยและสามารถสร้างรถยนต์กึ่งอัตโนมัติได้สำเร็จ บริษัทไหนจะเป็นตัวเต็งในสนามแห่งยานยนต์ไร้คนขับที่น่าจับตาบ้าง มาดูกัน TESLA หากพูดถึงรถยนต์อัตโนมัติ นาทีนี้ต้องมีชื่อ Tesla (เทสล่า) เป็นชื่อบริษัทอันดับแรกที่อยู่ในใจหลายๆ คนแน่นอน โดยบริษัท Tesla เป็นบริษัทผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานสะอาด 100% (Electric Vehicle) จากฝั่งสหรัฐอเมริกาที่มุ่งเน้นในการพัฒนาเทคโนโลยีไร้คนขับ โดยเริ่มเปิดตัวความอัจฉริยะของรถยนต์อัตโนมัติด้วยการใส่ระบบขับขี่อัตโนมัติ ( AutoPilot ) เข้ามาในรถยนต์ Tesla model S ซึ่งสามารถช่วยขับแทนผู้ใช้งานได้จริง แต่จัดในอยู่ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติอยู่ในระดับ 3 ( SAE Automation Levels 3 : Conditional Driving Automation ) ปัจจุบัน Tesla สามารถพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติมาจนถึงระดับที่ 4 ( SAE Automation Levels 3 : High Driving Automation ) ที่สามารถให้รถขับเคลื่อนได้เอง โดย Elon Musk ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ CEO คนล่าสุด ออกมาเผยว่ารถยนต์ที่กำลังพัฒนาอยู่นั้น จะสามารถขับเคลื่อนอัตโนมัติได้ 100% แต่จะเป็นยังไงนั้น ต้องมารอติดตามกัน Alphabet Inc. Alphabet Inc. เป็นที่รู้จักในนามของบริษัทแม่ของ Google บริษัทมองเห็นโอกาสในการสร้างรายได้จากงานวิจัย และใช้เวลากว่า 7 ปีไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเองจนพาตัวมาอยู่ในแถวหน้า ในนามบริษัทลูกอย่าง Waymo เมื่อปี ค.ศ. 2015 เริ่มมีการนำรถยนต์ขับขี่อัตโนมัติไร้คนขับมาทดลองขับขี่ใน Austin, Texus โดยให้ชายผู้บกพร่องทางการมองเห็น โดยสารรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติคันดังกล่าว พร้อมทีมวิศวกรนั่งประกบเพื่อทดสอบการใช้งานจริง และเมื่อปี ค.ศ. 2019 ได้หันมาจับมือกับบริษัทพันธมิตรอย่าง Honda และ Intel เพื่อพัฒนาชิปของรถยนต์อัตโนมัติร่วมกัน ต้องรอดูว่าการรวมพลังครั้งนี้จะสร้างนวัตกรรมไหนให้ผู้ใช้รถเซอร์ไพรส์ได้อีก ต้องติดตาม Daimler บริษัทรถยนต์สัญชาติเยอรมัน เจ้าของแบรนด์ Mercedes-Benz จับมือกับ Baidu บริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน Search Engine และเทคโนโลยีสัญชาติจีน ร่วมกันนำระบบรถยนต์อัตโนมัติขับเคลื่อนตัวเองที่ Baidu พัฒนาขึ้น มาใช้ในรถยนต์ที่ Daimler เป็นผู้ผลิต นอกจากนั้นบริษัท Daimler ได้พัฒนาระบบรถยนต์จนมีความสามารถในการขับเคลื่อนอัตโนมัติอยู่ในระดับ 3 หรือยังต้องมีมนุษย์การควบคุมอยู่นั่นเอง แต่ก็ถือว่าเป็นบริษัทที่น่าจับตา เพราะ บริษัท Daimler ได้ร่วมมือกับบริษัท Uber พัฒนารถยนต์เพื่อให้สามารถขับเคลื่ออัตโนมัติได้ในระดับ 4 และ 5 ที่สามารถขับเคลื่อนอัตโนมัติ 100% ต้องรอติดตามว่ารถดังกล่าวจะเป็นอย่างไร จะสามารถขึ้นแซง Tesla ได้หรือไม่ ต้องรอดู BMW บริษัทรถยนต์ที่เราคุ้นหูกันเป็นอย่างดี ได้ร่วมมือกับ Intel บริษัทผู้นำด้านคอมพิวเตอร์ และ Mobileye บริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยี ในนาม BMW iNEXT โดยเป็นรถนวัตกรรมใหม่ ใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ 4 ระดับ หรือคนขับเองได้เหมือนรถไฟฟ้าทั่วไป หากเกิดกรณีที่ไม่มั่นใจในระบบ เมื่อเข้าสู่โหมดขับเคลื่อนอัตโนมัติ พวงมาลัยจะหดกลับเข้าไปในแดชบอร์ด แป้นเบรกและแป้นคันเร่งก็หายไปด้วยเช่นกัน โดยคันเร่งและเบรกจะหดลงไปจมอยู่กับพื้นเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการวางเท้า เมื่อต้องการกลับมาควบคุมรถยนต์ด้วยตัวของคุณเองก็แค่กดลงไปบนตราสัญลักษณ์ BMW พวงมาลัยจะยื่นออกมาพร้อมๆ กับสัญญาณเตือนที่จะส่งมอบการควบคุมให้กับคนขับ จัดว่าเป็นรถในฝันที่น่าครอบครองอีกหนึ่งแบบ ต้องรอติดตามว่าในอนาคต BMW จะสามารถพัฒนาระบบขับเคลื่อนไปสู่ระดับ 5 หรือขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบ 100% ได้หรือไม่ ต้องรอชม Apple Inc. บริษัทคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เบอร์ต้นๆ ของโลกที่เปิดจำหน่ายสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ดีไซน์เรียบหรูจนเป็นที่นิยมของคนส่วนใหญ่ บริษัท Apple เคยมีโครงการ “ไททัน” ที่พัฒนาด้านรถยนต์อัตโนมัติในปี ค.ศ. 2014 แต่ก็ต้องพับโปรเจ็คไป ตอนนี้ Apple กำลังกลับมาพัฒนาอีกครั้ง และกำลังคืบหน้าขึ้นเรื่อยๆ Apple ได้ยื่นขอและเผยแพร่สิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ถึง 248 รายการ แต่จะออกมาหน้าแบบไหน ตรงตามโมเดลที่วางไว้ไหม ต้องรอติดตาม แม้ว่าจะยังไม่มีแบรนด์ใดที่สามารถพัฒนาและผลิตยานยนต์ไร้คนขับ หรือรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ 100% ออกมา แต่ก็ถือว่าการพัฒนาของแต่ละแบรนด์นั้นเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว รถยนต์ไร้คนขับอาจเป็นจริงได้ในอีกไม่ช้า ต้องรอติดตามว่าจะมีแบรนด์ไหนที่สามารถทำลายขีดจำกัด และพัฒนารถยนต์อัตโนมัติ 100% ได้ก่อนกัน หรือไม่แน่ว่า อาจจะมีม้ามืดนอกจาก 5 บริษัทนี้สามารถพัฒนารถยนต์ไร้คนขับได้ก่อนก็เป็นได้ เราขอแนะนำว่าให้ กดติดตาม (Subscribe) บทความนี้ไว้ เพื่อไม่ให้พลาดสาระความรู้ และติดตามข่าวสารวงการยานยนต์ก่อนใคร
หากพูดถึงความสามารถในการขับเคลื่อนของรถยนต์อัตโนมัติ หรือ ยานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous vehicle) อาจเกิดข้อถกเถียงว่ารถยนต์แบรนด์ไหนจะสามารถขับเคลื่อนอัตโนมัติ 100% เราจึงมาสรุปให้หายสงสัยว่าความจริงแล้วระดับความสามารถในการขับเคลื่อนแบ่งเป็นกี่ระดับกันแน่ แล้วแต่ระดับนั้นต่างกันอย่างไร มาดูกัน ระดับของการขับเคลื่อนรถยนต์อัตโนมัติ Society of Automotive Engineers หรือ SAE International อาจจะเป็นชื่อหน่วยงานคนใช้รถคุ้นตา เพราะเป็นหน่วยงานเดียวกันกับหน่วยงานที่แบ่งเกรดน้ำมันเครื่อง ที่เรามักจะเห็นโลโก้กันเป็นประจำอยู่ด้านข้างกระป๋อง โดยหน่วยงานนี้ยังเข้ามามีบทบาท ทำหน้าที่ในการแบ่งระดับของการทำงานของระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติด้วยเช่นกัน แบ่งเอาไว้ทั้งหมด 6 ระดับ ดังนี้ SAE Automation Levels 0: No Automation ระดับ 0 : รถจะไม่มีระบบอัตโนมัติอยู่เลย ผู้ขับขี่ที่เป็นมนุษย์จะทำหน้าที่ในการควบคุมเองทุกอย่าง ทั้งพวงมาลัย, เบรก คันเร่ง สรุปง่ายๆ ว่าระดับนี้คือ ระดับรถยนต์ส่วนใหญ่ที่วางจำหน่ายอยู่ในขณะนี้ SAE Automation Levels 1: Driver Assistance (Hands on) ระดับ 1 : ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติจะเริ่มเข้ามาช่วยเหลือผู้ขับขี่ในบางฟังก์ชั่น เช่น ระบบ Adaptive Cruise Control ที่ควบคุมคันเร่งได้อัตโนมัติ, Lane Keeping ที่ควบคุมพวงมาลัยให้อยู่ในเส้นทางเดินรถโดยอัตโนมัติ เป็นต้น โดยการทำงานของระบบอัตโนมัติจะไม่ทำงานพร้อมกัน อีกทั้งคนขับยังจำเป็นเป็นคนมองเส้นทางอยู่ และพร้อมที่จะกลับเข้าไปควบคุมได้ตลอดเวลา SAE Automation Levels 2: Partial Automation (Hands Off) ระดับนี้ จะคล้ายกับ Level 1 เพียงแต่ว่า ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติจะทำงานพร้อมกันตั้งแต่ 2 อย่างขึ้นไป อย่างเช่นระบบ Pilot Assist ของ Volvo ที่เมื่อตั้งระบบ Adaptive Cruise Control ให้ทำงาน ระบบจะทำการปรับระดับความเร็วให้อัตโนมัติ ตามที่เราตั้งค่าเอาไว้ และปรับความเร็วไปตามความเร็วรถข้างหน้าได้ พร้อมกันนี้ ระบบก็จะเข้ามาควบคุมพวงมาลัย และเบรกด้วย ทาง SAE จึงนิยามในระดับนี้ว่า Hands Off หรือปล่อยมือได้ แต่ผู้ขับขี่ก็ยังคงต้องตรวจสอบเส้นทางด้วยสายตาตัวเองอยุ่ตลอดเวลา และพร้อมกลับเข้าไปควบคุมตัวรถเองได้ทุกวินาทีเช่นเดิม SAE Automation Levels 3 : Conditional Driving Automation ในระดับนี้จะมีความสามารถในการตรวจจับสภาพแวดล้อม และสามารถตัดสินใจได้อย่างเต็มที่และอย่างชาญฉลาดยิ่งขึ้น เพิ่มขีดความสามารถในการใช้งานระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติได้ในพื้นที่ที่มีการจำกัดโซนเอาไว้ เช่น ฟรีเวย์, ไฮเวย์ โดยผู้ขับขี่สามารถละการควบคุมรถไปทำกิจกรรมอย่างอื่นในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการละสายตาจากถนนไปหยิบสิ่งของ หรืออ่านข้อความสั้นๆ ในโทรศัพท์มือถือ ทั้งนี้ผู้ขับขี่ยังคงต้องตื่นตัว เตรียมตัว และพร้อมในการเข้าควบคุมรถเองในสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่ตลอดเวลา อธิบายง่ายๆ คือ สามารถละสายตาได้ชั่วขณะ แต่ไม่สามารถละสายตาจนอ่านหนังสือจบเล่มได้ และเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เงื่อนไขการทำงานในระบบผิดพลาด รถจะมีฟังก์ชั่นขอความช่วยเหลือจากมนุษย์ด้วย โดยรถยนต์จากผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ ยังคงพัฒนาอยู่ในแค่ระดับนี้ แม้กระทั่ง Tesla เองก็ตาม SAE Automation Levels 4 : High Driving Automation ระดับ 4 เป็นระบบอัตโนมัติระดับสูง ยานพาหนะนั้นจะสามารถบังคับขับเคลื่อนและวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใต้สภาวะที่เกิดขึ้นใน ณ ขณะที่ยานหานะเคลื่อนที่ ไม่ว่าจะเป็นหลบหลีกสิ่งกีดขวาง มีรถเลี้ยวออกมาจากซอย อีกทั้งเตือนถึงความเร็วที่มากจนเกินไปในขณะขับขี่ โดยที่มนุษย์นั้นมีส่วนในการบังคับควบคุมนั้นน้อยมาก ๆ หรือแทบจะไม่ต้องบังคับเลย แต่มนุษย์ยังคงสามารถควบคุมตัวรถได้ หากเกิดสถานการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ในระดับ 4 นี้ ระบบสามารถขับเคลื่อนด้วยตัวเองอย่างสมบูรณ์ แต่ฟังก์ชันนี้มีข้อจำกัดว่าไว้เฉพาะขอบเขตพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่เฉพาะเจาะจงและสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมอื่นๆ อาจต้องเป็นเส้นทางที่ตั้งไว้ หรือ เป็นเส้นทางประจำ ไม่มีการออกนอกเส้นทางเด็ดขาด เช่น ในเมือง หรือ ชนบท ซึ่งทำให้การพัฒนารถยนต์ไร้คนขับระดับ 4 ส่วนใหญ่จะมีจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นรถรับส่งสาธารณะ ที่วิ่งด้วยความเร็วไม่สูงมาก และมีเส้นทางที่ระบุชัดเจน SAE Automation Levels 5 : Full Driving Automation (No driver!) ระดับนี้ไม่ต้องการมนุษย์มาช่วยขับอีกต่อไป เพราะระบบจะทำงาน Dynamic Driving Task เต็มประสิทธิภาพ เป็นระดับสูงสุดที่ SAE ตั้งข้อกำหนดเอาไว้ ตัวระบบไม่ต้องการการควบคุมใดๆ จากผู้ขับเลยในทุกกรณี ผู้ขับเพียงแต่สตาร์ทเครื่องและระบุจุดหมายปลายทางบนเนวิเกเตอร์เท่านั้น หรืออาจใช้อุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง เช่น สมาร์ทโฟน ดังนั้นระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติในคลาสนี้ต้องมีความสามารถในการขับเคลื่อนตัวรถเองในทุกสถานการณ์โดยไม่ละเมิดกฏหมายใดๆ และสามารถตัดสินใจประเมินสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ด้วยตัวเอง ส่วนผู้ขับสามารถทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ตามความต้องการ เป็นรถยนต์ในฝันแห่งโลกอนาคตที่พาคุณไปได้ทุกที่ตามใจต้องการ จากระดับการขับเคลื่อนรถยนต์อัตโนมัติที่กล่าวไป อาจทำให้หลายคนเข้าใจรถยนต์อัตโนมัติ หรือยานยนต์ไร้คนขับมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันยังไม่มีแบรนด์ใดพัฒนาไปได้ถึงจุดระดับ Full Driving Automation แม้แต่ระบบขับเคลื่อนกึ่งเคลื่อนอัตโนมัติจากบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Tesla Model S ที่มีชื่อทางการค้าว่า AutoPilot ก็ยังไม่ถึงขั้นอัตโนมัติ 100% และยังเป็นเพียงรถในระดับ Level 3 เท่านั้น แต่หลังจากนี้เรามารอติดตามกันดีกว่าว่า วงการยานยนต์จะสร้างความเซอร์ไพรส์ หรือบริษัทไหนจะสามารถพัฒนาระบบจนสามารถขับเคลื่อนอัตโนมัติ 100% ได้ก่อนกัน เพื่อไม่ให้พลาดข่าวสารและสาระสำคัญ กดติดตาม (Subscribe) บทความของเราไว้ได้เลย รับรองว่าจะอัพเดทให้ทันทุกเทรนด์ยานยนตแน่นอน
Autonomous vehicle อาจจะเป็นคำที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยคุ้นชิน แต่ถ้าในวงการรถและยานยนต์นั้น คงเป็นคำยอดฮิตที่หลายคนให้ความสำคัญและกำลังศึกษา รวมถึงติดตามข่าวสารอยู่ตลอดเวลาเป็นแน่ เพราะ Autonomous vehicle คือ นวัตกรรมยานยนต์ไร้คนขับ สุดยอดเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่โลกกำลังให้ความสนใจ จนมีหลากหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกกำลังแข่งขันกันพัฒนาระบบ อาทิเช่น Tesla, Apple, และ Google โดยบางบริษัทก็เริ่มมีการผลิตยานยนต์กึ่งไร้คนขับออกมาใช้บ้างแล้ว ซึ่งมีแนวโน้มว่าอาจจะมีการผลิตยานยนต์ไร้คนขับแบบเต็มรูปแบบเข้าสู่ตลาดโลกอย่างรวดเร็วในอีกไม่ช้าแน่นอน แต่ยานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous vehicle) คืออะไร รถยนต์ไร้คนขับได้จริงหรือไม่ มาดูกัน ยานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous vehicle) คืออะไร? ยานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous vehicle หรือ Self-driving Car) คือ เทคโนโลยีที่ทำให้ยานพาหนะหรือรถยนต์สามารถรับรู้สภาพแวดล้อมรอบข้าง และสามารถขับเคลื่อนไปยังที่ต่างๆ ได้เองแบบอัตโนมัติและปลอดภัย โดยที่มนุษย์ไม่จำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง หรือไม่จำเป็นต้องมีผู้โดยสารที่เป็นมนุษย์อยู่ในรถเลยก็ได้ ซึ่งความล้ำหน้าสุดเจ๋งนี้ เกิดจากการใช้นวัตกรรมของเทคโนโลยีหลักๆ 4 เทคโนโลยี ดังนี้ Computer Vision : เทคโนโลยีที่ทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาให้กับยานยนต์ไร้คนขับ โดยใช้กล้อง และเรดาร์ตรวจจับคลื่นต่างๆ ทั้งเสียงและวัตถุโดยรอบเมื่อรถวิ่ง 2. Robotic : เทคโนโลยีที่ทำหน้าที่เสมือนเส้นประสาทที่เชื่อมต่อสมองของมนุษย์เข้ากับแขนขาและส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยทำการเชื่อมต่อระบบประมวลผลส่วนกลางเข้ากับระบบเครื่องจักรต่างๆ ในตัวรถ 3. Deep Learning : เทคโนโลยีที่เป็นสมองของยานยนต์ไร้คนขับ สามารถตัดสินใจควบคุมรถได้ด้วยระบบตนเอง โดยมาจากการประมวลผลข้อมูลที่รับมาจากระบบ Computer Vision 4. Navigation : เทคโนโลยีที่เป็นระบบแผนที่ที่เราคุ้นหูกันดี โดยประกอบด้วยระบบการระบุตำแหน่งของรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติจากดาวเทียม และระบบแผนที่เสมือนจริงที่เก็บรวบรวมข้อมูลในคลังข้อมูลดิจิทัล ทั้งนี้ยังทำหน้าที่เก็บข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการวิ่งของรถบนถนน เช่น ตำแหน่งของไฟจราจร ตำแหน่งทางม้าลาย ป้ายสัญญาณต่างๆ รวมถึงความเร็วสูงสุดที่กฎหมายอนุญาตให้รถวิ่งได้ในถนนแต่ละเส้น ยานยนต์ไร้คนขับจะใช้ระบบแผนที่ซึ่งประมวลผลร่วมกับระบบ Sensor เพื่อเพิ่มความถูกต้องและแม่นยำในการตัดสินใจให้เสถียร์มากยิ่งขึ้น ข้อดีของยานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous vehicle) ขับขี่สะดวกสบายมากขึ้น : ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางระยะทางสั้นหรือยาว ใกล้หรือไกล ระบบช่วยขับอัตโนมัติของยานยนต์ไร้คนขับ จะช่วยทำให้ผู้ใช้สามารถงีบหลับ พักผ่อน เพื่อคลายความเมื่อยล้าได้ในขณะขับรถได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเวลาที่รถติด การจราจรหนาแน่น ยานยนต์ไร้คนขับก็จะช่วยผ่อนแรงไปได้มาก หมดปัญหาปวดขา อีกทั้งยังช่วยทำให้อัตราการเกิดอุบัติเหตุจากความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ลดลงได้อีกด้วย อัตราการเกิดอุบัติเหตุบนถนนลดลง : เนื่องจากยานยนต์ไร้คนขับทุกคันนั้นมีกล้องมองรอบทิศทาง มีเซ็นเซอร์ตรวจจับ อีกทั้งยังใช้ความเร็วที่เหมาะสมกับสภาพการจราจร จึงทำให้อุบัติเหตุจากการขับจี้ท้าย ปาดหน้า และหลับใน มีอัตราและแนวโน้มที่จะลดน้อยลงซึ่งจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนนให้มากขึ้นไปอีก มีเวลาชีวิตเพิ่มมากขึ้น : เมื่อยานยนต์ไร้คนขับสามารถขับเคลื่อนได้อย่างอัตโนมัติ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถนำเวลาในการเดินทางไปทำอย่างอื่นได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้บนรถ หรือการใช้รถให้ขับขี่ไปยังที่หมายแทนตัวผู้ขับขี่ และทำกิจกรรมที่สำคัญหรือเร่งด่วนกว่า นอกจากนั้นยานยนต์ไร้คนขับยังช่วยลดการเกิดรถติด และทำให้ระยะเวลาในการเดินทางสั้นลง McKinsey มีการประเมินเบื้องต้นว่าเมื่อยานยนต์ไร้คนขับเข้าสู่รถยนต์กระแสหลักของโลก จะช่วยประหยัดเวลาในท้องถนนรวมๆ แล้วกว่า 1 พันล้านชั่วโมงต่อวัน ข้อเสียของรถยนต์ไร้คนขับ (Autonomous vehicle) อันตรายจากความไม่ชัดเจนของป้ายจราจร : ถึงแม้ยานยนต์ไร้คนขับจะมีความสามารถในการใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับและอ่านป้ายจราจร แต่หากเกิดกรณีที่ป้ายจราจรทำชำรุดหรือมีร่องรอยจนอ่านได้ยากและไม่ชัดเจน อาจส่งผลให้ระบบประมวลผลทำงานผิดพลาด และนำไปสู่การตัดสินที่ผิดพลาดได้ อันตรายจากผิวถนน : ระบบของยานยนต์ไร้คนขับอาจจะไม่สามารถแยะสภาพพื้นผิวของถนนที่เปลี่ยนไปทุกวันได้ เซ็นเซอร์อาจแยกหลุมบ่อบนพื้นถนนผิดพลาด และหากตกหลุมที่ลึกมากๆ อาจส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุได้ อันตรายจากรถยนต์คันอื่น : เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ไม่สามารถควบคุมได้กับการใช้รถหรือยานยนต์ไร้คนขับบนท้องถนนร่วมกับผู้อื่น เพราะไม่ใช่รถทุกคันที่จะใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ผู้ขับขี่ที่มีพฤติกรรมการขับขี่ตามใจตนเอง หรือยากในการประมวลผลผ่านระบบ เช่น การขับปาดหน้า และขับย้อนศร อาจส่งผลให้ยานยนต์ไร้คนขับตัดสินใจผิดพลาด และนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้ ราคาแพงกว่ารถยนต์ทั่วไป : แม้จะได้รับความนิยมและความสนใจเป็นอย่างมาก แต่ต้องยอมรับว่าในปัจจุบัน ยานยนต์ไร้คนขับนั้นมีราคาค่อนข้างสูงมาก เป็นราคาที่เกินเอื้อมสำหรับบุคคลทั่วไป ตัวอย่างเช่น รถยนต์ไร้คนขับอย่าง Tesla Model S มีราคาขานในประเทศไทย คือ 6.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาสูงมากสำหรับรถยนต์ทั่วไป ทำให้เป็นเพียงรถในฝันของบุคคลทั่วไปเท่านั้น แต่ในอนาคตก็มีแนวโน้มที่ราคาจะต่ำลงจนคนทั่วไปเอื้อมถึงได้ อย่างไรก็ตามยานยนต์ไร้คนขับก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจและน่าติดตามมากสำหรับชาวรักรถทุกคน วันนี้เรามาแนะนำเพียงข้อมูลเบื้องต้นของยาวยนต์ไร้คนขับ ครั้งหน้าเราจะเอาข้อมูลข่าวสารของยานยนต์ไร้คนขับในแง่มุมหรือด้านไหนมาฝาก รอติดตามได้เลย หรือสามารถ กดติดตาม (Subscribe) บล็อกของเราไว้ได้ เพื่ออ่านข้อมูลและสาระดีๆ ได้ก่อนใครเลย
หากพูดถึงคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ค หรือแล็ปท็อป ชื่อของ Macbook คงเป็นคำค้นหายอดฮิต และเป็นชื่อแรกที่ลอยเข้ามาในหัวเป็นแน่ เพราะไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็เจอใครต่อใครจับจองเป็นเจ้าของเจ้าแล็ปท็อปดีไซน์เรียบหรูรุ่นนี้ทั้งนั้น จะนักศึกษา หรือคนวัยทำงานก็ใช้กัน ขนาดเปิดหน้าจอทีวีก็ยังเจอเจ้า Macbook เป็นอุปกรณ์ประกอบฉากการทำงานของพระเอกนางเอกแทบทุกเรื่องไป แล้วจะไม่ขึ้นแท่นให้เป็นแล็ปท็อปนัมเบอร์วันก็คงไม่ได้ แต่อะไรที่เป็นสาเหตุให้ Macbook เป็นอุปกรณ์พกพาสุดปังในวงการคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊คกัน วิวัฒนาการที่ตอบโจทย์การใช้งานของ Macbook ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากว่าจะเป็น Macbook ที่มีระบบปฏิบัติการสุดล้ำ สเปกสุดแรง และดีไซน์สุดจึ้งในเวอร์ชั่นอย่างทุกวันนี้ ทุกอย่างได้ผ่านกระบวนการคิด และพัฒนาโดยบริษัท Apple มาหมดแล้ว เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้งานมากที่สุด โดยแรกเริ่มจุดกำเนิดของ Macbook เริ่มจากคอมพิวเตอร์พกพาเครื่องแรกอย่าง Macintosh Portable ในปี ค.ศ. 1989 แม้รุ่นนี้ไม่ได้รับความนิยมมากนัก แต่ก็ได้รับเสียงฮือฮาในวงการเทคโนโลยี เพราะ Apple สร้างความแตกต่างด้วยระบบแบตเตอรี่ ทำให้เครื่องสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียบปลั๊ก หลังจากนั้น Apple ก็มีการเปิดตัวคอมพิวเตอร์พกพาในชื่อ Powerbook ออกมาอีกหลายรุ่น ซึ่งได้รับความสนใจและเสียงฮือฮาบ้าง แต่อาจยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2001 ยุคทองของ iBook ก็เริ่มต้นขึ้น Apple เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายหันมาจับกลุ่มผู้ใช้งานทั่วไป ทำให้คอมพิวเตอร์พกพารุ่นนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และในด้านดีไซน์ iBook ได้มีการออกแบบผ่านแนวคิดใหม่ จึงทำให้เป็นแล็ปท็อปที่มีรูปทรงล้ำสมัยพร้อมสีสันที่สะดุดตา เช่น สี Aqua ยิ่งสร้างอิทธิพลให้ Macintosh กลับเข้ามาอยู่ในระบบอีกครั้ง แม้ว่าในประเทศไทยในยุคนั้นอาจมีการเข้าถึงและการใช้งาน Macintosh เฉพาะกลุ่ม และแพร่หลายไม่มากนักก็ตาม ด้วยกระแสความนิยมของ iBook ที่เพิ่มขึ้นนั้นทำให้ Apple ได้พัฒนาและเปิดตัว Macbook รุ่นแรกขึ้นในปี ค.ศ. 2006 มีตัวเครื่องบางกว่าเดิม 20% ใช้ซีพียู Intel Core Duo แรงกว่า iBook ถึง 5 เท่า และแรงกว่า PowerBook รุ่น 12 นิ้ว ถึง 4 เท่า หน้าจอของ MacBook มีขนาด 13.3 นิ้ว มีความสว่างมากกว่า iBook และ PowerBook 79% มีกล้อง iSight ในตัว พร้อม MagSafe มีตัวเครื่องให้เลือก 2 สี คือ สีขาวและดำ ราคาเปิดตัว $1,099 สำหรับสีขาว และ $1,499 สำหรับสีดำ นอกจากนั้นยังมาพร้อมกับ MacBook Pro หน้าจอขนาด 15 นิ้ว มีความสว่างกว่ารุ่นก่อน ๆ 67% พร้อม Trackpad แบบ Scroll ได้ และมีเซนเซอร์ตรวจจับเวลาทำเครื่องตกพื้นเพื่อช่วยป้องกันฮาร์ดดิสก์เสียหาย ใช้ซีพียู Intel แรงกว่า PowerBook G4 ถึง 4 เท่า ราคาเปิดตัว $1,999 ซึ่งได้รับกระแสความนิยมอย่างถาโถม สร้างฐานแฟนคลับจากมหาศาลให้กับ Apple และเสียงฮือฮาก็กลับมาดังกระหึ่มอีกครั้งในปี ค.ศ. 2008 เมื่อ Steve Jobs เทบางสิ่งรูปร่างคล้ายแล็ปท็อปออกจากซองเอกสารสีน้ำตาลที่ใช้งานตามออฟฟิศทั่วไป บนเวทีงาน Mac World 2008 และนั่นคือ การเปิดตัว Macbook Air อย่างเป็นทางการ จัดว่าเป็นแล็ปท็อปที่บางและเบาที่สุดในยุค จนมีหลากหลายแบรนด์นำไปเป็นต้นแบบของ Ultrabook ในช่วงหลัง Macbook ดีกว่าโน้ตบุ๊คทั่วไปอย่างไร ในยุคแห่งเทคโนโลยีทำให้เรามีตัวเลือกมากมาย และทำไม Macbook ถึงขึ้นแท่นแล็ปท็อปนัมเบอร์วัน คอมพิวเตอร์ในฝันของคนทำงาน มีดูข้อดีหรือจุดแข็งที่เหนือกว่าแบรนด์อื่นอย่างไร มาดูกัน MacBook มีระบบปฏิบัติการเสถียรภาพสูงอย่าง MacOS ต้องยอมรับว่า MacBook ครองใจผู้ใช้งานระดับมืออาชีพ ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในกลุ่ม ช่างภาพนิ่ง ช่างวิดีโอ และนักตัดต่อวิดีโอ เพราะสามารถใช้ในงานตัดต่อวิดีโอ หรือกราฟฟิคต่างๆ หรือ CG ได้เป็นอย่างดี ไม่กระตุก ในวงการเพลงก็พบว่านักดนตรีส่วนใหญ่มักจะนำ MacBook ไปใช้กับการทำเพลง นอกจากนี้ก็ยังมีสถาปนิกที่นำไปใช้ในการออกแบบโครงสร้างบ้าน หรืออาคาร 3 มิติ เนื่องจากระบบปฏิบัติการ MacOS มีความเสถียรภาพสูงมาก ไม่ค่อยพบปัญหา หรืออาการงอแงบ่อยเท่า Windows ทำให้ผู้ใช้งานค่อนข้างพอใจนั่นเอง MacBook มีแบตอึดมาก และให้ประสบการณ์ใช้งานที่ดี MacBook ในบางรุ่นสามารถใช้งานต่อเนื่องบนแบตเตอรี่ได้มากถึง 13 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว รวมไปถึงหน้าจอ Retina Display ที่เป็นจอภาพคุณภาพสูง ให้ความละเอียดที่มากกว่า Notebook ทั่วไป อีกทั้งยังมีขอบเขตสีที่เกิน 100% sRGB จนทำให้อยู่เหนือกว่าคู่แข่งแบรนด์อื่น ไม่ใช่เพียงแบตเตอรี่ ส่วนอื่นของ MacBook เองก็มีความทนทานเป็นอย่างมากเช่นกัน MacBook มีความเข้ากันของฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจาก Apple เป็นผู้ออกแบบ และพัฒนาทั้งในส่วนของตัวเครื่อง ฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการ MacOS จึงทำให้ไม่เกิดอุปสรรคในเรื่องของการเข้ากันได้ของฮาร์ดแวร์ต่างๆ และสามารถซิงค์ข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ของ Apple ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น iMac, iPad หรือ iPhone การส่งไฟล์แชร์ไฟล์ ทำให้ระหว่าง MacOS และ iOS ทำงานกันได้แบบไร้รอยต่อทีเดียว จึงได้รับการยอมรับจากเหล่าคนทำงานมืออาชีพ เหตุผลที่เรากล่าวไปทั้งหมดนั้น อาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้ Macbook ขึ้นแทน No.1 ในกลุ่มแล็ปท็อป ยังมีเหตุผลอีกมากมายที่ทำให้ Macbook ครองใจผู้ใช้งานทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ ถึงแม้จะมีราคาที่สูงกว่าแล็ปท็อปแบรนด์ส่วนใหญ่ แต่ด้วยประสิทธิภาพที่ Macbook ทำได้ก็ถือว่าคุ้มค่าที่จะยอมจ่าย แถมยังมีรูปลักษณ์และดีไซน์ที่เรียบหรูโดดเด่นอีก ไม่มีเหตุผลไหนที่ปฏิเสธคำพูดที่ว่า คอมพิวเตอร์ในฝัน ได้เลย ใครที่เป็นสาวก Apple และ Macbook มารอลุ้นกันดีกว่ารุ่นต่อไปจะเปิดตัวได้ปังขนาดไหน หรือสามารถ กดติดตามBlog ของเราได้ หากมีข่าวสารอัปเดตอย่างไร เราจะรีบเอามาแชร์ให้ทุกคนได้อ่านกันแน่นอน Quickwash x Carmunity
ระยะเวลา 40 กว่าปีที่บริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีอย่าง Apple Inc. ครองใจผู้ใช้งานมาอย่างยาวนาน และตอนนี้ถูกจัดเป็นแบรนด์ด้านอุตสาหกรรมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ได้ความนิยมสูงสุด และยังสามารถสร้างรายได้เป็นอันดับต้นๆ ของโลก อะไรที่ทำให้พวกเขาเติบโต และก้าวหน้าได้อย่างต่อเนื่อง เราจะมาเปิดประวัติความเป็นมาให้ทุกคนได้ทราบกัน จุดเริ่มต้นของ Apple ย้อนเวลากลับไปในช่วงปี ค.ศ. 1976 ในยุคสมัยที่คอมพิวเตอร์มีขนาดใหญ่เท่าผนังบ้าน บริษัท Apple ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกให้เข้าสู่ความล้ำสมัย ลบล้างอุปกรณ์ชิ้นใหญ่ที่เคยมีมา ซึ่งแนวคิดที่ว่าเกิดขึ้นโดย 3 หนุ่ม ได้แก่ Ronald Wayne พนักงานด้านอิเล็กทรอนิกส์วัย 42 ปี ผสมโรงกับ Steven Wozniak และ Steven Jobs สองหนุ่มที่ออกจากมหาวิทยาลัยโดยมีเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงวิถีการใช้คอมพิวเตอร์ของผู้คนให้เรียบง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น พวกเขามีจุดประสงค์ในการก่อตั้งบริษัทเพื่อจำหน่ายคอมพิวเตอร์ระบบส่วนบุคคล เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กลง สามารถใช้ที่บ้าน หรือสำนักงานได้อย่างสะดวก โดยคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่วางจำหน่าย คือ Apple I ซึ่งเป็นเพียงแผงวงจรเท่านั้น ไม่มีคีย์บอร์ดและเคส แต่ผลประกอบการกลับไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และหลังจากนั้นไม่นาน Ronald Wayne ก็ลาออกจากบริษัท Apple ไป แต่บริษัทก็พยายามเดินหน้าคิดค้น จนกลับมาได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายอีกครั้งด้วย Apple II สินค้าที่พลิกฟื้นและสร้างกำไรให้กับบริษัทอย่างล้นหลาม เป็นคอมพิวเตอร์ที่มาพร้อมคีย์บอร์ดและเคสในตัว ถูกใจผู้คนจำนวนมากในขณะนั้น แต่แน่นอนว่าการแข่งขันก็สูงขึ้นเช่นกัน เพราะยุคนั้นเป็นยุคบุกเบิกของวงการคอมพิวเตอร์ มีหลายบริษัทเกิดขึ้น และเติบโตตามๆ กันมา ในช่วงปี ค.ศ. 1979 บริษัท Apple เริ่มพัฒนาคอมพิวเตอร์สำหรับใช้งานส่วนบุคคล โดยนำอินเตอร์เฟซผู้ใช้แบบกราฟิก (GUI) เข้ามาใช้บนคอมพิวเตอร์ด้วย ในขณะนั้นบริษัทได้มีการแบ่งทีมพัฒนาออกเป็น 2 ทีม คือทีมพัฒนาคอมพิวเตอร์ Lisa และ Macintosh ปรากฏว่าหลังจากเปิดตัวโปรเจคคอมพิวเตอร์ Macintosh ได้รับความนิยมจากตลาดและสร้างเม็ดเงินให้กับบริษัทเป็นจำนวนมาก ความสำเร็จที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในครั้งนี้ นำพาบริษัทเข้าตลาดหุ้นได้ในปี ค.ศ. 1980 และทำให้ Steve Jobs กลายเป็นมหาเศรษฐี แต่แล้วก็มีปัญหาเกิดขึ้นภายในบริษัท การตัดสินใจที่ผิดพลาดทำให้ Steve Jobs ต้องลาออกจากบริษัทที่สร้างมา พร้อมกับก่อตั้งบริษัทใหม่ภายใต้ชื่อ NeXT Inc. และได้มีการพัฒนาระบบฏิบัติการของตนเองที่เป็นต้นแบบของ Mac OS X ในปัจจุบัน ซึ่งนั่นคือการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดของ Apple เพราะคอมพิวเตอร์พกพาเครื่องแรกอย่าง Macintosh Portable กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร และหลังจากนั้นไม่นาน Microsoft บริษัทคู่แข่งได้ส่ง Windows 3.0 เข้ามาชิงส่วนแบ่งทางการตลาดไป อีกทั้งยังเกิดการฟ้องร้องกันขึ้นในกรณีเกี่ยวกับการลอกเลียนกราฟิกอินเตอร์เฟซ (GUI) ส่งผลให้สถานการณ์ของบริษัท Apple แย่ลง แม้จะเปิดตัวคอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็กอย่าง PowerBook ที่สามารถสร้างเม็ดเงินเข้าบริษัทได้อย่างมาก ก็ไม่สามารถทวงคืนตำแหน่งผู้นำแห่งวงการเทคโนโลยีได้ แต่อุปกรณ์ที่เปิดตัวในครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นและต้นแบบชิ้นงานสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นในเวลาต่อมา ยุครุ่งเรืองของ Apple ยุคเรืองรองของ Apple ได้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง เมื่อ Apple ตัดสินใจประกาศซื้อกิจการของบริษัท NeXT Inc. ในปี ค.ศ. 1996 เพื่อดึงตัว Steve Jobs กลับมาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา และได้เป็น CEO ในปีถัดมา เขาตัดสินใจทำข้อตกลงกับ Microsoft โดยให้เข้ามาลงทุนเป็นจำนวนเงิน 150 ล้านเหรียญ พร้อมกับข้อแลกเปลี่ยนให้สามารถนำ Microsoft Office มาใช้บนคอมพิวเตอร์ Macintosh (Mac) ได้ พร้อมทั้งยังเปิดตัว Apple Store ร้านค้าออนไลน์สำหรับซื้อสินค้าของบริษัทหลังจากนั้นในปีถัดๆ มา Apple ก็ทยอยเปิดตัวสินค้าที่พลิกโฉมวงการเทคโนโลยี เริ่มต้นจากคอมพิวเตอร์ที่เป็นศูนย์รวมความบันเทิงทั้งหลายอย่าง iMac ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภค ส่งผลให้ยอดขายพุ่งทะยานอย่างรวดเร็วในปี ค.ศ. 1998 ต่อด้วย iPod สินค้าที่ฉีกแนวของบริษัทออกจากวงจรของคอมพิวเตอร์ สร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการอุปกรณ์ไลฟ์สไตล์เพื่อความบันเทิง สร้างผลกำไรอย่างมหาศาลให้กับบริษัทในปี ค.ศ. 2001 และหลังจากนั้นเพียง 2 ปี ร้านค้าเพลงออนไลน์อย่าง iTunes ได้ถือกำเนิดขึ้น และส่งผลให้ Apple ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยภายในปีแรกนั้นสามารถสร้างยอดขายได้ถล่มถลาย มากกว่า 100 ล้านเพลง และมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากถึง 70% และเมื่อเวลาเดินทางมาถึงปี ค.ศ. 2007 บริษัท Apple ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของวงการโทรศัพท์ เมื่อพวกเขาได้เปิดตัว Smart Phone ที่มาพร้อมหน้าจอสัมผัสอย่างเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรกอย่าง iPhone ซึ่งเป็นการปรับโฉมวงการโทรศัพท์ และสร้างกระแสสมาร์ทโฟนให้เริ่มเติบโตขึ้น และกลายเป็นต้นแบบของโทรศัพท์รุ่นใหม่ๆ ในเวลาต่อมา นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว App Store ที่เป็นแหล่งรวบรวมแอพพลิชั่นเสริมต่างๆ ให้สามารถโหลดใช้งานเพิ่มเติมได้อีกด้วย และอีกผลงานยอดนิยมที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ iPad อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์คล้ายสมาร์ทโฟนที่มีหน้าจอใหญ่จุใจ ใบเบิกทางสำคัญสำหรับวงการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลให้หลากหลายแบรนด์คิดค้นและพัฒนาจนเกิดเป็น แท็บเล็ต ซึ่งการเปิดตัวในครั้งนี้ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคและเหล่าสาวกเป็นอย่างมาก Apple ไม่เคยหยุดยั้งการคิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยี อัปเกรดสินค้าที่มี ให้เกิดรูปแบบใหม่และเวอร์ชั่นที่ดีขึ้นในทุกๆ ปี รวมถึง Gadget ที่ช่วยเสริมความสะดวกสบายอย่าง AirPods และ Apple Watch ที่เข้ามาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนส่วนใหญ่มากยิ่งขึ้น จนมีแฟนคลับและเหล่าสาวกจำนวนมหาศาลที่พร้อมตั้งตารอ ซึ่งผลงานความสำเร็จที่เราเอามาฝากนี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่ของ Apple เท่านั้น พวกเขายังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อครองใจผู้บริโภคส่วนใหญ่ในตลาดเสมอมา มารอลุ้นกันดีกว่าว่าผู้นำวงการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่าง Apple จะสร้างสรรค์อะไรให้ผู้บริโภคประทับใจได้อีก ถ้าหากมีอะไรเปิดตัวล่ะก็ เราจะรีบเอามาแชร์ให้ผู้อ่านทุกคนได้ตื่นเต้นไปด้วยกันให้เร็วที่สุดเลย อย่าลืมกด Subscribe เว็บไซต์นี้ไว้ เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางให้คุณติดตามข่าวสาร รวมถึงเทรนด์จากทุกวงการได้รวดเร็วมากกว่าใคร ขอบคุณที่มา : apple-history.com
การดูแลเรื่องน้ำมันเครื่องรถยนต์ เป็นหน้าที่สำคัญที่เจ้าของรถทุกคนควรใส่ใจ และไม่ควรละเลย ทั้งเพื่อความปลอดภัย และเพื่อยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ให้นานยิ่งขึ้น เพราะน้ำมันเครื่องเป็นส่วนสำคัญดั่งเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงเครื่องยนต์ให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าควรดูแลเรื่องนี้ยังไง ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตอนไหนกันแน่ เราจึงอยากแนะนำทริคดีๆ ที่ช่วยทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องง่ายที่ดูแลเองได้ หลายคนที่เพิ่งซื้อรถใหม่อาจจะศึกษาจากคู่มือรถที่เพิ่งได้มา ซึ่งมีรายละเอียดบอกเอาไว้ชัดเจน แต่สำหรับคนที่ใช้รถมานานแล้วอาจจะหาคู่มือไม่เจอ หรือหลงลืมหลักการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องไปว่าควรดูแลยังไง ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตอนไหน เราจึงจะมาแชร์ทริคเรื่องการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องกัน โดยแบ่งรถที่ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ รถที่มีอาการผิดปกติ และรถที่ไม่มีอาการผิดปกติ แต่ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง คุณอยู่กลุ่มไหน มีหลักการดูแลและเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแตกต่างกันยังไงบ้าง มาดูไปพร้อมๆ กันเถอะ กลุ่มที่ 1 รถที่มีอาการผิดปกติ ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เริ่มจากกลุ่มรถยนต์ที่มีอาการบ่งชี้ว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องได้แล้ว ซึ่งบอกคนอาจจะได้ไม่สังเกตว่านี่แหละ คือสัญญาณครั้งใหญ่ให้รีบไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่องได้แล้ว จะมีอาการอะไรบ้าง มาดูกัน… 1. เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นผิดปกติ ให้ลองสังเกตทุกครั้งที่ขับรถว่ามีเสียงที่ดังมาจากห้องเครื่องรถยนต์หรือไม่ ซึ่งเป็นเสียงที่ดังกว่าปกติ ถ้าหากมี ควรจอดรถ และลงจากรถเพื่อตรวจเช็คทันที เพราะการที่เครื่องยนต์มีเสียงที่ดังผิดปกตินี้ อาจมีสาเหตุมาจากน้ำมันเครื่องแห้ง หรือต่ำเกินไป 2. อัตราเร่งอืด ขณะขับรถ หากคุณเหยียบคันเร่งแล้วรู้สึกว่ารถยนต์ของคุณมีอัตราเร่งที่อืด หรือแย่ลงอย่างผิดปกติจนรู้สึกได้ อาจเป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าน้ำมันเครื่องของรถคุณเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว ควรตรวจเช็คและเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทันที 3. สีของน้ำมันเครื่องเปลี่ยนไป โดยปกติแล้วเรามักจะคุ้นชินและจดจำได้ว่า น้ำมันเครื่องใหม่ที่ยังมีคุณภาพดีเยี่ยมนั้นจะมีสีเหลืองทองโปร่งแสงเล็กน้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไป สีน้ำมันเครื่องรถยนต์มักจะมีสีเข้มขึ้นเนื่องจากสิ่งสกปรกภายในเครื่องยนต์จะถูกชะล้างติดมากับตัวน้ำมันเครื่อง หากปล่อยให้เครื่องยนต์หล่อลื่นไปกับน้ำมันดำๆ อาจทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพน้อยลง ควรทำการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทันที กลุ่มที่ 2 รถที่ไม่มีอาการผิดปกติ แต่ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง หากเช็คแล้วว่ารถของคุณยังไม่พบเจอกับอาการผิดปกติที่กล่าวไปข้างต้น และก็ไม่แน่ใจด้วยว่าตอนนี้ถึงเวลาที่ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแล้วหรือยัง เราจึงอยากให้คุณสังเกตว่า คุณใช้รถบ่อยแค่ไหน เพราะความถี่ในการใช้งานนั้นสามารถแบ่งหลักการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องได้เป็น 2 กลุ่มย่อยๆ เป็นกลุ่มแบบไหนบ้าง มาดูกัน… ใช้งานรถบ่อย = เปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะทาง สำหรับคนที่ใช้งานรถยนต์บ่อย ใช้รถเป็นประจำ ขับไปทำงาน หรือไปทำธุระบ่อยๆ เราแนะนำให้คุณเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะทางที่ขับขี่ ลองสังเกตเลขไมล์รถยนต์ หากระยะทางถึงกำหนดต้องเปลี่ยนแล้ว ให้หาเวลาพารถคู่ใจไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่องได้เลย ซึ่งปกติแล้วผู้ใช้รถส่วนใหญ่มักจะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุกๆ 8,000 - 10,000 กิโลเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของน้ำมันเครื่องที่เราใช้ด้วยว่าเหมาะสมที่จะเปลี่ยนที่ระยะเท่าใด เพื่อไม่ให้เป็นการสิ้นเปลือง น้ำมันเครื่องธรรมดา (ปิโตรเลียม) ควรเปลี่ยนที่ระยะ 7,000 - 7,500 กิโลเมตร น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ ควรเปลี่ยนที่ระยะ 10,000 - 15,000 กิโลเมตร น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ ควรเปลี่ยนที่ระยะ 15,000 - 20,000 กิโลเมตร ใช้งานรถน้อย = เปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะเวลา สำหรับคนที่ใช้งานรถน้อย เป็นรถที่จอดไว้เฉยๆ นานๆ ทีถึงจะถอยออกมาใช้สักครั้ง เลขไมล์ไม่ค่อยขยับ เราแนะนำให้คุณนับระยะเวลาการใช้งานว่า ใช้รถคันนี้มานานแค่ไหนแทนการดูจากระยะทาง โดยปกติแล้วรถที่ใช้งานน้อย ควรเปลี่ยนทุก 6 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของน้ำมันเครื่องที่เราใช้ด้วยเช่นกัน น้ำมันเครื่องธรรมดา (ปิโตรเลียม) ควรเปลี่ยนทุก 6 เดือน น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ ควรเปลี่ยนทุก 6 - 9 เดือน น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ ควรเปลี่ยนทุก 1 ปี นอกจากการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแล้ว ควรเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องพร้อมกับการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องไปด้วย เพื่อช่วยให้น้ำมันเครื่องที่เปลี่ยนใหม่นั้น สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ให้นานยิ่งขึ้นอีกด้วย ทริคที่เรานำมาแชร์วันนี้น่าจะทำให้หลายคนเข้าใจแล้วว่าควรดูแล และเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตอนไหน เพื่อต่ออายุการใช้งานเครื่องยนต์ให้นานยิ่งขึ้น หากพบว่ารถของคุณถึงเวลาอันสมควรแล้วที่จะ เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง แต่ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนที่ไหนดี เราแนะนำให้คุณขับรถคู่ใจเข้ามาเปลี่ยนน้ำมันเครื่องที่ SCG Performance ได้เลย เพราะอู่ของเราเป็นอู่ซ่อมรถมาตรฐานสูง ให้บริการด้านการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองน้ำมันเครื่องครบครัน โดยช่างมากประสบการณ์ อีกทั้งยังรับตรวจเช็คและซ่อมดูแลรถอาการอื่นด้วยความตั้งใจ การันตีว่าเซอร์วิสครบจบในที่เดียว ลองมากันได้เลยนะครับ Quickwash x SCG Performance