Porsche 911 เป็นรถมีการเปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 1963 ย้อนกลับไป เมื่อ 57 ปีก่อน ในงานมหกรรมยานยนต์ Frankfurt IAA Motor Show (IAA อินเตอร์เนชั่นแนล ออโต้โมทีฟโชว์) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1963 ที่เมือง Frankfurt ประเทศเยอรมนี ได้มีการเปิดตัวรถยนต์สปอร์ต ภายใต้รหัส 901 ซึ่งถูกผลิตขึ้นมาแทนที่ Porsche 356 เป็นรถโชว์ตัวต้นแบบ จากนั้นจึงมีการเปลี่ยนรหัสรุ่นเป็น 911 และขึ้นสายพานการผลิตอย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 1964 เครื่องยนต์ที่ใช้เป็นแบบเบนซิน ที่ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ (Air-cooled engines) แบบ 6 สูบเรียงนอน (Flat-6) ให้พละกำลัง 130 แรงม้า ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง ความจุตัวถังขนาด 2.0 ลิตร มีชื่อเรียกฉายาว่า “Horn Grill” เนื่องมาจากเอกลักษณ์ที่มีช่องตรงตระแกรงข้างไฟเลี้ยว ซึ่งช่องดังกล่าว เป็นระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์ โดยระบายจากกระจังหน้ารถ ให้อากาศให้ไปถ่ายเทความร้อนข้างใน ตามมาติด ๆ ในปี ค.ศ. 1962 ด้วยรถยนต์รหัส 912 มาพร้อมเครื่องยนต์แบบ 4 สูบ และรหัส 911 S ที่มาพร้อมกับขุมพลังเครื่องยนต์ขนาด 160 แรงม้า ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 1966 อีกทั้งยังนับเป็นครั้งแรกกับการติดตั้งล้ออัลลอยด์จาก Fuchs มากับตัวรถอีกด้วย จนกระทั่งเดือนกันยายน ปีค.ศ. 1965 ในงานมหกรรมยานยนต์ International Motor Show ณ เมือง Frankfurt ได้เผยโฉม 911 Targa (ทาร์ก้า) รถสปอร์ตที่ผสมผสานรูปทรงของรถเปิดประทุนกับรถคูเป้ 2 ประตู ซึ่งได้รับการขนานนามว่า เป็นรถเปิดประทุนที่มีความปลอดภัย ด้วยอุปกรณ์นิรภัย Roll bar แบบติดตั้งถาวร งานดีไซน์หลังคา Targa คืองานดีไซน์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในรถยนต์เปิดหลังคาแบรนด์อื่น ถือเป็นต้นแบบให้กับรถสปอร์ตรุ่นหลัง ๆ ต่อมาในปี ค.ศ. 1967 ทางพอร์เชอ ได้พัฒนาระบบเกียร์แบบใหม่ ส่งผ่านกำลังแบบ Semiautomatic Sport-automatic 4 จังหวะเป็นครั้งแรก รวมทั้งในปีเดียวกัน ยังได้ปล่อยรถยนต์ 911 รุ่น T , E และ S เข้าสู่ตลาดด้วยเช่นกัน ส่งผลให้พอร์เชอ กลายเป็นโรงงานผลิตรถยนต์จากเยอรมนีเจ้าแรก ที่สามารถผลิตรถตามกฎและข้อกำหนดควบคุมการปล่อยไอเสียของสหรัฐอเมริกา 10 ปี หลังจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของรถยนต์ 911 Generation แรก ทางพอร์เชอ ก็ได้ทำการเปิดตัวรถรุ่นที่ 2 มีชื่อเรียกว่า G Model ซึ่งเริ่มไลน์การผลิตตั้งแต่ปี ค.ศ. 1973 จนถึงปี ค.ศ. 1989 ซึ่งถือได้ว่า เป็นรุ่นที่มีการผลิตยาวนานกว่า 911 เจเนอเรชั่นอื่น ๆ รถยนต์รุ่นนี้ ได้รับการติดตั้งชิ้นส่วนกันชนด้านล่าง โดยมีการปรับปรุงให้มีความหนาขึ้น ซึ่งเป็นนวัตกรรมการออกแบบเพื่อให้เข้ากับมาตรฐานการทดสอบการชนในสหรัฐอเมริกา เพื่อการส่งออกไปขายในประเทศ ความปลอดภัยในห้องโดยสาร ได้รับการพัฒนาด้วยเช่นกัน โดยมีการเพิ่มเติมเข็มขัดนิรภัย ถึง 3 จุด แบบ Three-Point มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานพร้อมกับรถ รวมทั้งเพิ่มที่พักศีรษะเข้าไป เพื่อความสบายแก่ผู้ขับขี่ ในปี ค.ศ. 1983 พอร์เชอ ได้ปล่อย 911 Carrera (คาร์เรร่า) Superseded SC ออกมา พร้อมเครื่องยนต์ขนาด 3.2 ลิตร ขุมพลัง 231 แรงม้า และรุ่นนี้ ยังได้กลายมาเป็นรุ่นยอดนิยมสำหรับนักสะสมอีกด้วย สำหรับผู้ที่ชื่นชอบรถเปิดประทุน ยังสามารถเลือกสั่งรถยนต์เปิดประทุนได้ตั้งแต่ ปีค.ศ. 1982 เป็นต้นมา จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1989 ได้มีการเปิดตัวรถยนต์อีกรุ่น ภายใต้ชื่อ 911 Carrera Speedster (คาร์เรร่า สปีดสเตอร์) ซึ่งเป็นรุ่นที่พัฒนาขึ้นมาจากแรงบันดาลใจจากรถยนต์รุ่น 356 ในช่วงปี 1950s นั่นเอง ใน ปี ค.ศ. 1969 พอร์เชอ ได้นำเสนอเครื่องยนต์ ที่มีพละกำลังมากขึ้น รวมถึงเพิ่มความจุของเครื่องยนต์จากเดิม 2.0 ลิตร เป็น 2.2 ลิตร และ เพิ่มเป็น 2.4 ลิตร ในปี ค.ศ. 1971 สำหรับรถยนต์ 911 Carrera RS (คาร์เรร่า อาร์เอส) ที่มาพร้อมกับพละกำลังเครื่องยนต์สูงสุด 210 แรงม้า ด้วยน้ำหนักที่เบากว่า 1,000 กิโลกรัม ได้ทำการเปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 1972 โดยมีความจุเครื่องยนต์ 2.7 ลิตร มีการติดตั้งสปอยเลอร์หลังแบบ “Ducktail” ซึ่งถือเป็นสปอยเลอร์ชิ้นแรกที่ได้รับการติดตั้งลงบนรถที่เข้าสายการผลิต พอร์เชอ ปล่อยรถยนต์ 911 Carrera 4 (คาร์เรร่า 4) ภายใต้รหัส 964 ออกมาเมื่อปี ค.ศ. 1988 ซึ่งเป็นรุ่นที่ได้รับการเปลี่ยนชิ้นส่วนของตัวถังใหม่หมดกว่า 85% หลังจากที่ใช้รูปแบบตัวถังเดิมมาเป็นเวลา 15 ปี ส่งผลให้ 911 Generation 3 นี้เป็นรถที่มีความทันสมัยมากขึ้น มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบแบบนอน 3.6 ลิตร ให้พละกำลัง 250 แรงม้า รหัสตัวถัง 993 เปิดตัวในปี ค.ศ. 1990 และได้กลายมาเป็นรถที่ผู้ขับขี่พอร์เชอต่างเทใจให้ โดยการพัฒนาพื้นฐานโครงสร้างใหม่ทั้งหมด ด้วยการใช้โครงสร้างอลูมิเนียม รวมถึงล้อแม็กอลูมิเนียมแบบ Hollow-spoke ซึ่งไม่เคยมีใช้กับรถรุ่นใดมาก่อน มีการเสริมกันชนเข้าไป เพิ่มประสิทธิภาพความมั่นคง อีกทั้งยังทรงตัวได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งถือว่าเป็นนวัตกรรมอันทันสมัยมากในสมัยนั้น ในปี ค.ศ. 1995 สำหรับรุ่น Turbo นั้น ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีการติดตั้งเครื่องยนต์ 6 สูบแบบ Bi-Turbo (เทอร์โบคู่) ซึ่งมีประสิทธิภาพในเรื่องของการปล่อยมลพิษได้ต่ำมากที่สุดในโลก ถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยม สำหรับรถขับเคลื่อนสี่ล้อในสมัยนั้น ตามมาด้วยการเปิดตัวของ 911 GT2 (จีที2) ที่ได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นรถสปอร์ตอันสมบูรณ์แบบ มาพร้อมกับความเร็วสูงแบบเต็มพิกัด รวมทั้งหลังคาและกระจกไฟฟ้า ถือได้ว่า 993 เป็นรุ่นสุดท้ายที่ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่นักสะสมตามหา รหัสตัวถัง 996 นี้ เปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 1997 โดยทำการตลาดเป็นรุ่นที่จำหน่ายเมื่อปี 1998 เป็นรุ่นที่เรียกได้ว่าคือจุดเปลี่ยนที่สำคัญของตระกูล 911 เลยก็ว่าได้ โดย 996 นี้ยังคงความเป็นตำนานแบบดั้งเดิมคลาสสิคอยู่ แต่มาพร้อมกับการออกแบบใหม่ทั้งหมด ด้วยการใช้ระบบเครื่องยนต์ที่ระบายความร้อนด้วยน้ำ (Water-cooled engines) มีพละกำลังสูงสุด 300 แรงม้า อีกทั้งยังรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยการลดการปล่อยมลพิษ เสียง รวมถึงประหยัดเชื้อเพลิงมากยิ่งขึ้น พอร์เชอ ได้ทำการเปิดตัว 911 Carrera และ 911 Carrera S เจเนอเรชั่นที่ 6 ภายใต้รหัสตัวถัง 997 เมื่อเดือนกรกฏาคม ปี ค.ศ. 2004 โดยมีรูปทรงย้อนกลับไปยุคคลาสสิคอีกครั้ง ด้วยไฟหน้าแบบวงรี ที่แยกออกจากไฟเลี้ยวมาอยู่ตรงมุมกันชน เป็นการระลึกถึง 911 รุ่นดั้งเดิม มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 3.6 ลิตร แบบ Boxer (เบนซิน 6 สูบนอน) กับพละกำลังสูงสุดที่ 325 แรงม้า Generation ที่ 7 นี้ เป็นที่รู้จักกันภายใต้ชื่อรุ่น 991 เปิดตัวเมื่อปี 2011 โดยทำการตลาดเป็นรุ่น 2012 เป็นรุ่นที่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาของเทคโนโลยีรวมทั้งความทันสมัย ที่รวมตัวอยู่ใน 911 คันนี้ เป็นเจเนอเรชั่นใหม่ ที่ได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพและสมรรถนะเครื่องยนต์เข้าสู่ยุคใหม่ ด้วยฐานล้อที่ยาวขึ้น กว้างขึ้น มาพร้อมกับยางที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ห้องโดยสารได้รับการพัฒนาตามหลักสรีระศาสตร์มากขึ้น เพื่อประสิทธิภาพในการขับขี่ที่ถูกผสมผสานเข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ สำหรับ 911 Generation ที่ 8 นี้ ถือว่าเป็น เจเนอเรชั่นล่าสุด ภายใต้รหัส 992 ทำการเปิดตัวครั้งแรกที่ Los Angeles Autoshow เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ปี 2018 โดยยังคงรูปทรงดั้งเดิมของ 911 ในอดีตมาผสมผสานกับความทันสมัยในปัจจุบัน มีการเพิ่มระยะของล้อทั้งหน้าและหลัง โครงสร้างของตัวถังใช้แพลตฟอร์มร่วมกับ Porsche 718 ซึ่งมีชื่อเรียกว่า MMB-Modular Mid-Engine อันเป็นโครงสร้างแบบใหม่ที่รองรับเครื่องยนต์วางกลางลำและเครื่องยนต์วางท้าย นอกเหนือจากความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครแล้ว ในส่วนของเทคโนโลยีก็ยังได้รับการพัฒนาให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา การออกแบบที่ลงตัว มาพร้อมกับฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครัน สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงเรื่องราวความสำเร็จ ที่มีใน 911 ทุก Generation ความเป็นรถสปอร์ตที่ควบคู่กับการใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน จะมีรถสักกี่รุ่นบนโลก ที่ยังสามารถยืนหยัดอยู่ในวงการได้อย่างแข็งแกร่งและยังคงประสบความสำเร็จ มานานถึง 5 ทศวรรษ ปัจจุบัน Porsche 911 ได้กลายเป็นรถที่มีความเก่าแก่ที่สุดของแบรนด์ ที่ยังดำเนินสายการผลิตอยู่ และเป็นหนึ่งในรถประเภทคูเป้ ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอีกด้วย
รถ EV หรือรถยนต์ไฟฟ้า กำลังเป็นที่นิยม เพราะเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ดีสำหรับผู้ต้องการซื้อยานพาหนะ ด้วยพลังงานสะอาด ทันสมัย และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 5 สิ่งสำคัญ ที่คนใช้รถ EV ต้องรู้ มาทำความรู้จักกับ 5 สิ่งสำคัญที่คนใช้รถ EV ต้องรู้ ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับคำว่า EV กันดีกว่าค่ะ EV คำนี้ย่อมาจาก “EV-Electric Vehicle” หรือยานยนต์ไฟฟ้า ในประเทศไทยกำลังเริ่มเป็นที่นิยมและเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ดีสำหรับผู้ต้องการซื้อยานพาหนะมาใช้สอย และสำหรับผู้ที่ใช้รถ EV แล้วมาทำความรู้จักให้มากขึ้นกันผ่าน 5 สิ่งสำคัญนี้กันค่ะ การชาร์จ 1 ครั้งสามารถวิ่งได้ไกลแค่ไหน รถยนต์ไฟฟ้ามีทั้งหมดด้วยกัน 4 ประเภท แต่ว่ายอดขาย 4 ล้านคันที่นับกันว่าเป็น “รถ EV” เฉพาะรุ่นที่เสียบปลั๊กชาร์จไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่ได้ มี 2 ประเภท คือ Plug-in Hybrid (PHEV) และ Battery Electric Vehicle (BEV) - PHEV คือการใช้พลังงานผสมระหว่างน้ำมันเชื้อเพลิง และไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ที่เสียบปลั๊กชาร์จไฟได้ โดยระยะทางที่ใช้ไฟฟ้าวิ่งได้จะขึ้นอยู่กับความจุของแบตเตอรี่ ส่วนใหญ่ความจุแบตเตอรี่อยู่ที่ 6-14 kW วิ่งได้ 25-50 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง - BEV คือ การขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่แบบ 100 % จึงไม่มีการปล่อยมลพิษทางอากาศ ต้องชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่โดยตรงเท่านั้น มีความจุแบตเตอรี่อยู่ที่ 60-90 kW วิ่งได้ 338-473 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง ใช้รถยนตร์ไฟฟ้า Ev ประหยัดกว่ารถยนตร์ธรรมดาจริงไหม หากพูดถึงค่าใช้จ่ายค่าไฟในการชาร์จรถยนตร์ไฟฟ้าหากนำมาเทียบกับรถยนตร์ธรรมดาที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง รถยนตร์ไฟฟ้าประหยัดกว่าถึง 3 เท่า!! โดยอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง จะอยู่ที่ 3 บาท/กิโลเมตร ส่วนค่าไฟในการชาร์จรถ EV จะอยู่ที่ราวๆ 0.7 – 1 บาท/กิโลเมตร เท่านั้น แต่หากชาร์จตามสถานที่อื่นๆ ก็อาจจะมีเพิ่มค่าบริการอีกเล็กน้อย แล้วแต่สถานที่ การชาร์จในแต่ละครั้ง ใช้เวลาในการชาร์จนานแค่ไหน เวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ของรถยนต์ EV แต่ละคันไม่เท่ากัน เนื่องจากมีขนาดความจุของแบตเตอรี่ที่ต่างกัน หากใช้สายชาร์จแถม (Mode 2) ก็จะทำให้ใช้เวลาชาร์จนาน ชาร์จได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ หากใช้ชาร์จรถไฮบริด (Hybrid) ที่มีแบตเตอรี่ขนาดเล็ก ความจุ 6 – 14 kW จะใช้เวลาประมาณ 3 – 7 ชั่วโมง และหากเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ แบตเตอรี่จะมีขนาดใหญ่ 60 – 90 kW ใช้เวลาชาร์จนานถึง 40 ชั่วโมง รถ EV สามารถชาร์จที่บ้านได้ไหม ปลอดภัยหรือเปล่า ? สายชาร์จที่แถมมากับตัวรถ เป็นแค่ Emergency Charge ! (สาย Mode 2) เหมาะสำหรับการชาร์จ “เพียงชั่วคราวสั้นๆ ในยามฉุกเฉิน!” ที่แบตเตอรี่รถ EV หมดนอกบ้านในยามฉุกเฉินเท่านั้น ไม่ได้ออกแบบมาใช้สำหรับเสียบชาร์จกับปลั๊กไฟบ้านเป็นเวลานาน หรือประจำ เนื่องจากอาจเกิดความร้อนสะสมที่เต้าเสียบไฟบ้าน อาจส่งผลให้ระบบไฟบ้านเกิดปัญหาได้ ดังนั้นเมื่อชาร์จเต็มแล้วควรถอดปลั๊กทันที สาเหตุเกิดจากสายไฟบ้านทั่วไปในไทยทนกระแสไฟได้เพียง 10 A หรืออาจน้อยกว่า แต่สายชาร์จแถม สามารถดึงกระแสไฟสูงสุดถึง 12A ซึ่งเกินจากสายไฟบ้านรับได้! หากต้องการใช้อย่างปลอดภัย ต้องเดินสายไฟใหม่ขนาด 4 Sq.mm. ขึ้นไป สำหรับเฉพาะเต้าเสียบนี้เท่านั้น โดยไม่พ่วงกับอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ และที่สำคัญจะต้องมีระบบสายดินด้วย ที่ชาร์จตามปั๊มแบบรวดเร็ว สามารถชาร์จรถ EV ได้ทุกรุ่นไหม? การชาร์จไฟแบบ DC Quick Charge (Mode 4) ตามที่เห็นในปั๊มน้ำมันในต่างประเทศ รองรับแค่รถประเภท BEV แค่เพียงไม่กี่ยี่ห้อ เท่านั้นเช่น Tesla, Nissan Leaf, BMW i3/i8 เป็นต้น (ไม่สามารถชาร์จรถ PHEV ส่วนใหญ่ได้) แม้ว่าจะชาร์จได้เร็วมากเพียง 20 นาทีก็เกือบเต็ม แต่หากใช้เป็นประจำ มีโอกาสทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วกว่ากำหนด ควรใช้แค่ 2 ใน 10 ของการชาร์จทั้งหมด ส่วนอีก 8 ใน 10 ควรชาร์จแบบ AC charge โดยใช้เครื่อง Wallbox EV Charger (Mode 3) หรือ สายแถม (Mode 2) แต่ทั้งนี้ในไทยยังมี DC Quick Charge Station ให้บริการน้อยมาก มีเพียงแต่ AC Charge ตามห้างหรือปั๊ม ซึ่งบางที่มีหัวชาร์จไม่ครบทุกประเภท จึงอาจไม่สามารถชาร์จรถบางยี่ห้อได้ เพราะรถจากแต่ละประเทศก็มีหัวชาร์จที่แตกต่างกัน เช่น รถสหรัฐอเมริกา รถญี่ปุ่น เป็นหัวชาร์จ Type 1, รถยุโรป เป็นหัวชาร์จ Type 2, รถจีนเป็นหัวชาร์จ GB/T อีกทั้งยังมีหัว Quick Charge ประเภทต่างๆ อีก เป็นยังไงกันบ้างคะกับ “5 สิ่งสำคัญ ที่คนใช้รถ EV ต้องรู้” เป็นประเด็นสำคัญที่หลายท่านกำลังสงสัย หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์และสามารถไขข้อสงสัยให้กับผู้ใช้รถยนตร์ไฟฟ้ามากขึ้นนะคะ
Marketing 1.0 การตลาด Marketing 101 เน้นเรื่องสินค้า เริ่มจากประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 1950 เน้นสินค้าเป็นหลัก คือ ผลิตสินค้าที่ดีที่สุดเพื่อสร้างความรู้สึกคุ้มค่าให้กับผู้บริโภคสินค้าและบริการจะอยู่ในใจผู้บริโภคเป็นสินค้าที่มีฟีเจอร์เยอะเยอะสร้างความเหนือกว่าคู่แข่งโดยเจ้าของเจ้าของแบรนด์จะตั้งราคาสูงๆ ตลาดจากยุคเกษตรกรรมสู่ยุคการสร้างแบรนด์ คำว่า การตลาด เป็นแนวคิดธุรกิจที่มีผู้คนผู้บริโภคเป็นหลัก หัวใจสำคัญของการตลาด คือ มีการแลกเปลี่ยนสินค้า (Exchange) ที่ไม่ใช่การขายอย่างที่หลายคนเข้าใจแต่แนวคิด Marketing ประกอบด้วย 2 สิ่งสำคัญ ได้แก่ Place หรือมีสถานที่ขาย และ People หรือคน ซึ่งต้องมีทั้ง 2 สิ่ง เพื่อเข้าถึงผู้บริโภค (Consumer) โดยรู้ความต้องการผู้บริโภค และสามารถสร้างให้ผู้บริโภคเกิดความต้องการและมีความอยาก การตลาดยุค 1.0 (Marketing 1.0) การตลาดยุค 1.0 ยุคทุนนิยม หรือยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม หรือหลายคนเรียกว่า ยุค Mass Marketing นับเป็นจุดเริ่มต้นการตลาด ที่เน้นผลิตสินค้าออกมาจำหน่ายมาดๆ เพื่อลดต้นทุนการผลิต (Product Centric) ยุคนี้ผลิตยึดตัวเองเป็นหลัก เน้นในเรื่องการผลิตสินค้าออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าในลักษณะมวลชน ขนาดใหญ่ และผลิตสินค้าตามความต้องการของตลาด เน้นการผลิตที่เน้นตัวสินค้าเป็นหลัก เน้นการผลิตจำนวนมากเพื่อลดต้นทุน ส่วนเทคนิคทางการตลาดนิยมนำมาใช้กันอย่างมากในยุคนี้ก็คือการใช้หลัก 4P’s ก็คือ Products ปัจจัยแรก ที่หมายถึงสินค้า หรือบริการที่ส่งมอบสู่ลูกค้า ไม่ว่าธุรกิจจะส่งมอบอะไรจับต้องได้หรือไม่ ล้วนเป็น Product Price ปัจจัยที่ 2 นี้เป็นด้านราคา ซึ่งจำเป็นต่อธุรกิจอย่างมาก เป็นปัจจัยสร้างกำไรให้ธุรกิจ และก็เป็นอีกปัจจัยในสายตาผู้บริโภค Place ปัจจัยที่ 3 คือ สถานที่ ที่ธุรกิจสามารถจัดแสดงหรือส่งออกสินค้า และบริการออกไปให้ใกล้ชิดผู้บริโภค Promotion ปัจจัยที่ 4 เป็นเรื่องการสื่อสารและกระจายเสียงของแบรนด์ให้เข้าถึงใจลูกค้ามากที่สุด ซึ่งในยุคนี้เป็นยุคที่มีการทำเครื่องหมายการค้าให้กับแบรนด์ (ตีตราแบรนด์เป็นสินค้า) ซึ่งเรายังมีกาตลาดที่ดำเนินมาอีกหลายยุคจนกว่าจะถึงปัจจุบัน สามารถอ่านต่อได้บทความหน้านะครับ
ธุรกิจล้างรถ หรือธุรกิจคาร์แคร์เป็นธุรกิจที่มีมายาวนาน และยังเป็นธุรกิจที่สามารถเติบโตได้ในตลาด แต่หากต้องการเติบโตในธุรกิจก็ต้องพัฒนา และปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม รถยนต์เป็นพาหนะที่อำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน และการที่มีรถยนต์ก็ต้องดูแลรักษา ซ่อมบำรุงเพื่อยืดอายุการใช้งาน คาร์แคร์จึงเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่มีการเติบโตและน่าจับตามองแต่เนื่องจากเวลาที่เปลี่ยนไป สังคมที่เปลี่ยนแปลง จึงได้มีการพัฒนาจากล้างคนที่ใช้แรงงานเป็นล้างด้วยเครื่องล้างอัตโนมัติ และปัจจุบันธุรกิจล้างรถที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย เพระาด้วยความสะดวกรวดเร็ว และตอบโจทย์คยยุคใหม่ หลายคนคงเคยได้ยินการล้างรถรูปแบบใหม่อย่าง การล้างรถอัตโนมัติ มาบ้างแล้ว แต่ก็มีหลายคนเช่นกันที่ยังไม่ทราบว่า การล้างรถอัตโนมัติต่างจากการล้างรถทั่วไปอย่างไร? มีประโยชน์อย่างไร? เรามี 3 เหตุผลมาตอบคำถามที่ว่า ทำไมต้องล้างรถอัตโนมัติกัน สะดวก รวดเร็ว เพิ่มเวลาชีวิต การล้างรถเป็นการดูแลรถที่ใช้เวลาไม่น้อย ลำพังจะทำเองก็ใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะครอบคลุมครบทุกจุด จะให้ร้านล้างให้ก็คงใช้เวลาไม่น้อย ยิ่งถ้าล้างก่อนเดินทางไปไหน เห็นว่าคงไม่ทันเวลา แต่จะไม่ล้างก็ไม่ได้ การล้างรถอัตโนมัติจึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ช่วยเซฟเวลาให้คุณสามารถนำรถที่สะอาดหมดจดไปใช้งานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะการล้างรถอัตโนมัติช่วยให้รถของคุณสะอาดและได้รับการดูแลครบทุกจุดในเวลาไม่เกิน 10 นาที เพียงเท่านี้.. คุณก็จะมีเวลาเหลือไปทำอย่างอื่นพร้อมรถคู่ใจที่สะอาดหมดจดได้แล้ว สะอาด ไร้รอย ดูแลครบครัน หากเราไม่ได้เป็นคนล้างรถด้วยตัวเอง ก็คงอดกังวลไม่ได้ว่ารถจะสะอาดหรือไม่? มีรอยขีดข่วนหรือเปล่า? แต่ถ้าเป็นการล้างรถด้วยเครื่องล้างรถอัตโนมัติแล้ว บอกได้เลยว่า “หายห่วง” ด้วยระบบที่คิดค้นมาให้เป็นมิตรต่อรถ เส้นใยที่ใช้ล้างนั้นผลิตจากวัสดุประเภทโฟมที่ให้สัมนุ่มนวลกับรถของคุณ ไร้รอยขีดข่วน คงไว้ซึ่งสภาพที่สวยงามดังเก่า อีกทั้งยังสะอาดหมดจุดเพราะได้รับการทำความสะอาดที่ครอบคลุมทุกจุด มั่นใจได้เลยว่าการล้างรถอัตโนมัติจะช่วยให้คุณคลายกังวลเรื่องความสะอาดและความปลอยภัยของรถได้อย่างปลิดทิ้ง สบายกระเป๋า คุ้มค่า คุ้มราคา จากเหตุผลสองข้อที่กล่าวไป จะเห็นได้ว่าการล้างรถอัตโนมัตินั้น ช่วยดูแลรถของคุณให้สะอาดด้วยเวลาอันสั้น และครอบคลุมครบทุกจุด ถึงแม้ว่าจะดูแลได้ดีขนาดนี้ แต่ค่าบริการเริ่มต้นกลับไม่ได้สูงอย่างที่คิด จ่ายแบงค์ร้อยมีทอน! เทียบกับการล้างที่ Car Care ดูแล้วจัดว่าคุ้มค่าไม่เบา ช่วยให้คุณนำเงินในกระเป๋าไปใช้ในส่วนอื่นได้อีกสบายๆ ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้คงช่วยให้คุณตัดสินใจได้ไม่ยาก หากต้องการดูแลรถให้ครบครันคลอมคลุมทุกจุดในเวลาเร่งรีบ หลังจากนี้ เราหวังว่าคุณจะให้การล้างรถอัตโนมัติเป็นตัวเลือกแรกในการดูแลรถ และเปิดใจลองใช้บริการดูสักครั้ง เพราะการล้างรถอัตโนมัติจะเปลี่ยนภารกิจยุ่งยากให้เป็นเรื่องง่ายและใช้เวลาน้อยกว่าที่คิด