บริการ Drive Thru เป็นอีกบริการหนึ่งในไทยที่ได้รับความนิยมหลายคนเลือกใช้บริการ เพราะทั้งสะดวกและรวดเร็ว แถมยังเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ยิ่งในช่วงสถานการณ์โควิดที่ผ่านมาหลายธุรกิจหันมาปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ด้วยการปรับเปลี่ยนแนวทางในการดำเนินธุรกิจบริการ ให้สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป บริการ Drive Thru คือ บริการที่เพียงแค่คุณขับรถเข้าไปใช้บริการโดยที่ตัวคุณเองไม่จำเป็นต้องลงจากรถ หากเป็นร้านอาหารก็สามารถรับของอร่อยได้เลยทันที ในช่วงสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ที่ผ่านมาทำให้หลากหลายธุรกิจเสริมบริการแบบ Drive Thru ขึ้นมาเพื่อตอบโจทก์ผู้บริโภค วันนี้เราได้รวบรวมธุรกิจที่มีบริการ Drive Thru มาให้ทุกคนทราบกันค่ะ จะมีธุรกิจอะไรบ้างไปดูกันเลยค่ะ DRIVE-THRU Food (บริการด้านอาหาร) KFC Drive Thru แบรนด์ไก่ทอดชื่อดังที่ใครๆ ก็รู้จัก มีสาขาทั่วประเทศไทย มีตัวเลือกให้ตั้งแต่ สามารถนั่งทานที่ร้าน สั่งเดลิเวอรี่ หรือบริการไดร์ทรู ร้านเปิดบริการ : แล้วแต่สาขา โทร : 1150 เว็บไซต์ : https://www.facebook.com/kfcth Burger King Drive Thru สายเบอร์เกอร์ แน่นอนว่าจะต้องไม่พลาดกับร้าน Burger King ร้านเบอร์เกอร์ชื่อดังแสนอร่อย ที่มีสาขามากมาย ซึ่งเบอร์เกอร์คิงก็มีให้บริการ Drive Thru เช่นกัน ร้านเปิดบริการ : แล้วแต่สาขา โทร : 1112 เว็บไซต์ : https://www.facebook.com/BurgerKingThailand McDonald's Drive Thru จะนับว่าเป็นแบรนด์แรกๆ ที่เริ่มต้นทำบริการแบบ Drive Thru เลยก็ว่าได้ ร้านอาหารฟาสฟู๊ดส์ชื่อดังนี้มีบริการมาอย่างยาวนาน สามารถบริการได้รวดเร็ว สะดวก และคุณภาพดีอีกด้วย ร้านเปิดบริการ : แล้วแต่สาขา โทร : 1711 เว็บไซต์ : https://www.facebook.com/McThai Starbucks Drive Thru สายกาแฟ แบรนด์ชั้นนำที่เริ่มขยายการบริการแบบ Drive Thru มากขึ้นเรื่อยๆ เป็นแบรนด์กาแฟอันดับต้นๆ ในตลาด จึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับการบริการ รสชาติ อาหารที่มีคุณภาพดีอย่างแน่นอน ซึ่งตอนนี้มีสาขาทั่วประเทศเกือบ 10 สาขาแล้ว ร้านเปิดบริการ : แล้วแต่สาขา โทร : 0-2339-0996 เว็บไซต์ : https://www.facebook.com/StarbucksThailand Café Amazon Drive Thru ร้านกาแฟชื่อดังที่คุ้นเคย มีอยู่ตามปั๊มน้ำมันแทบทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย ก็หันมาเปิดให้บริการแบบ Drive Thru แล้ว รสชาติดี ราคาเข้าถึงได้ง่าย พอมีบริการ Drive Thru ก็สะดวกสบายสุดๆ ร้านเปิดบริการ : แล้วแต่สาขา โทร : ไม่ระบุ เว็บไซต์ : https://www.facebook.com/cafeamazonofficial DRIVE-THRU Car Wash (บริการด้านล้างรถอัตโนมัติ) ควิกวอช Quick wash ร้านล้างรถอัตโนมัติแบบ Drive Thru ร้านล้างรถอัตโนมัติที่ปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย สร้างความสะดวกสะบายด้วยการล้างรถโดยไม่ต้องลงจากรถ มาด้วยราคาที่ถูกแสนถูกที่เริ่มต้นที่ 89 บาท เท่านั้นเอง สาขา Drive Thru : คลิก ร้านเปิดบริการ : 08.00 – 20.00 น. โทร : 092-246-1255 เว็บไซต์ : https://hubs.la/Q01h440Z0 DRIVE-THRU ATM (บริการด้านธนาคาร) KBank ATM Drive Thru ธนาคารก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ปรับให้มีบริการแบบ Drive Thru ด้วยบริการถอน โอน จ่าย แบบไม่ต้องลงจากรถ เปิดแห่งแรกที่สถานีบริการน้ำมัน PTT Station บรมราชชนนีขาเข้า สามารถทำธุรกรรมได้ตลอด 24 ชั่วโมง ใช้งานง่ายด้วยระบบ Touch Screen ใช้ได้กับรถทุกประเภทที่สูงไม่เกิน 2.4 เมตร มาพร้อมความปลอดภัยขั้นสูงสุดจากกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่โดยรอบ เปิดบริการ : 24 ชั่วโมง เว็บไซต์ : https://www.kasikornbank.com/th/personal DRIVE-THRU HOSPITAL (บริการด้านโรงพยาบาล) บริการด้านโรงพยาบาล เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่จำเป็นต้องรับยารักษาโรคประจำตัวอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 แบบนี้ หลายโรงพยาบาลจึงเปิดบริการรับยาแบบ Drive-Thru ขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการ เพียงแค่ลงทะเบียนเพื่อแสดงความต้องการเข้ารับยาแบบ Drive-Thru กับโรงพยาบาลนั้นๆ เมื่อถึงเวลานัดหมายก็สามารถขับรถไปรับได้เลยโดยไม่ต้องลงรถ DRIVE-THRU POST (บริการด้านไปรษณีย์) ไปรษณีย์ไทย Drive Thru บริการด้านไปรษณีย์ เป็นบริการที่ตองบโจทย์พ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์ที่ต้องส่งพัสดุให้ลูกค้าทุกวัน แต่ไม่อยากออกไปเจอความแออัดของผู้คนข้างนอก โดยทางไปรษณีย์ไทยได้จัดบริการรับส่งพัสดุภายใน 3 นาทีเท่านั้น แบบไม่ต้องลงจากรถยนต์ เปิดบริการ : 07.30 น. ถึง 15.30 น. โทร : 1545 เว็บไซต์ : www.thailandpost.co.th
เป็นปัญหาที่ทำให้หลายๆ คนถึงกับคิดหนักกับหัวข้อนี้ เมื่อเรามีเริ่มมีเงินเก็บ มีรายได้ที่มั่นคง เราควรเลือกซื้ออะไรก่อนกันระหว่าง คอนโด หรือ รถยนต์ กันแน่ที่เราควรซื้อ วันนี้เราจะมาชวนทุกคนลองคิดพิจารณากันว่าเราควรจะซื้อแบบไหนดีกว่ากัน 1. พิจารณาความจำเป็น สิ่งที่ต้องพิจารณาเป็นอันดับแรกเลยนั่นก็คือ ความจำเป็น เราควรพิจารณาว่าสิ่งที่เราต้องการนั้นมีความจำเป็นมากน้อยเพียงใดต่อการดำเนินชีวิต เช่น หากซื้อรถแล้วทำให้เดินทางได้สะดวกมากขึ้นสบายใจขึ้น หรือ ซื้อคอนโดแล้วจะได้มีอสังหาริมทรัพย์เป็นของตัวเอง เป็นต้น ซึ่งความจำเป็นนี้ก็พิจารณาว่าจะไม่กระทบกับการเงินจนทำให้ตัวเองเดือดร้อนอีกด้วย โดยทั่วไปแล้ว มูลค่าบ้านและคอนโดมักมีมูลค่าเพิ่มขึ้น หากคอนโดนั้นมีทำเลที่ดี ก็สามารถขายต่อได้มูลค่าเพิ่มมากขึ้น หรือหากเปล่าเช่าก็ได้เช่นกัน แต่สำหรับผู้ที่มีคอนโดยู่แล้ว แต่อยู่ไกลที่ทำงานมาก ต้องเดินทางหลายต่อ ไม่สะดวกสบาย การซื้อรถยนต์อาจตอบโจทย์ได้มากกว่าการซื้อคอนดี เพราะซื้อแล้วทำให้เดินทางสะดวก สบายเป็นส่วนตัวมากขึ้น 2.คำนวณความสามารถในการผ่อน สิ่งสำคัญที่สำคัญมากๆ อีกหนึ่งสิ่งนั่นก็คือ ความสามารถในการผ่อนชำระของแต่ละคน การซื้อบ้านหรือซื้อรถเป็นสิ่งที่ต้องให้กำลังทรัพย์ในการซื้อสูงมากๆ ทั้งคู่ เพราะฉะนั้นหากจะตัดสินใจซื้อสิ่งใดสิ่งหนึ่งควรพิจารณาเรื่องนี้ให้ละเอียดรอบคอบที่สุด โดยทั่วไปการขอสินเชื่อจากธนาคารหรือสถาบันการเงิน ภาระหนี้ต่อเดือนไม่ควรเกิน 40-60% ของรายได้ ซึ่งสัดส่วนภาระหนี้ที่สามารถมีได้นั้น ขึ้นอยู่กับรายได้ต่อเดือน ยิ่งรายได้สูง ก็สามารถมีสัดส่วนหนี้ต่อเดือนได้สูง ทั้งนี้ แนะนำว่า ภาระผ่อนหนี้ต่อเดือนไม่ควรเกิน 30% ของรายได้ เพราะถ้ามีสัดส่วนหนี้ต่อเดือนที่สูงเกินไป อาจสร้างปัญหาการเงินตามมาในอนาคตได้ ยกตัวอย่าง ตัดสินใจเลือกซื้อบ้านก่อน หากรายได้ต่อเดือนอยู่ที่ 30,000 บาท โดยธนาคารให้มีภาระผ่อนหนี้แต่ละเดือนไม่เกิน 40% เท่ากับว่าสามารถมีภาระผ่อนหนี้ทั้งหมดเท่ากับ 40% x 30,000 = 12,000 บาท โดยหากเลือกระยะเวลาผ่อนประมาณ 20 ปี จะขอวงเงินสินเชื่อจากธนาคารได้ประมาณ 1.3 ล้านบาท แต่หากเลือกซื้อรถก่อน รถราคาประมาณ 6 แสนบาท ผ่อน 5 ปี จะผ่อนประมาณเดือนละ 11,000-12,000 บาท เตรียมเงินดาวน์ ไม่ว่าจะซื้อคอนโด หรือซื้อรถ เมื่อใช้วิธีขอสินเชื่อจากธนาคาร ก็ต้องมีการเตรียมเงินดาวน์ก้อนหนึ่ง โดยทั่วไป การขอสินเชื่อบ้านต้องมีเงินดาวน์ประมาณ 20% ของราคาคอนโด หรือรถต้องมีเงินดาวน์ประมาณ 25% ของราคารถ ดังนั้น ก่อนตัดสินใจเป็นหนี้ก้อนใหญ่ ต้องสำรวจความพร้อมเรื่องเงินดาวน์ก่อน ยกตัวอย่าง ซื้อบ้านราคา 2 ล้านบาท ควรมีเงินดาวน์ประมาณ 4 แสนบาท แต่หากเงินที่ต้องออมต่อเดือนสูงเกินกำลังความสามารถในการออม ก็อาจต้องเลื่อนเป้าหมายการขอสินเชื่อออกไปก่อน เช่น เลื่อนการกู้บ้านจาก 2 ปี เป็น 3 ปี เพื่อให้มีเวลาเก็บออมเงินดาวน์นานขึ้น หรือลดขนาดเป้าหมายลง เช่น ซื้อบ้านหลังเล็กลงมาหน่อยจาก 2 ล้านบาทเหลือ 1.5 ล้านบาท เพื่อให้จำนวนเงินออมต่อเดือนลดลงอยู่ในความสามารถที่ออมได้ พร้อมที่จะยอมรับหนี้ระยะยาวได้แล้วหรือยัง? ต้องยอมรับว่าไม่ว่าจะเป็นหนี้จากการซื้อคอนโดหรือจากการซื้อรถ ล้วนแล้วแต่เป็นหนี้ระยะยาวทั้งสิ้น ดังนั้นจึงต้องตอบคำถามตัวเองให้ได้ว่าพร้อมเป็นหนี้ระยะยาวหรือไม่ หากเป็นคอนโดมีกำลังที่จะจ่ายเงินให้กับทางธนาคารตลอด 20-30 ปีหรือเปล่า ควรพิจารณาตัวเองอย่างรอบคอบ รถยนต์ ข้อดี-ข้อเสีย สำหรับคนที่คิดจะซื้อรถยนต์ ต้องทำความเข้าใจว่า รถยนต์ เป็นสินทรัพย์ที่มีค่าเสื่อมไปตามกาลเวลา เช่น เมื่อคุณถอยรถใหม่ออกจากโชว์รูมก็นับว่ามูลค่าของรถคันนั้นลดลงในทันที และการซื้อรถหากซื้อด้วยเงินสดก็คงจะไม่มีปัญหาเท่าไหร่ แต่หากเป็นการผ่อน คุณจะต้องมีภาระผูกพันกับการผ่อนค่างวดรถยนต์ไปอย่างน้อย 5-6 ปี และในแต่ละวันจะต้องจ่ายค่าน้ำมันรถ แต่ละปีต้องจ่ายค่าบำรุงรักษารถยนต์ และค่าต่อประกันภัยรถยนต์อีกด้วย ข้อดีของการมีรถ ขับไปไหนก็ได้ ทุกที่ทุกเวลา ไม่ต้องเผชิญความวุ่นวายกับผู้คนบนรถสาธารณะในการเดินทาง สะดวกสบายในการเดินทางไปกับเพื่อนและครอบครัว แสดงสัญลักษณ์สถานะทางสังคม เพียงพอสำหรับการลงทุน มีความเป็นส่วน ข้อเสียของการมีรถ มีค่าบำรุงรักษารายเดือน-รายปี ค่าประกัน และเสื่อมสภาพเร็ว 10 ปี รถกลายเป็นซากแต่คอนโดยังมีราคา ยุ่งยากในการหาที่จอด หากที่อยู่อาศัยเดิมมีขนาดเล็ก ไม่มีโรงจอดรถ ต้องเผชิญปัญหารถติดช่วงเวลาเร่งด่วน รถยิ่งใช้นาน ราคายิ่งลดลงตามสภาพการใช้งาน คอนโด สำหรับคนที่คิดจะซื้อคอนโด สำหรับคอนโดนั้นถือเป็นการลงทุนระยะยาวอย่างหนึ่ง หากได้พื้นที่ทำเลที่ดี ก็มีโอกาสที่ที่ดินตรงนั้นมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ราคาซื้อขายก็เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ยิ่งหากเป็นคอนโดที่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าก็ยิ่งมีโอกาสปรับราคาสูงขึ้นมากๆ ไม่เหมือนกับรถยนต์ที่ยิ่งนานวันมูลค่าตัวรถยิ่งเสื่อมลงไปด้วย ข้อดีของการซื้อคอนโด มีราคาที่ดินแพงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป แสดงความสำเร็จด้านสถานะทางการเงิน ลงทุนครั้งเดียวแต่ส่งต่อเป็นมรดกให้กับลูกหลานต่อไปได้ ประหยัดเวลาและเงินในการดูแลรักษาระยะยาว คอนโดสมัยนี้อยู่ใกล้รถไฟฟ้า สะดวกสบายในการเดินทาง เป็นได้ทั้งที่อยู่อาศัยหรือปล่อยเช่า ข้อเสียของการซื้อคอนโด ค่าใช้จ่ายรายเดือนที่อาจจะเพิ่มขึ้นตามอัตราดอกเบี้ย จำกัดเงินที่จะผ่อนสิ่งของชิ้นใหญ่ให้กับตัวเอง เช่น รถยนต์ อาจมีข้อจำกัดเรื่องกฎการอยู่อาศัยร่วมกับผู้อื่นมากกว่าการอยู่บ้าน เช่นการเลี้ยงสัตว์ ไม่ว่าจะเลือกซื้อสิ่งใดก่อน สิ่งที่สำคัญที่สุดเลยนั่นก็คือความจำเป็น ความพร้อมและความละเอียดรอบคอบในการตัดสินใจซื้อ เพื่อที่จะไม่ให้เกิดปัญหาการเงินตามมาในอนาคต แต่หากคำนวณดูดีๆ แล้วคิดว่าคุ้มค่าก็ซื้อได้เลยค่ะ
มาทำความรู้จักกับแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าชื่อดังอย่าง TESLA (เทสล่า) ให้มากขึ้นด้วยผ่านโมเดลรถยนต์ที่เทสล่ามีทั้งหมด 4 โมเดล พร้อมบอกสเปกและราคาจำหน่ายเริ่มต้น TESLA (เทสล่า) คือบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% (Electric Vehicle) ที่นำเสนอจุดเด่นในเรื่องเทคโนโลยีที่ทันสมัยเช่น Autopilot (ระบบขับขี่อัตโนมัติ) และการสั่งการผ่าน Smartphone เป็นต้น นอกจากนี้ TESLA ยังถือว่าเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสะอาดเป็นมิตรกับโลก ด้วยการที่ไม่มีการปล่อยมลพิษขึ้นสู่อากาศเลย เนื่องจากไม่มีการใช้เครื่องยนต์น้ำมันเป็นส่วนประกอบแต่ใช้เป็นแบตเตอรี่ไฟฟ้าลิเทียมไอออนแทน TESLA ทุก MODEL ถูกออกแบบให้มีความมินิมอล รูปโฉมเรียบง่าย สะอาดตา ไม่หลุดภาพลักษณ์รถยนต์รักสิ่งแวดล้อมอีกด้วย และด้วยการที่ Tesla (เทสล่า) มีแนวคิดที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญจึงได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพื่อผลักดันรถยนต์ไฟฟ้าออกมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคในอนาคตจะเห็นได้จากปัจจุบันราคาน้ำมันมีราคาสูงขึ้น จนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้รับมาสนใจเป็นอย่างมาก บวกกับเทสล่ามีเทคโนโลยีที่โดดเด่น ดีไซน์แตกต่าง และวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ทำในที่สุดก็ให้เทสล่าขึ้นแท่นมาเป็นผู้นำการผลิตในตลาดรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุด เรามาทำความรู้จัก 4 MODELS ของแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าชื่อดังนี้กันดีกว่าค่ะ ว่าจะมีสมรรถนะเป็นอย่างไรบ้าง TESLA MODEL S TESLA MODEL S เป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Sedan ถูกเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2012 โมเดลนี้ถูกพัฒนามาเป็นระยะเวลาเกือบ 10 ปีเพื่อพัฒนาสมรรถนะของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ให้ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปัจจุบันมี TESLA MODEL S ทั้งหมด 2 รุ่นด้วยกันคือ Model S Dual Motor AWD ราคาโดยประมาณ 3,405,000 บาท (99,990 USD) อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม.: 3.1 วินาที ขุมพลัง 670 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 3.1 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 249 กม. /ชม. ระยะทางขับขี่: 603 - 651 กิโลเมตร (375 - 405 ไมล์) Model S Plaid Tri Motor AWD ราคาโดยประมาณ 4,635,000 บาท (135,990 USD) อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม.: 1.99 วินาที ระยะทางขับขี่: 560 - 637 กิโลเมตร (348 - 396 ไมล์) ซึ่งรุ่น Plaid นี้ถูกอัพเกรดใหม่ให้สามารถใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว ส่งพลังสูงสุดถึง 1,020 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม. /ชม. ต่ำกว่า 2 วินาทีเลยทีเดียว อีกทั้งยังทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 320 กม. /ชม. TESLA MODEL 3 TESLA MODEL 3 เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับกระแสความนิยมมากที่สุด กับการเปิดตัวด้วยการมียอดจองสูงที่สุดในโลกด้วยตัวเลขมากกว่า 325,000 คัน ภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์หลังการเปิดตัว และมียอดจองทะลุ 500,000 คันภายใน 3 เดือนเท่านั้น เพราะด้วยตัวโมเดลมีขนาดที่กระทัดรัด ชาร์จได้รวดเร็ววิ่งได้ไกลและมีราคาที่สามารถจับต้องได้ด้วยราคาเริ่มต้นประมาณ 1 ล้านบาท ส่วนในเรื่องของสมรรถนะก็ทำออกมาได้โดดเด่นไม่แพ้ใครด้วยเครื่องยนต์มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ที่ทำงานแบบอิสระ โดย MODEL 3 นี้มีให้เลือกถึง 3 รุ่นด้วยกัน รุ่น Model 3 Standard (Rear Wheel Drive) ราคาโดยประมาณ 1,601,000 บาท (46,990 USD) ขุมพลัง 283 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 5.3 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 225 กม. /ชม. เมื่อชาร์จไฟเต็มสามารถวิ่งได้ 430 กม. รุ่น Model 3 Long Range (All-Wheel Drive) ราคาโดยประมาณ 1,908,000 บาท (55,990 USD) ขุมพลัง 346 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 4.2 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 233 กม. /ชม. ขับเคลื่อนแบบ All-Wheel Drive เมื่อชาร์จไฟเต็มสามารถวิ่งได้ 580 กม. รุ่น Model 3 Performance (All-Wheel Drive) ราคาโดยประมาณ 2,147,000 บาท (62,990 USD) ขุมพลัง 450 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 3.3 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 261 กม. /ชม. มอเตอร์คู่ ระบบขับเคลื่อนแบบ All-Wheel Driveเมื่อชาร์จไฟเต็มสามารถวิ่งได้ 567 กม. TESLA MODEL X TESLA MODEL X เป็นรถยนต์ไฟฟ้า Crossover ขนาดกลาง (Mid-size) ที่ถูกพูดถึงในส่วนของประตูมากที่สุดเพราะ ประตูของโมเดลรถรุ่นนี้มาในรูปแบบ Falcon Wing (ลักษณะปีกนก) ที่เวลาเปิดประตูจะถูกยกขึ้นเหมือนปีกนก มาพร้อมรูปทรงที่ดูบึกบึน ทรงพลัง ซี่ง TESLA MODEL X ถูกแบ่งออกเป็นอีก 2 รุ่นย่อย รุ่น Tesla Model X Plaid (Tri Motor) ราคาโดยประมาณ 4,740,000 บาท (138,990 USD) มีกำลังถึง 1,020 แรงม้า สามารถเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 2.5 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 262 กม. /ชม. รุ่น Tesla Model X (Dual Motor) ราคาโดยประมาณ 2,640,000 บาท (114,900 USD) มีกำลัง 670 แรงม้า สามารถเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 3.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 249 กม. /ชม. TESLA MODEL Y TESLA MODEL Y รถยนต์ไฟฟ้า Compact Crossover SUV ที่ถูกพัฒนาแพลตฟอร์มมาจาก TESLA MODEL 3 ซึ่งมีชิ้นส่วนคล้ายคลึงกันถึง 75 % มีขนาดที่กะทัดรัด มีที่นั่งให้เลือกตามใจชอบอีกด้วย ทั้งแบบ 5 ที่นั่งและ 7 ที่นั่ง TESLA MODEL Y แบ่งออกเป็น 2 รุ่นย่อยคือ รุ่น Performance ราคาโดยประมาณ 2,320,000 บาท (67,990 USD) สามารถทำความเร็ว 0 – 100 กม./ชม. ที่ 3.5 วินาที ระบบขับเคลื่อนแบบ All-Wheel Drive ทำความเร็วสูงสุด 241 กม./ชม. รุ่น Long Range ราคาโดยประมาณ 2,150,000 บาท (62,990 USD) สามารถทำความเร็ว 0 – 100 กม./ชม. ที่ 5.3 วินาที ระบบขับเคลื่อนแบบ All-Wheel Drive ทำความเร็วสูงสุด 217 กม./ชม. เทสล่ามีความสามารถในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกมาให้ตอบโจทย์และหลากหลาย ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกในการตัดสินใจมากขึ้นซึ่งก็จะแตกต่างกันในด้าน ดีไซน์สมรรถนะ รวมทั้งราคา เหตุนี้จึงทำให้ TESLA ถูกเป็นที่พูดถึงและเป็นที่ต้องการของผู้คนมากมาย
รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle, EV) ได้รับกระแสความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องด้วยปัญหาราคาค่าน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นบวกกับผู้คนก็หันกลับมาใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพราะเนื่องจากที่ผ่านมาได้มีปัญหาโลกร้อน มลพิษทางอากาศ PM2.5 จึงทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นรถยนต์ที่ไม่เป็นพิษกับสิ่งแวดล้อมได้รับกระแสความนิยมเพิ่มสูงขึ้นมา หากใครที่กำลังตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ เรามาลองทำความรู้จักกับประเภทรถยนต์ไฟฟ้าและข้อดีข้อเสีย ให้มากขึ้นกันดีกว่าค่ะ รถยนต์ไฟฟ้ามีด้วยกันทั้งหมด 4 ประเภทคือ รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด | Hybrid Electric Vehicle (HEV) การทำงานของรถยนต์ในรูปแบบนี้คือจะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์สันดาป และพลังงานไฟฟ้าที่ได้จากแบตเตอรี่ โดยระบบของรถยนต์จะทำงานสลับการใช้งานกันระหว่างเครื่องยนต์และแบตเตอรี่อัตโนมัติ หรือ บางครั้งพลังงานอาจจะมาจากทั้งสองแหล่งเลยก็ได้ เพราะจะได้เป็นการเสริมอัตราการเร่งของรถยนต์ การทำงานของตัวแบตเตอรี่ของรถยนต์ หลักๆ ระบบจะดึงพลังงานมาใช้ในช่วงที่รถออกตัวในระยะทาง 2-3 กิโลเมตรแรก หลังจากนั้นจึงจะสลับกลับมาใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อน และเมื่ออยู่ในช่วงระหว่างรถติดหรือหยุดนิ่ง หากมีแบตเตอรี่มากพอระบบจะดึงพลังงานไฟฟ้ามาใช้งานกับอุปกรณ์ต่างๆ ภายในตัวรถ เช่น ไฟหน้า แอร์รถยนต์ เครื่องเสียง โดยให้เครื่องยนต์หยุดทำงานชั่วขณะ เพื่อลดการใช้น้ำมันและลดการปล่อยควันพิษเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊ก-อิน ไฮบริด | Plug-in Hybrid (PHEV) รถยนต์ไฟฟ้าประเภทปลั๊ก-อิน ไฮบริดนี้ จะมีระบบการทำงานที่มีความคล้ายคลึงกับรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด คือ มีการผสมผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์และแบตเตอรี่ เพียงแต่ว่าสามารถเสียบชาร์จไฟแบตเตอรี่ได้เองจากที่บ้านหรือสถานีชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า โดยใช้เวลาในการชาร์จประมาณ 4-5 ชั่วโมง ซึ่งเมื่อแบตเตอรี่เต็ม 100% แล้วนั้นจะสามารถขับได้ไกลถึง 20-50 กิโลเมตรโดยประมาณ และไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมันเลย หากแบตเตอรี่หมดลงระบบจะสลับกลับมาใช้พลังงานจากเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนปกติดังเดิม รถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบตเตอรี่ | Battery Electric Vehicle (BEV) รถยนต์ไฟฟ้าประเภทนี้เป็นประเภทที่ใช้มอเตอร์ในการขับเคลื่อนแบบ 100% โดยที่ไม่มีเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้ระบบน้ำมันเชื้อเพลิงใดๆ จึงมั่นใจได้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าประเภทนี้จะเป็นมิตรกับธรรมชาติอย่างแน่นอน เพราะไม่มีการปล่อยไอเสียจากตัวรถออกมาเลยแม้แต่น้อย สำหรับการชาร์จแบตเตอรี่แต่ละครั้งนั้น ใช้เวลาประมาณ 6 - 8 ชั่วโมง สำหรับการชาร์จปกติ หรือ 2 - 4 ชั่วโมง สำหรับการชาร์จผ่านแทนชาร์จเร็ว หลังจากชาร์จไฟเต็ม 100% แล้ว รถยนต์ไฟฟ้าประเภทนี้จะสามารถวิ่งได้สูงสุดประมาณ 300 กิโลเมตรเลยทีเดียว สำหรับใครที่ชอบเที่ยวต่างจังหวัดหรือชอบเดินทางแบบระยะทางไกลขึ้นมาหน่อย รถยนต์พลังงานไฟฟ้าประเภทนี้ถือว่าตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สุด ๆ รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง | Fuel Cell Electric Vehicle (FCEV) เป็นรถยนต์ไฟฟ้าประเภทนี้ขับเคลื่อนและใช้พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากเซลล์เชื้อเพลิง ซึ่งพลังงานนั้นมาจากพลังงานของก๊าซไฮโดรเจนที่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ ซึ่งจะสร้างพลังงานไฟฟ้าขึ้นมา และเมื่อพลังงานไฟฟ้าถูกชาร์จเข้าแบตเตอรี่มอเตอร์จะดึงพลังงานจากแบตเตอรี่นำไปขับเคลื่อนล้อ ข้อดีของ FCEV คือ สามารถเติมไฮโดรเจน เหมือนกับเราเติมก๊าซNGV และจะใช้เวลาในการเติมไม่นาน แต่มีข้อเสียคือสามารถติดไฟได้ง่ายหากเกิดการรั่วไหลเนื่องจากมีก๊าซไวไฟมาก เมื่อรู้จักกับประเภทรถ Ev กันมากขึ้นแล้ว มาลองดูข้อดีและข้อเสียของมันกันบ้างดีกว่าค่ะ ว่าจะมีอะไรบ้าง ข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้า 1.เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แน่นอนอยู่แล้วว่าหากเป็นรถไฟฟ้าที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% นั่นแปลว่าเป็นพลังงานสะอาด เพราะรถยนต์จะทำงานด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ ทำให้ไม่มีการปล่อยไอเสียหรือก๊าซเรือนกระจกออกมาและไม่เป็นการสร้างมลพิษ 2.ลดมลพิษทางเสียง เนื่องจากกลไกในการขับเคลื่อนของรถยนต์ไฟฟ้าไม่ต้องใช้การจุดระเบิดเพื่อเผาไหม้ จึงทำให้ไม่มีเสียงดังขณะขับ และการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า มีเสียงที่เบากว่าเครื่องยนต์มาก 3.ประสิทธิภาพสูง เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่สู่มอเตอร์เพื่อทำการขับเคลื่อน สามารถทำให้มีอัตราเร่งเป็นไปได้อย่างที่ใจต้องการ เพราะไม่มีขั้นตอนการทดเกียร์อีกต่อไป จึงทำให้รถยนต์สามารถตอบสนองในการขับขี่ได้ตามความต้องการของผู้ขับ 4.ประหยัดค่าใช้จ่าย เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าไม่มีเรื่องยนต์ จึงไม่ต้องใช้เชื้อเพลิงในการเผาไหม้ และรถยนต์พลังงานไฟฟ้ายังมีราคาที่ถูกกว่าหลายเท่าตัว และผันผวนน้อยกว่าราคาน้ำมันส่วนในเรื่องของการบำรุงรักษานั้น ในรถยนต์ไฟฟ้ามีเพียงมอเตอร์ไฟฟ้าเท่านั้นที่เป็นส่วนกำลังทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ ไม่มีของเหลวหรือกรองของเหลวที่ต้องบำรุงรักษาตามวาระ 5.สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้จากที่บ้าน รถยนต์ไฟฟ้านั้น สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้จากที่บ้าน ซึ่งสามารถชาร์จได้ระหว่างที่นอนหลับ เมื่อถึงยามเช้ารถยนต์ไฟฟ้าก็จะอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน จึงทำให้ไม่ต้องกังวลในเรื่องการเสียเวลาที่สถานีบริการน้ำมันอีกต่อไป ข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้า 1.ยังมีศูนย์ให้บริการชาร์จไฟน้อย แน่นอนว่ามีข้อดีเรื่องประหยัดน้ำมัน ก็ย่อมมีข้อเสียเพราะจุดที่ให้บริการชาร์จไฟเข้าสู่ตัวรถยนต์จะต้องมีเพียงพอและเทียบเท่ากับปริมาณของปั๊มน้ำมันทั่วประเทศ พร้อมไปด้วยระบบการจ่ายไฟต้องมีความปลอดภัยสูง ผู้ที่ใช้รถก็ต้องศึกษาวิธีการชาร์จให้ดี ไม่เช่นนั้นอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ 2.ราคาสูง ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้ายังคงมีราคาที่สูงอยู่ เนื่องจากกระบวนนการผลิตจนถึงการวางจำหน่ายจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีที่มีราคาแพง ทำให้มูลค่าตัวรถมีราคาแพงไปด้วย แต่หากในอนาคตมีนวัตกรรมการผลิตที่ดีและผลิตได้มากขึ้น รถยนต์ไฟฟ้าก็อาจจะมีราคาถูกลง 3.ระยะการขับ เนื่องจากระยะการขับของรถยนต์ไฟฟ้ามักขึ้นอยู่กับขนาดความจุของแบตเตอรี่ ซึ่งอาจจะต้องทำให้ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าวางแผนการชาร์จระหว่างทาง และวางแผนการเดินทางสำหรับขับขี่ระยะไกล 4.การบำรุงรักษา รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยยังถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่มาก อาจจะต้องใช้เวลาเพื่อให้บุคลากรทางสายยานยนต์เรียนรู้เรื่องการบำรุงรักษาระบบต่าง ๆ 5.การจำกัดขยะจากแบตเตอรี่ เนื่องจากแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานที่จำกัดการเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่เป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย แต่การกำจัดแบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพไปแล้วนั้น ในปัจจุบันยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจนในการกำจัดแบตเตอรี่ที่เป็นขยะเหล่านี้ ซึ่งเป็นความท้าทายที่จะต้องมีการดำเนินการต่อไป ปัจจุบันผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้มีการแก้ไขพัฒนาแบตเตอรี่ให้มีประสิทธิภาพวิ่งได้ระยะทางที่ไกลมากขึ้น และทางภาครัฐและเอกชนเองก็ให้ความร่วมมือในการสร้างอัดประจุให้คลอบคลุมมพื้นที่ในประเทศเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย สามารถเช็กพิกัดสถานีชาร์จได้ที่นี่ คลิก!! โหลด App Carmunity เพื่อสะสมคะแนน 👇🏻
การดูแลรถยนต์หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องยาก เราจึงนำ 8 วิธีการดูแลรถเบื้องต้นง่ายๆ ที่คุณควรรู้มาฝากกันค่ะ ซึ่งขั้นตอนการดูแลสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงด้วยตัวเองได้เลย อาจเป็นเรื่องที่ที่ทุกคนรู้อยู่แล้วหรืออาจจะเป็นเรื่องที่ทุกคนยังไม่รู้ก็ได้นะ เราลองมาอ่านตามกันได้เลยค่ะ 1.ขับขี่อย่างนุ่มนวล การขับรถอย่างนุ่มนวลเพื่อรักษาสุขภาพตัวรถ ยกตัวอย่างเช่น การออกตัวแบบไม่กระชาก การเว้นระยะเบรก การชะลอความเร็วเพื่อเข้าโค้งหรือการเลี้ยวไปยังอีกเส้นทาง นอกจากจะช่วยให้ตัวรถยนต์ของคุณสมบูรณ์อยู่ยาวนาน ยังเป็นการช่วยลดความเสี่ยงอุบัติเหตุที่เกิดจากความประมาทได้อีกด้วย 2.ล้างรถสัปดาห์ละครั้ง การล้างรถถือเป็นวิธีการดูแลรถยนต์อย่างง่ายที่สุด โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการล้างรถที่เหมาะสมคือ 1 ครั้ง/สัปดาห์ การล้างรถจะช่วยชะล้างสิ่งสกปรกที่มีฤทธิ์กัดกร่อนให้หลุดออกผิวรถ เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดคราบสกปรกฝังแน่นเพราะหากปล่อยไว้นานอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ เช่น รถผุ เกิดสนิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาฤดูฝนที่มักมีโคลน ดิน ติดตามตัวถังรถได้บ่อย จึงต้องการล้างทำความสะอาดทุกครั้งที่ตรวจเจอ ดีกว่าปล่อยเป็นปัญหาที่ใหญ่มากขึ้นไปอีกได้ ในขั้นตอนสุดท้ายของการล้างรถภายนอกควรลงแว็กซ์ให้คราบเหล่านี้เกาะตัวฝังแน่นติดกับตัวรถกลายเป็นปัญหาภาวะสีด่าง สีของรถไม่เท่ากัน กลายเป็นปัญหาที่ใหญ่มากขึ้นไปอีกเพราะฉนั้นเราจึงต้องล้างรถบ่อยๆ เพื่อเป็นการป้องกันรถของคุณจากคราบความสกปรก เมื่อล้างรถเสร็จแล้วสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ การแว็กซ์ (Wax) เพราะการแว็กซ์เป็นอีกขั้นตอนสำคัญในการดูแลรถ จะช่วยเพิ่มความเงางาม และเป็นการรักษาสีของรถยนต์ให้ดูใหม่อยู่ตลอดเวาลา นอกจากทำวามสะอาดภายนอกแล้วก็ควรทำความสะอาดภายในตัวรถด้วย ไม่ว่าจะเป็น การดูดฝุ่นภายในรถ การซักเบาะ ซักพรมปูพื้น ก็เปนอีกสิ่งที่ควรทำคราวเพื่อไม่ให้เกิดสิ่งหมักหมมและเป็นอันตรายต่อทางเดินหายใจ 3.เช็กและดูและยางรถยนต์ เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ใครหลายคนละเลยสำหรับการเช็คลมยาง ขั้นตอนการเช็กลมยางควรต้องตรวจสอบแรงดันลมยางอย่างสม่ำเสมอ เพราะยางรถยนต์ มีหน้าที่ในการรับน้ำหนักของตัวรถทั้งคัน หากขาดการตรวจเช็กอย่างสม่ำเสมออาจทำให้เกิดปัญหาด้านการขับขี่จนเกิดอันตรายได้ แต่หากมีการตรวจเช็คลมยางตามคู่มืออยู่เสมอ นอกจากจะปลอดภัยในการขับขี่แล้วยังเป็นการประหยัดน้ำมันได้อีกด้วย โดยเราจะต้องตรวจสอบแรงดันลมยางอย่างสม่ำเสมอโดยเติมลมยางตามคู่มือรถอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง และอีกหนึ่งสิ่งที่ควรทำ นั่นก็คือการเปลี่ยนยางตามสภาพของยางรถยนต์ ยางรถยนต์จะมีระยะการใช้งานที่เหมาะสม ขอแนะนำให้คุณเปลี่ยนยางที่มีอายุการใช้งานยางรถยนต์มากกว่า 10 ปีขึ้นไป ถึงแม้ว่ายางเหล่านั้นจะยังดูสามารถใช้ได้ดีก็ตาม แต่เมื่อยางเหล่านี้เกิดความแข็ง และมีการเปราะ รวมถึงรอยแตกเล็ก ๆ ที่แทบมองไม่เห็นที่อาจเกิดขึ้นบริเวณดอกยางและแก้มยาง ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนลดลงเป็นอย่างมาก หากเปลี่ยนแล้วจะเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรก การยึดเกาะถนนรวมถึงเสียงที่ดังขึ้นในระหว่างการขับขี่ 4.เปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อครบกำหนด การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเป็นสิ่งที่เราได้ยินกันบ่อยๆ แล้วทำไมถึงต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเมื่อครบระยะเวลากำหนดด้วยหล่ะ เป็นเพราะน้ำมันเครื่องเปรียบได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของรถยนต์เลยก็ว่าได้ ทำหน้าที่หล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆ ของเรื่องยนต์ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยระบายความร้อนให้เครื่องยนต์ ปกป้องชิ้นส่วนภายในของเครื่องยนต์และเป็นการชำระสิ่งสกปรกออกอีกด้วย การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องควรที่จะเปลี่ยนทุก ๆ 8,000 กิโลเมตร ไม่เกิน 10,000 กิโลเมตรหรือทำการเปลี่ยนทุก ๆ 4 เดือน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แต่ละรูปแบบ 5. เช็คหัวเทียนเป็นประจำ หัวเทียน เป็นชิ้นส่วนที่สำคัญสำหับเครื่องยนต์ เป็นอุปกรณ์สร้างประกายไฟ เช่นเมื่อเราสตาร์ทเครื่องยนต์ ตัวคอยล์จะทำหน้าที่จุดระเบิดส่งกระแสไฟไปยังหัวเทียน ทำงานร่วมกับน้ำมันและอากาศ ทำให้เกิดการระเบิดและเผาไหม้ เพื่อดันลูกสูบให้เคลื่อนที่ขึ้น-ลง สร้างกำลังในการขับเคลื่อนตัวรถอีกด้วย แล้วทำไมเราถึงต้องเปลี่ยนหัวเทียนเป็นประจำหล่ะ ? เพราะเมื่อหัวเทียนถูกใช้งานไปได้ระยะหนึ่ง จะเกิดการสึกกร่อน หากใช้เป็นเวลานานไม่มีการตรวจเช็กหรือเปลี่ยน จะทำให้เครื่องยนต์ไม่มีกำลัง กินน้ำมันมากขึ้น เนื่องจากหัวเทียนจุดประกายไฟ และจุดระเบิดเริ่มไม่สม่ำเสมอ โดยค่ายรถยนต์หลายๆ ค่ายแนะนำให้มีการเปลี่ยนหัวเทียนทุก 50,000 กม. 6.ตรวจสอบแบตเตอรี่ ควรตรวจสอบและทำความสะอาดแบตเตอรี่รถยนต์ของคุณอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการยืดอายุการใช้งาน วิธีทำความสะอาดง่ายๆ เช่น ทำความสะอาดที่ขั้วแบตเตอรี่ด้วยการเทน้ำร้อนราดที่ขั้ว และตรวจสอบเช็กระดับน้ำกลั่นให้อยู่ในตำแหน่ง UPPER/LEVEL ควรเติมให้พอดี ห้ามเติมเกินระดับนี้ และไม่ควรเติมน้ำดื่มหรือน้ำประปาหรือของเหลวชนิดอื่นๆ นอกจากน้ำกลั่นเด็ดขาด เพราะเป็นการทำให้แบตเตอรี่เสื่อมไวยิ่งขึ้น ซึ่งแบตเตอรี่รถส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งานประมาณ 4 ถึง 5 ปี หากอยู่ในภูมิอากาศเขตร้อนอาจจะอยู่ได้แค่ประมาณ 3 ปีเท่านั้น ถ้าชาร์จแบตเตอรี่แล้วพบว่าประจุไหลออกทั้งที่ไม่ได้ใช้รถ แสดงว่าได้เวลาต้องเปลี่ยนแบตแล้วล่ะ 7.ตรวจสอบระบบเบรกและน้ำมันเบรก ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เปลี่ยนน้ำมันเบรกในทุกๆ 6 เดือน เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่รถยนต์ ควรตรวจเช็กระดับน้ำมันเบรกให้อยู่ระหว่าง MAX และ MIN โดยน้ำมันเบรกคุณภาพดีจะต้องมีลักษณะสีเหลืองใส ไม่ควรเป็นสีคล้ำหรือสีดำที่เสื่อมสภาพจากความชื้นหรือน้ำปนลงไป และควรตรวจเช็กระบบเบรกว่ามีรอยสึกเสมอกันทั่วทั้งวงหรือไม่ หากจากบางแล้วควรเปลี่ยนลูกยางเบรกใหม่ และตรวจเช็กผ้าเบรกโดยการดูแนวร่องกลางผ้าเบรกถ้าร่องเริ่มมีการตื้นแล้วควรเปลี่ยนใหม่ทันที 8.สังเกตไฟเตือนที่หน้าปัด หน้าปัดรถยนต์เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่หลายคนมองข้าม คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยสนใจอะไรนอกจากนาฬิกาหรือไม่ก็ระดับน้ำมันเชื้อเพลิง เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรหรือจะแก้ไขยังไง แต่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะมันจะบ่งบอกความผิดปกติของรถยนต์ หากมีสัญญาณเตือนขึ้นมาควรรีบนำรถเข้าไปตรวจเช็กทันทีก่อนที่จะสายเกินไป เป็นอย่า’ไรกันบ้างคะ การวิธีการดูแลรถง่ายๆ ที่คุณควรรู้ ที่เราได้รวบรวมมาให้อ่านเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถทำได้ และเป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำด้วยค่ะ เพื่อสุขภาพรถยนต์และความปลอดภัยในการใช้รถของทุกคน ควรเช็กให้ครบทุกข้ออย่าสม่ำเสมอกันนะคะ
การล้างรถถือเป็นขั้นตอนในการดูแลรักษารถที่ เป็นการทำให้รถดูสะอาดดูดีอยู่สม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังเป็นการถนอมสีรถไปด้วยเช่นกัน แต่การล้างรถนี้ถ้าหากล้างไม่ถูกวิธีก็อาจส่งผลอันตรายต่อรถยนต์ของเราได้ด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นเรามาอ่านขั้นตอนการล้างรถที่ถูกวิธีกันดีกว่าค่ะ ว่ามีวิธีการขั้นตอนอะไรบ้าง ขั้นตอนวิธีการล้างรถที่ถูกวิธี มีขั้นตอนอะไรบ้าง ฉีดน้ำล้างคราบสกปรก ขั้นตอนแรกจะเป็นการฉีดน้ำล้างคราบสกปรกออกก่อน ด้วยการฉีดน้ำจากบนหลังคาเพื่อให้คราบสกปรกไหลจากด้านบนลงมาด้านล่าง ใช้น้ำเย็นเพื่อเป็นการชะล้างคราบสกปรกฝังแน่นให้อ่อนตัวลง ผสมน้ำอุ่นกับน้ำยาล้างรถ ขั้นตอนที่สองผสมน้ำอุ่นกับน้ำยาล้างรถเข้าด้วยกันตามอัตราส่วนที่ฉลากสินค้านั้นๆ แนะนำ เนื่องจากน้ำยาล้างรถแต่ละยี่ห้อมีอัตราส่วนการผสมไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นต้องอ่านฉลากกันก่อนที่จะใช้งานนะคะ ล้างจากหลังคาลงด้านข้าง ขั้นตอนที่สามวิธีล้างรถที่ถูกต้อง ควรใช้ฟองน้ำทำความสะอาดจากด้านบนหลังคาไล่ลงมาด้านล่าง บริเวณขอบต่างๆ และกระจกรถให้ช้ผ้าสำลีเช็ดทำความสะอาดแทน เพราะฟองน้ำล้างรถอาจจะมีเม็ดทรายติดอยู่ในรูพรุนของฟองน้ำ อาจทำให้เกิดรอยสร้างความเสียหายให้กับรถยนต์ได้ค่ะ ใช้ฟองน้ำล้างแยกส่วน ขั้นตอนนี้เป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเสียหายต่อรถของคุณได้ เราจึงต้องควรแยกฟองน้ำล้างรถตามส่วนต่างๆ ของตัวรถ เช่น ฟองน้ำอันแรกใช้ทำความสะอาดหลังคารถ ฝากระโปรงหน้า ฝากระโปรงหลัง ผ้าสำลีใช้ทำความสะอาดกระจกรถและขอบต่าง ๆ ฟองน้ำอีกอันใช้ล้างล้อรถ และส่วนที่มีคราบสกปรกมากๆ ล้างน้ำเปล่าทันที เมื่อทำความสะอาดรถด้วยน้ำยาล้างรถเสร็จแล้ว ต้องล้างน้ำเปล่าทันที ก่อนที่จะไปล้างส่วนอื่นต่อและต้องทำแบบนี้กับทุกส่วนของรถ จากนั้นจึงค่อยล้างรถยนต์ด้วยน้ำเปล่าทั้งคันอีกครั้ง ใช้น้ำยาขจัดรอยเปื้อน หากล้างรถเสร็จเรียบร้อยแล้วยังพบคราบหรือรอยเปื้อน ให้ใช้น้ำยาขจัดรอยเปื้อนสำหรับรถโดยเฉพาะทำความสะอาดทันที หลังล้าง เช็ดรถให้แห้งทันที ขั้นตอนสุดท้าย เมื่อเราทำความสะอาดรถเสร็จครบทุกขั้นตอนแล้ว ควรใช้ผ้านุ่มๆ ที่ซับน้ำได้ดีหรือผ้าซามัวร์มาเช็ดรถ โดยเฉพาะกระจกหน้ารถ ด้านในฝากระโปรงด้านในบริเวณขอบประตู และด้านในฝาถังน้ำมัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดคราบน้ำ รวมทั้งฝุ่นที่จะมาเกาะกับพื้นผิวรถ ข้อห้ามสำคัญ ที่ห้ามทำขณะล้างรถ ข้อห้ามสำคัญในการล้างรถ นั่นก็คือ “ห้ามล้างรถกลางแดด” เนื่องจากจะทำให้น้ำแห้งเร็วจนเราเช็ดทำความสะอาดไม่ทัน แล้วอาจเกิดเป็นคราบน้ำเกาะบริเวณพื้นผิวรถยนต์ได้ และไม่ควรล้างในช่วงเย็นหรือกลางคืน เพราะหากเราเช็ดไม่แห้งสนิทก็อาจทำให้เกิดสนิมขึ้นในพื้นที่ที่ไม่แห้งได้ และข้อห้ามข้อสุดท้าย ไม่ควรใช้ผ้าชุปน้ำล้างรถ แทนฟองน้ำล้างรถ เพื่อป้องกันเศษฝุ่นหรือเม็ดทรายที่ติดผ้าจะทำให้เกิดรอยขีดข่วนกับตัวรถได้ นอกจากนี้ไม่แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์อื่น เช่น น้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก มาใช้แทนน้ำยาล้างรถ เนื่องจากจะเป็นการทำลายให้สีรถหมองในระยะยาว และไม่ควรใช้ไม้ขนไก่ปัดฝุ่น เพราะอาจเกิดรอบขีดข่วนต่อตัวรถได้ ขั้นตอนการทำความสะอาดภายในตัวรถ เป็นขั้นตอนสำคัญที่หลายๆ คนคิดว่ายากแต่วันนี้เรามีวิธีการล้างภายในตัวรถมานำเสนอ และทุกคนามารถไปทำตามกันได้ค่ะ 1) กำจัดเศษสิ่งสกปรกต่างๆ ออก เริ่มต้นด้วยการจำกัดเศษสิ่งสกปรกที่อยู่ภายในรถออกก่อน ด้วยการเก็บของที่จำเป็นออกเพื่อให้สะดวกต่อการเก็บกวาด จากนั้นเริ่มต้นเก้บกวาดเอาเศษสิ่งสกปรกออกด้วยมือ หลังจากนั้นนำเครื่องดูดฝุ่นดูดฝุ่นซ้ำเพื่อกำจัดฝุ่นเล็กๆ น้อยๆ ออกไป ทั้งบนเบาะและบนพื้น 2) เช็ดเบาะไวนิลและเบาะหนัง ขั้นตอนต่อไปเป็นขั้นตอนการล้างส่วนภายในโดยเริ่มทำความสะอาดจากเบาะผ้าไวนิลหรือเบาะหนังด้วยการใช้ผ้าเปียกหมาดเช็ดให้ทั่ว หรือจะใช้ผ้าแบบ wipe ที่ออกแบบมาสำหรับเช็ดเบาะหนังและไวนิลก็ได้ โดยผลิตภัณฑ์จำพวกนี้ เหมาะสำหรับการใช้เช็ดอุปกรณ์ภายในรถ แต่ก่อนจะให้ควรอ่านคำแนะนำและวิธีการใช้งานให้ดีก่อนใช้งานนะคะ 3) ซักเบาะผ้าถ้าจำเป็น ถ้าหากรถเป็นเบาะผ้า สามารถซักเบาะได้เมื่อจำเป็น ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับซักพรม หรือสำหรับซักเบาะผ้าในรถที่มีขายตามแผนกอุปกรณ์รถทั่วไป และก่อนจะใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้อย่าลืมทดสอบผลิตภัณฑ์ก่อนว่าจะไม่ทำให้เบาะรถของเรานั้นมีสีซีดหรือจางลง โดยให้ทดสอบบริเวณที่ไม่เป็นจุดสังเกตุเพื่อดุผลลัพธ์ 4) ทำความสะอาดหน้าต่างด้านใน อย่าลืมทำความสะอาดหน้าต่างด้านใน สามารถใช้ที่เช็ดกระจกทั่วไปหรือกระดาษทิจชู่เช็ดก็ได้ค่ะ แต่พอเช็ดเสร็จเรียบร้อยแล้ว มักจะทั้งคราบฝุ่นอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นใช้ผลิตภัณฑ์เช็ดกระจกสำหรับรถยนต์ หรือผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง แต่ระวังอย่าใช้น้ำยาเช็ดกระจกที่มีส่วนผสมของแอมโมเนีย เพราะจะทำให้กระจกรถเป็นรอยได้ค่ะ 5) ลงน้ำยาเคลือบหนังและผ้าไวนิล หลังจากที่ทำความสะอาดล้างด้านในตัวรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ลงน้ำยาเคลือบหนังและไวนิล ลงบนเบาะ เพื่อปกป้องและป้องกันดูแลเบาะรถให้มีสภาพดีอยู่ตลอด โดยน้ำยาเคลือบเบาะนี้จะช่วยให้ภายในตัวรถไม่มีฝุ่นเกาะ และปกป้องวัสดุจากแสงแดดรวมทั้งลดรอยแตกต่างๆได้ด้วย การลงแว๊กซ์หลังล้างรถ ในการดูแลการล้างรถในขั้นตอนสุดท้าย ควรการหาผลิตภัณฑ์ แว๊กซ์ (Wax) มาใช้เคลือบสีนอกจากจะเป็นเกราะป้องกันชั้นแรก มันยังทำให้สีรถของคุณ ดูเงางามขึ้นมาอีกด้วย เพราะการแว๊กซ์จะเปรียบเสมือนเกาะป้องกันรอยขีดข่วนให้ตัวรถ แว็กซ์จะทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันโดยมันมีการสร้างชั้นฟิล์มบางๆ มาเคลือบทับกับสีรถนั่นเอง ซึ่งการแว็กซ์สีรถเป็นประจำมันจะช่วยเพิ่มชั้นป้องกันรถ ซึ่งจะทำให้ผิวรถมีความลื่น ช่วยป้องกันคราบสกปรกต่าง ๆ ทำให้คราบไม่สามารถเกาะติดบนสีรถได้ เหมือนกับใบบอนที่น้ำจะกลิ้งไปกลิ้งมาทำให้เราล้างรถได้ง่ายมากขึ้น แล้วยิ่งถ้าเลือกใช้แว๊กซ์ที่มีคุณภาพสูงๆ ก็สามารถป้องกันได้แม้กระทั้งกรวดเล็กกันเลย และข้อดีอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับตัวรถเมื่อต้องการขายต่อรถมือสอง สีของรถเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ราคารถดีหรือไม่ดี แต่หากสีรถของคุณเป็นสีเดิมจากโรงงานและยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ สิ่งนี้มันจะสามารถบ่งบอกได้ว่า คุณเป็นคนที่ใช้รถอย่างทะนุถนอม ดูแลรักษารถดี มันทำให้ผู้ชื้อเกิดความเชื่อใจได้ราคาดีนั่นเอง และข้อสุดท้ายแว็กซ์ยังกันน้ำที่ต้องกันน้ำเพราะในบางสภาพอากาศการที่ฝนตกลงมาอาจมีสภาวะเป็นฝนกรด ซึ่งอาจเกิดความเสียหายต่อสีรถได้ เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับวิธีการล้างรถที่เรานำมาเสนอให้อ่านกัน ที่ผ่านมาทุกคนล้างรถด้วยวิธีการที่ถูกต้องกันหรือเปล่าเอ่ยหรือล้างครบทุกขั้นตอนที่เรานำเสนอไปไหมคะ หากยังล้างไม่ถูกต้องสามารถนำขั้นตอนที่เรานำมาเสนอไปปฏิบัติกันนะคะ รับรองว่าเป็นการดูแลรถที่ถูกต้องและทำให้รถของทุกคนดูใหม่และสุขภาพดีอยู่ตลอดแน่นอน Blog แนะนำ ไขข้อสงสัย ทำไมต้องล้างรถ ?
ถ้าพูดถึง การล้างรถ ก็คงเป็นสิ่งที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วว่าการล้างรถเป็นการทำความสะอาดสิ่งสกปรก และเป็นใส่ใจดูแลให้รถดูใหม่อยู่เสมอ แต่ทุกคนทราบกันหรือไม่ว่าแล้วต้องล้างรถบ่อยแค่ไหน ถึงจะเรียกว่าพอดี แบบไหนที่เป็นการดูแลเอาใจใส่รถของเราอย่างถูกต้องที่สุด ล้างรถบ่อยแค่ไหน? ถึงจะเรียกว่าพอดี ผู้เชี่ยวชาญในการดูแลสีรถแนะนำว่าควรล้างรถอย่างน้อยทุกหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ เป็นการล้างใหญ่ทั้งหมดทั้งภายนอกและภายใน อีกทั้งยังได้ดูแลสีรถด้วยการเคลือบผิวให้เงางามอีกด้วย แต่ในความเป็นจริง ช่วงเวลาสามารถยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสม สำหรับประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอุณหภูมิความร้อนสูงและแสงแดดเป็นตัวบ่อนทำลายความเงางามของสีรถได้เป็นอย่างดี หรือถ้าเป็นฤดูฝนการที่รถของเราตากฝน เม็ดฝนที่โดนกับตัวรถนั้นมีมลพิษที่ติดลงมาด้วยบวกกับรถของเราซึ่งมีฝุ่นจากมลภาวะบนท้องถนนอยู่แล้วจึงทำให้ตัวรถของเราดูโทรมมากขึ้น และยังกระตุ้นให้เกิดสนิมได้เมื่อเปรียบเทียบกับรถที่ได้รับการล้าง ดูแล เคลือบสีอยู่สม่ำเสมอ ยิ่งถ้ารถของเราคราบขี้นกหรือยางจากต้นไม้ที่มีสภาพความเป็นกรดสูง แล้วปล่อยให้เกาะกับสีรถนานเกินไป คราบจะยิ่งฝังลึกล้างหรือขัดออกยาก เพราะฉะนั้นควรล้างออกทันทีที่เห็นคราบเหล่านี้ ถ้าไม่อยากให้รถมีคราบที่เอานอกไม่ได้นอกเสียจากต้องทำสีรถใหม่อย่างเดียว หากไม่ล้างและปล่อยไว้เป็นเวลานานจะมีผลอย่างไร การล้างรถ คือ การชะล้างสิ่งสกปรกออกจากพื้นผิวรถ แน่นอนว่าหากคราบสกปรกเหล่านั้นถูกสะสมไว้เป็นเวลานานอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ เช่น รถผุ เกิดสนิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาฤดูฝนที่มักมีโคลน ดิน ติดตามตัวถังรถได้บ่อย จึงต้องการล้างทำความสะอาดทุกครั้งที่ตรวจเจอ ดีกว่าปล่อยให้คราบเหล่านี้เกาะตัวฝังแน่นติดกับตัวรถกลายเป็นปัญหาภาวะสีด่าง สีของรถไม่เท่ากัน กลายเป็นปัญหาที่ใหญ่มากขึ้นไปอีกได้ ถ้าล้างรถต้องมาคู่กับการลงแว็กซ์ เคลือบสีรถอยู่เสมอหรือไม่ หลังจากการดูแลรถด้วยการล้างรถไปแล้วนั้น รถยนตร์ส่วนใหญ่ก็ต้องการการบำรุงเพิ่มเติม ซึ่งผลิตภัณฑ์นี้จะป้องกันและดูแลสีรถยนต์ให้เงางามเหมือนใหม่อยู่ตลอดเวลา สิ่งนี้เรียกว่า “แว็กซ์” ซึ่งแว็กซ์ไม่ได้ทำหน้าที่แค่ความเงางามที่มอบให้กับตัวรถอย่างเดียวเท่านั้น แต่ตัวแว็กซ์นี้ยังช่วยป้องกันสารเคมีต่างๆ ที่คอยทำลายความความเงางามของรถ เช่น ขี้นก ยางต้นไม้ ฝุ่นละอองหรือแม้กระทั่งความร้อนจากแสงแดด ตัวแว็กซ์จะช่วยปกป้องไม่ให้สิ่งเหล่านี้มาทำลายสีรถ หรือย่างน้อยก็ลดความรุนแรงที่จะมีผลต่อสภาพสี เมื่อสีรถได้รับการเคลือบปกป้องจากตัวแว็กซ์นี้ก็เหมือนเป็นการสร้างเกาะป้องกันไว้ชั้นหนึ่งให้กับสีรถได้เลย ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรทำทุกครั้งหลังจากล้างรถเสร็จ เพราะแว๊กซ์เป็นสารเคมีที่สามารถถูกล้างออกไปได้ ไม่ติดแน่นไปกับสีรถโดยตลอดเพราะฉะนั้นควรเคลือบแว็กซ์ใหม่ทุกครั้งเพื่อการปกป้องสีรถที่ดีที่สุด ถ้าไม่ล้างรถ สามารถทำความสะอาดด้วยวิธีอื่นได้ไหม ? การล้างรถไม่จำเป็นจะต้องลงแรงล้างทุกครั้งที่มีคราบสกปรกเสมอไป ถ้าหากรถของเรามีการลงแว็กซ์ เคลือบสีอยู่แล้วละก็มีการผสมสารป้องกันการเกาะติดของคราบเปื้อนไม่ให้ฝังแน่น สำหรับฝุ่นละอองที่พบเจออยู่ทุกวัน สามารถใช้ไม้ขนไก่ขนนุ่มปัดทำความสะอาด แล้วใช้ผ้านุ่ม เช็ดวนพร้อมขัดรถไปในตัว ก็สร้างความเงางามให้กับรถได้เช่นเดียวกัน หรือถ้าเจอคราบเปื้อนเป็นจุด ๆ การใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดเฉพาะส่วน ก็สามารถทำได้ง่าย แต่เมื่อใดก็ตามที่มองดูแล้วความเปื้อนสกปรกไม่ว่าจากฝุ่น หรือโคลนกระจายไปรอบคัน สามารถใช้น้ำล้างทำความสะอาดโดยรอบโดยที่ไม่ต้องลงน้ำยาล้างรถ รถก็ดูสะอาดเหมือนใหม่ได้ด้วย ระยะเวลาที่เหมาะสำหรับการทำความสะอาดภายในตัวรถ การทำความสะอาดภายในตัวรถหรือพื้นที่บริเวณห้องโดยสารก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม ควรทำความสะอาดเป็นประจำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพราะฝุ่น ความสกปรก หรือเชื้อโรคต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นอาจจะติดอยู่ตามเบาะหรือซอกมุมต่างๆ ในตัวรถก็ได้เราจึงต้องมีรอบการทำความสะอาดที่สม่ำเสมอ เพื่อรถที่สวยงามและเพื่อสุขภาพร่างกายที่ดีของเจ้าของรถและผู้โดยสารทุกคน สรุปคือการล้างรถเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใช้รถยนต์ควรทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่ต้องเจอมลภาวะในหลากหลายฤดู เพราะฉนั้นควรล้างทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษาความสะอาดของตัวรถยนต์และเพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคนอีกด้วย ซึ่งความเหมาะสมตามที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำคืออย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเหมาะสมตามเจ้าเจ้าของรถยนต์พิจารณา หากทำได้ตามนี้รถของคุณก็จะดูสะอาดเงางามเหมือนใหม่อยู่ตลอด ขอบคุณข้อมูลจาก : mottoraka , chobrod
ทุกคนเคยสงสัยกันไหมคะว่า ในอนาคตข้างหน้ารถยนต์จะมีหน้าตาเป็นยังไง สามารถใช้น้ำแทนได้ไหมนะ วันนี้เราเลยนำมุมมองของรถยนต์ในอนาคตที่หลาย ๆ สื่อคาดการณ์ว่า ใกลถึงจุดสิ้นสุดของรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงกันแล้ว และรถยนต์ไฟฟ้าก็กำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เรียกว่าเป็นกระแสข่าวเทคโนโลยีรถยนต์ที่น่าจับตามองมากเลยทีเดียว เมื่อบริษัทรายใหญ่และผู้ผลิตรถยนต์หลายเจ้า เริ่มคิดค้นและเดินหน้าผลิตรถยนต์ไฟฟ้า นวัตกรรมใหม่ที่โลกต้องจารึก ซึ่งในปัจจุบันนี้เห็นได้จากเทรนด์รถยนต์ที่นำเทคโนโลยีไร้คนขับมาใช้กันมากขึ้นแล้วด้วย ใกล้หมดยุคของรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแล้วจริงหรือไม่ ในปี 2050 มีการคาดการว่าน่าจะ หมดยุคของรถที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงกันแล้ว เพราะในหลายประเทศกำลังตื่นตัวกับการใช้รถพลังงานไฟฟ้า เพราะเป็นทรัพยากรหมุนเวียน ใช้งานได้ง่าย ประหยัดค่าใช้จ่าย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งยังลดมลพิษทางอากาศได้ดีอีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทย รถยนต์ไฟฟ้าได้เริ่มเข้ามาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับทุกคนโดยสำนักข่าวบลูมเบิร์กมองว่ารถไฟฟ้ามีแนวโน้มครองสัดส่วนทางการตลาดรถใหม่ในอังกฤษเพิ่มมากถึง 80% ภายในปี 2040 เนื่องจากต้นทุนผลิตแบตเตอรี่กำลังลดลง ส่งผลให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าถูกลงตามไปด้วย แต่หากเป็นรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเดียวคงไม่เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคในสมัยนี้ได้ หลายบริษัทผู้ผลิตรถยนต์จึงต้องหันมาเร่ง ลงทุนในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้าพร้อมกับเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับไปควบคู่กัน ดังนั้นรถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับจึงตอบโจทย์กับเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สุด มีการกำหนดรูปแบบการใช้งานรถยนต์ออกเป็น 2 แบบกว้างๆ โดยสำหรับรูปแบบแรกนั้น ไมค์ แรมซีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ การ์ทเนอร์ บริษัทวิจัยเทคโนโลยีในสหรัฐ กล่าวว่า รถยนต์หรูไร้คนขับ คืออนาคตของรถยนต์ในปี 2040“ภายในรถยนต์ยุคปี 2040 จะเต็มไปด้วยความหรูหรา ผมมองว่า รถยนต์ส่วนบุคคลน่าจะมีความน่าตื่นตาตื่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนที่แค่ต้องการใช้รถเดินทางเพียงอย่างเดียวนั้น จะหันไปซื้อรถมือสองหรือใช้บริการขนส่งสาธารณะมากกว่า” แรมซีย์กล่าว พร้อมเสริมว่า รถในอนาคตจะมีฟังก์ชั่นการใช้งานมากมาย เช่น สามารถปรับที่นั่งหันเข้าหากันได้ หรือมีหน้าจอรถที่เต็มไปด้วยรายละเอียดมากมายกว่าในปัจจุบันและรูปแบบรถยนต์แห่งอนาคตอย่างที่ 2 คือรถยนต์จะกลายเป็นบริการสาธารณะ เพราะเมื่อรถขับเคลื่อนได้เองแบบอัตโนมัติ คนก็ไม่จำเป็นต้องซื้อรถมาขับเองอีกต่อไป โดยรูปแบบดังกล่าวเริ่มปรากฏขึ้นแล้วในขณะนี้ เช่นบริการให้เช่ารถ หรือบริการไรด์-แชริ่งของอูเบอร์และลิฟต์ ซึ่งผู้ให้บริการไรด์-แชริ่งทั้งสองราย รวมถึงบริษัทไรด์-แชริ่งอื่นๆ ก็เริ่มลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับแล้ว แรมซีย์ มองว่า รถยนต์ไร้คนขับอาจกลายเป็นบริการมากกว่าจะเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคลมากขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับว่าเป็นตัวกลางขนส่งผู้คน โดยไปรับส่งตามจุดบริการต่างๆ แล้วไปให้บริการดังกล่าวกับคนอื่นๆ ต่อไปทั้งนี้ แรมซีย์ กล่าวเสริมว่า รูปแบบการใช้รถยนต์ทั้งสองแบบน่าจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กันภายในปี 2040 ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง ไม่แน่ว่าผู้คนอาจขับรถยนต์กันน้อยลง และการขับรถอาจกลายเป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่งแทนการขับเพื่อใช้สัญจรในชีวิตประจำวันก็เป็นได้ ข้อดีของเทคโนโลยีในอนาคต ช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนนในการใช้เทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการคำนวณระบบภายในแบบอัตโนมัติ หากยานยนต์สมัยใหม่ทำเข้ามาใช้ก็จะเป็นการช่วยลดอุบัติเหตุที่เกิดจากความประมาทได้มากขึ้น ลดภาวะโลกร้อนอย่างที่ทราบกันรถยนต์ไฟฟ้า เป็นพลังงานที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา จึงไม่เกิดภาวะเลือนกระจก ช่วยอำนวยความสะดวกเมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้นก็จะอำนวยความสะดวกทั้งเจ้าของรถ และผู้ใช้บริการรถยนต์สาธารณะมากขึ้น ลดความเสี่ยงในคดีอาญาเพราะการใช้รถยนต์แบบระบบอัตโนมัติ รถจะเคลื่อนที่ได้เอง ไม่ต้องมากังวลกับอุบัติเหตุจากความประมาทจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต ค่าใช้จ่ายพลังงานไฟฟ้าถูกกว่าน้ำมันเป็นที่แน่นอนว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า รถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้า ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าทำให้ผู้ใช้งานประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้หลายเท่าตัว ข้อเสียของเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับ ในเมื่อมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสียอย่างแน่นอน เรามาดูข้อเสียของการที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้นกันดีกว่าค่ะ รถยนต์ราคาค่อนข้างสูงรถยนต์พลังงานไฟฟ้า จะต้องใช้การผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง ย่อมส่งผลให้รถยนต์ประเภทดังกล่าวราคาสูงมาก เช่น Tesla Model S ที่มีราคาสูงถึง 2 ล้านกว่าบาท หรือแม้แต่รถยนต์ที่มีราคาถูกสุดอย่าง Nissan Leaf ก็ยังมีราคาเริ่มต้นในสหรัฐฯ สูงถึง 1 ล้านบาทเลยทีเดียว ระยะทางถูกจำกัดการเดินทางด้วยรถยนต์ไฟฟ้าถูกจำกัดเพราะว่า สถานีการชาร์ตพลังงานของรถยนต์ไฟฟ้ายังมีไม่ครอบคลุมและทั่วถึงขึ้นอยู่กับความจุของแบตเตอรี่ หากมีความจุน้อยก็อาจไม่เหมาะกับการเดินทางไปในพื้นที่ห่างไกลมากนักหรือหากใช้งานผิดวิธีก็จะเกิดความเสียหายได้ ไม่ได้เหมาะกับทุกคนเสมอไปถึงจะมีข้อดีมากมาย แต่ข้อดีเหล่านั้นหากมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากๆ ก็อาจทำให้ผู้ใช้รถอาจปรับตัวไม่ทันจนไม่สามารถเปิดใจงานรถยนต์ได้ ยังไม่แน่ชัดในความปลอดภัยเนื่องจากการใช้เทคโนโลยีการในคำนวณ ก็อาจมีการเกิดความผิดพลาดของระบบ หรือระบบป้องกันความปลอดภัยอื่นๆ จึงทำให้เกิดความไม่แน่ชัดในความปลอดภัยแล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะปลอดภัย เราควรศึกษาว่าบริษัทไหนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้มีคุณภาพ และปลอดภัยต่อการใช้งานสูง สำหรับในกรณีเคสที่ผ่านมาได้มีการทดลองขับรถยนต์ไฟฟ้าเทสลา แล้วเกิดชนกับหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์จนพังเสียหาย จึงจำเป็นต้องตรวจสอบที่มาที่ไป และระบบการทำงานต่างๆ หรือจะเลือกซื้อในอนาคตก็ต้องตัดสินใจให้ดีว่าจะใช้งานในบ้านเราได้จริงใช่ไหม ถ้าหากเราเดินทางในระยะทางไกล หรือเปิดแอร์ทิ้งไว้นาน ก็อาจจะทำให้เเบตเตอรี่หมด รถเสียได้ และถ้าเราไม่รู้วิธีซ่อม ก็อาจจะทำให้เกิดอันตรายได้เช่นกัน จนกว่าในอนาคตจะมีการทดสอบที่แน่นอนว่ารถยนต์ที่เราเลือกซื้อจะปลอดภัยจริงๆ เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับมุมมองในอนาคตรถยนต์ กับข้อดีข้อเสียที่เรานำมาเสนอให้ทุกคนได้อ่าน หลายคนอาจจะดูเป็นสิ่งไกลตัวแต่สิ่งเหล่านี้เริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างได้ลางๆ ในปัจจุบันแล้วนะคะ เราเองในฐานะผู้ใช้รถยนต์ก็ต้องอย่าลืมค่อยๆ ปรับตัวเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอยู่เสมอนะคะ ที่มา : boltech , POST TODAY
จากการที่ได้เห็นจุดเริ่มต้นของเทสล่า สิ่งที่ช่วยส่งเสริม สนับสนุนเทสล่าให้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักแบบก้าวกระโดดจนขึ้นแท่นเป็นผู้นำการผลิตในตลาดรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุดแซงหน้าบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่ครองแชมป์มาอย่างยาวนานอย่าง Toyota มีสาเหตุมาจากหลากหลายปัจจัยแต่วันนี้เราจะหยิบยกประเด็นเรื่องหลักการคิดของ บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชื่อดังอย่าง เทสล่า (Tesla) มาให้ได้อ่านกันค่ะ TESLA (เทสล่า) คือ บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานสะอาด 100% (Electric Vehicle) ที่นำเสนอจุดเด่นในเรื่องเทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่าง Autopilot ระบบที่ใช้ AI ขับแทนคน โดยการเชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์และระบบต่างๆ อย่างกล้องผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ออกแบบดีไซน์เรียบง่ายทั้งภายนอกและภายในเน้นไปทางเทคโนโลยีที่สามารถควบคุมได้ผ่านหน้าจอและอีกหนึ่งความโดดเด่นคือกระจกหลังคา Tesla การันตีว่ากระจกแผ่นหลังคามีความแข็งแกร่งทนทานสูงรองรับน้ำหนักของรถทั้งคันได้ ป้องกันกระจกหลังคาแตกกรณีเกิดการพลิกคว่ำ ด้วยการที่เทสล่าเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่เน้นหนักไปทางเทคโนโลยีโดยมี แบตเตอรี่ ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ และมอเตอร์เป็นหลักจึงทำให้มีโดดเด่นขึ้นแตกต่าง โดยแบตเตอรี่ของ Tesla ได้จดสิทธิบัตรสำหรับแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มีอายุการใช้งานยาวนานกว่า 1 ล้านไมล์หรือเป็นระยะทางกว่าถึง 1.6 ล้านกิโลเมตร ถือแบตเตอรี่เป็นหัวใจสำคัญ ของการก้าวต่อไปเป็นเทคโนโลยีหลักสำคัญต่อไปในอนาคต ในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้านี้ เทสล่ามีจุดเริ่มต้นจากการนำต้นแบบรถสปอร์ตไฟฟ้าแฮนด์เมด tZERO มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างรถยนต์ไฟฟ้าของตัวเองอย่าง Roadster ที่เป็นรถสปอร์ตไฟฟ้าระดับไฮเอนด์คันแรกของเทสล่า ผลิตมาให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงก่อน ด้วยเหตุนี้เทสล่าจึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมากด้วยเรื่องเทคโนโลยีและสมรรถนะสูงระดับ Supercar เมื่อผลิตรุ่นแรกออกมาแล้วประสบความสำเร็จ เทสล่าจึงผลิตรถหรูในโมเดลถัดมานั่นก็คือ Model S และ Model X ต่อมาเทสล่าได้ทำการตลาดด้วยการลดต้นทุนในการผลิต โดยการสร้าง Gigafactory โรงผลิตแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่ 20 GWh มีปริมาณเทียบเท่ากำลังผลิตแบตเตอรี่ทั้งโลกรวมกันเป็นของตัวเองจนทำให้เกิด Tesla Model 3 ในลำดับถัดมาและ Tesla Model 3 ด้วยความที่ต้นทุนการผลิตลดลงและสมรรถนะที่น่าสนใจ เช่น – อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 3.2 วินาที – แบตเตอรี่ความจุ 75 กิโลวัตต์ชั่วโมง ทำระยะทางได้ 481 กิโลเมตรต่อการชาร์จ – ความเร็วสูงสุด 360 กม./ชม. – ระบบช่วยขับ Autopilot ที่สามารถอัปเกรดเป็นระบบไร้คนขับสมบูรณ์ได้ในอนาคต จึงทำให้มีราคาให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้มากที่สุด จนขึ้นแท่นรถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) ที่คว้ายอดไปได้ 325,000 คัน หลังจากนั้นเมื่อนับจนถึงเดือนสิงหาคมปี 2017 ยอดจองทั้งสิ้นอยู่ที่ 455,000 คัน หรือมีคนจองวันละ 1,800 คัน เรียกว่าสูงมากชนิดไม่มีใครเทียบได้ และสิ่งที่ช่วยส่งเสริมให้เทสล่าขึ้นมาเป็นผู้นำด้านตลาดรถยนต์อีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือผู้บริหาร อีลอน มัสก์ (Elon Musk) CEO คนปัจจุบันของเทสล่าได้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของเขาว่า Tesla จะเข้ามามีส่วนช่วยแก้ปัญหาวิกฤตพลังงานของโลกด้วยการสร้างยานยนต์คุณภาพสูงสู่ตลาดโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล จากวิสัยทัศน์นี้เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และนวัตกรรมของเทสล่าที่ถูกคิดค้นขึ้นมาให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่มีการปล่อยมลพิษขึ้นสู่อากาศเลย เพราะไม่มีการใช้เครื่องยนต์น้ำมันเป็นส่วนประกอบแต่ใช้เป็นการใช้แบตเตอรี่ไฟฟ้าลิเทียมไอออนแทน นอกจากนี้จากการที่อีลอน มัสก์ ยังมีภาพลักษณ์ผลงานที่ได้สั่งสมมา พร้อมกับเรื่องราวชีวิตส่วนตัวที่มีสีสัน ทำให้อยู่ในความสนใจของสาธารณชนและกระแสข่าวมาโดยตลอด และเขาเองก็มีส่วนช่วยในการดูแลการออกแบบ Roadster และเป็นผู้นำในการออกแบบส่วนประกอบต่าง ๆ ตั้งแต่โมดูลไฟฟ้ากำลังไปจนถึงไฟหน้าจนได้รับรางวัล Global Green 2006 และรางวัล Index Design 2007 จากการออกแบบ Tesla Roadster รถสปอร์ตระดับพรีเมี่ยมที่มุ่งเป้าไปที่ผู้ใช้งานในยุคแรก ๆ จากนั้นจึงเริ่มการผลิตรถยนต์ที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคหลักมากขึ้นรวมถึงรถยนต์ราคาประหยัดอีกด้วย ด้วยการที่ Tesla (เทสล่า) มีแนวคิดที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญจึงได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพื่อผลักดันรถยนต์ไฟฟ้าออกมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคในอนาคตจะเห็นได้จากปัจจุบันราคาน้ำมันมีราคาสูงขึ้น จนรถยนต์ไฟฟ้า (EV)ได้รับมาสนใจเป็นอย่างมาก บวกกับเทสล่ามีเทคโนโลยีที่โดดเด่น ดีไซน์แตกต่าง และวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ทำในที่สุดก็ให้เทสล่าขึ้นแท่นมาเป็นผู้นำการผลิตในตลาดรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุด ขอบคุณข้อมูลจาก : katexoxo , thunkhaotoday
ในปัจจุบันน้ำมันราคาขึ้นสูง ทำให้รถ Ev หรือรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และหนึ่งในแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในขณะนี้ก็คงจะหนีไม่พ้น TESLA (เทสล่า) บริษัทผลิตรถยนต์พลังงานงานไฟฟ้าที่มีผู้บริหารคนล่าสุดอย่าง “Elon Musk” เรามาอ่านจุดเริ่มต้นของบริษัทเทสล่ากันดีกว่าค่ะ ว่าจุดเริ่มต้นของบริษัทผลิตรถยนต์ชื่อดังนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากอะไร TESLA (เทสล่า) คือ บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานสะอาด 100% (Electric Vehicle) ที่นำเสนอจุดเด่นในเรื่องเทคโนโลยีที่ทันสมัยเช่น Autopilot (ระบบขับขี่อัตโนมัติ) และการสั่งการผ่าน Smartphone เป็นต้น นอกจากนี้ TESLA ยังถือว่าเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสะอาดเป็นมิตรกับโลก ด้วยการที่ไม่มีการปล่อยมลพิษขึ้นสู่อากาศเลย เนื่องจากไม่มีการใช้เครื่องยนต์น้ำมันเป็นส่วนประกอบแต่ใช้เป็นแบตเตอรี่ไฟฟ้าลิเทียมไอออนแทน บริษัท TESLA (เทสล่า) ตั้งอยู่ใน Palo Alto (แพโล แอลโต) รัฐแคลิฟอร์เนีย ถูกก่อตั้งขึ้นในปี เมื่อวันที่ 1 เดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 2003 โดยมีผู้เริ่มก่อตั้งเป็นวิศวกรชาวอเมริกันสองคน คือ มาร์ติน อีเบอร์ฮาร์ด (Martin Eberhard) และ มาร์ก ทาร์เพนนิง (Marc Tarpenning) ซึ่งมีเป้าหมายตรงกันว่า ต้องการผลิตรถยนตร์ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่เพราะน่าจะตอบโจทย์การใช้งานมากกว่ารถยนตร์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง จึงได้เริ่มต้นสร้างรถยนตร์ไฟฟ้าขึ้น ต่อมาได้มีผู้ร่วมอุดมการณ์เพิ่มมาอีกหนึ่งคน นั่นคือ Elon Musk ซึ่งรับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ CEO ในปัจจุบัน โดยในก่อนหน้านี้บริษัทใช้ชื่อว่า เทสล่า มอเตอร์ (Tesla Motors) โดยชื่อนี้ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ นิโคลา เทสลา (Nikola Tesla) ที่เป็นนักประดิษฐ์ นักฟิสิกส์ วิศวกรเครื่องกล และวิศวกรไฟฟ้า ชาวเซอร์เบีย เทสล่า ภายใต้การบริหารของอีลอน มัสก์ เริ่มต้นจากการสร้างรถสปอตไฟฟ้าวางจำหน่ายครั้งแรกในปี 2008 มีชื่อรุ่นว่า “Roadster” รถระดับไฮเอนด์คันแรกของเทสล่าซึ่งได้บรรจุแบตเตอรี่ขนาด 53 kWh วิ่งได้ระยะทางไกลสุดถึง 320 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง แต่เนื่องจากแบตเตอรี่ไฟฟ้าเป็นต้นทุนที่มีราคาแพงที่สุดในการผลิตรถ Ev เทสล่าจึงต้องเริ่มต้นจากการขายรถยนต์ราคาแพง ให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงก่อน จากจุดเริ่มต้นของรถเทสล่าคันแรกนั้นทำให้เป็นที่มาของรถเทสล่าในโมเดลต่อๆ มา ทั้ง Model S และ Model X ซึ่งในรุ่นต่อมาเทสล่าได้ใช้กลยุทธ์ที่ทำให้ต้นทุนแบตเตอรี่ต่ำลงคือ การผลิตในจำนวนมาก (Economies of scale) เทสล่าแก้ปัญหานี้โดยการสร้าง Gigafactory โรงผลิตแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่ 20 GWh มีปริมาณเทียบเท่ากำลังผลิตแบตเตอรี่ทั้งโลกรวมกัน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐเนวาดา นิวยอร์ก นอกจากทั้งสองแห่งนี้เทสล่ายังตั้ง Gigafactory อีกแห่งหนึ่งในจีน และกำลังขยายฐานกำลังผลิตไปยังเยอรมนีอีกด้วย เพราะเหตุผลนี้จึงทำให้ลดต้นทุนการผลิตของเทสล่าถูกลงไปมากอีก จนทำให้เกิด Tesla Model 3 รถยนต์ไฟฟ้าราคาย่อมเยาว์ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มคนได้มากขึ้น ด้วยราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 35,000 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.05 ล้านบาท ยอดจองในช่วงเปิดตัวปี 2017 ทำสถิติการขายรถยนต์ได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ด้วยยอดจอง 3.25 แสนออเดอร์ ด้วยนวัตกรรมแนวคิดสุดล้ำของเทสล่า ทำให้มูลค่าตลาดขของเทสล่าเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด และในปี 2019 บริษัทเทสล่า ยังมีมูลค่าตลาดเพิ่มเป็น 1.8 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 17 เท่าภายใน 7 ปี จนเทสล่ากลายเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในสหรัฐฯ แซงหน้าผู้นำบริษัทรถยนตร์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงทั้งหมด ด้วยปัจจัยในหลายด้านจึงทำให้เทสล่ากลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ยอดนิยมอันดับต้นๆ ของรถ Ev เลยก็ว่าได้จากแนวคิดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมใช้พลังงานสะอาด 100% มาพร้อมกับเทคโนโลยี ดีไซน์ สุดล้ำจึงทำให้เทสล่าเข้ามามีบทบาทในวงการยานยนต์เป็นอย่างมาก จะเรียกว่าสะเทือนวงการยานยนต์ก็คงไม่ผิดนัก ขอบคุณที่มา : positioningmag