มาทำความรู้จักกับแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าชื่อดังอย่าง TESLA (เทสล่า) ให้มากขึ้นด้วยผ่านโมเดลรถยนต์ที่เทสล่ามีทั้งหมด 4 โมเดล พร้อมบอกสเปกและราคาจำหน่ายเริ่มต้น TESLA (เทสล่า) คือบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% (Electric Vehicle) ที่นำเสนอจุดเด่นในเรื่องเทคโนโลยีที่ทันสมัยเช่น Autopilot (ระบบขับขี่อัตโนมัติ) และการสั่งการผ่าน Smartphone เป็นต้น นอกจากนี้ TESLA ยังถือว่าเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสะอาดเป็นมิตรกับโลก ด้วยการที่ไม่มีการปล่อยมลพิษขึ้นสู่อากาศเลย เนื่องจากไม่มีการใช้เครื่องยนต์น้ำมันเป็นส่วนประกอบแต่ใช้เป็นแบตเตอรี่ไฟฟ้าลิเทียมไอออนแทน TESLA ทุก MODEL ถูกออกแบบให้มีความมินิมอล รูปโฉมเรียบง่าย สะอาดตา ไม่หลุดภาพลักษณ์รถยนต์รักสิ่งแวดล้อมอีกด้วย และด้วยการที่ Tesla (เทสล่า) มีแนวคิดที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญจึงได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพื่อผลักดันรถยนต์ไฟฟ้าออกมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคในอนาคตจะเห็นได้จากปัจจุบันราคาน้ำมันมีราคาสูงขึ้น จนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้รับมาสนใจเป็นอย่างมาก บวกกับเทสล่ามีเทคโนโลยีที่โดดเด่น ดีไซน์แตกต่าง และวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ทำในที่สุดก็ให้เทสล่าขึ้นแท่นมาเป็นผู้นำการผลิตในตลาดรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุด เรามาทำความรู้จัก 4 MODELS ของแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าชื่อดังนี้กันดีกว่าค่ะ ว่าจะมีสมรรถนะเป็นอย่างไรบ้าง TESLA MODEL S TESLA MODEL S เป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Sedan ถูกเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2012 โมเดลนี้ถูกพัฒนามาเป็นระยะเวลาเกือบ 10 ปีเพื่อพัฒนาสมรรถนะของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ให้ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปัจจุบันมี TESLA MODEL S ทั้งหมด 2 รุ่นด้วยกันคือ Model S Dual Motor AWD ราคาโดยประมาณ 3,405,000 บาท (99,990 USD) อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม.: 3.1 วินาที ขุมพลัง 670 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 3.1 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 249 กม. /ชม. ระยะทางขับขี่: 603 - 651 กิโลเมตร (375 - 405 ไมล์) Model S Plaid Tri Motor AWD ราคาโดยประมาณ 4,635,000 บาท (135,990 USD) อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม.: 1.99 วินาที ระยะทางขับขี่: 560 - 637 กิโลเมตร (348 - 396 ไมล์) ซึ่งรุ่น Plaid นี้ถูกอัพเกรดใหม่ให้สามารถใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว ส่งพลังสูงสุดถึง 1,020 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม. /ชม. ต่ำกว่า 2 วินาทีเลยทีเดียว อีกทั้งยังทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 320 กม. /ชม. TESLA MODEL 3 TESLA MODEL 3 เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับกระแสความนิยมมากที่สุด กับการเปิดตัวด้วยการมียอดจองสูงที่สุดในโลกด้วยตัวเลขมากกว่า 325,000 คัน ภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์หลังการเปิดตัว และมียอดจองทะลุ 500,000 คันภายใน 3 เดือนเท่านั้น เพราะด้วยตัวโมเดลมีขนาดที่กระทัดรัด ชาร์จได้รวดเร็ววิ่งได้ไกลและมีราคาที่สามารถจับต้องได้ด้วยราคาเริ่มต้นประมาณ 1 ล้านบาท ส่วนในเรื่องของสมรรถนะก็ทำออกมาได้โดดเด่นไม่แพ้ใครด้วยเครื่องยนต์มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ที่ทำงานแบบอิสระ โดย MODEL 3 นี้มีให้เลือกถึง 3 รุ่นด้วยกัน รุ่น Model 3 Standard (Rear Wheel Drive) ราคาโดยประมาณ 1,601,000 บาท (46,990 USD) ขุมพลัง 283 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 5.3 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 225 กม. /ชม. เมื่อชาร์จไฟเต็มสามารถวิ่งได้ 430 กม. รุ่น Model 3 Long Range (All-Wheel Drive) ราคาโดยประมาณ 1,908,000 บาท (55,990 USD) ขุมพลัง 346 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 4.2 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 233 กม. /ชม. ขับเคลื่อนแบบ All-Wheel Drive เมื่อชาร์จไฟเต็มสามารถวิ่งได้ 580 กม. รุ่น Model 3 Performance (All-Wheel Drive) ราคาโดยประมาณ 2,147,000 บาท (62,990 USD) ขุมพลัง 450 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 3.3 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 261 กม. /ชม. มอเตอร์คู่ ระบบขับเคลื่อนแบบ All-Wheel Driveเมื่อชาร์จไฟเต็มสามารถวิ่งได้ 567 กม. TESLA MODEL X TESLA MODEL X เป็นรถยนต์ไฟฟ้า Crossover ขนาดกลาง (Mid-size) ที่ถูกพูดถึงในส่วนของประตูมากที่สุดเพราะ ประตูของโมเดลรถรุ่นนี้มาในรูปแบบ Falcon Wing (ลักษณะปีกนก) ที่เวลาเปิดประตูจะถูกยกขึ้นเหมือนปีกนก มาพร้อมรูปทรงที่ดูบึกบึน ทรงพลัง ซี่ง TESLA MODEL X ถูกแบ่งออกเป็นอีก 2 รุ่นย่อย รุ่น Tesla Model X Plaid (Tri Motor) ราคาโดยประมาณ 4,740,000 บาท (138,990 USD) มีกำลังถึง 1,020 แรงม้า สามารถเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 2.5 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 262 กม. /ชม. รุ่น Tesla Model X (Dual Motor) ราคาโดยประมาณ 2,640,000 บาท (114,900 USD) มีกำลัง 670 แรงม้า สามารถเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 3.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 249 กม. /ชม. TESLA MODEL Y TESLA MODEL Y รถยนต์ไฟฟ้า Compact Crossover SUV ที่ถูกพัฒนาแพลตฟอร์มมาจาก TESLA MODEL 3 ซึ่งมีชิ้นส่วนคล้ายคลึงกันถึง 75 % มีขนาดที่กะทัดรัด มีที่นั่งให้เลือกตามใจชอบอีกด้วย ทั้งแบบ 5 ที่นั่งและ 7 ที่นั่ง TESLA MODEL Y แบ่งออกเป็น 2 รุ่นย่อยคือ รุ่น Performance ราคาโดยประมาณ 2,320,000 บาท (67,990 USD) สามารถทำความเร็ว 0 – 100 กม./ชม. ที่ 3.5 วินาที ระบบขับเคลื่อนแบบ All-Wheel Drive ทำความเร็วสูงสุด 241 กม./ชม. รุ่น Long Range ราคาโดยประมาณ 2,150,000 บาท (62,990 USD) สามารถทำความเร็ว 0 – 100 กม./ชม. ที่ 5.3 วินาที ระบบขับเคลื่อนแบบ All-Wheel Drive ทำความเร็วสูงสุด 217 กม./ชม. เทสล่ามีความสามารถในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกมาให้ตอบโจทย์และหลากหลาย ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกในการตัดสินใจมากขึ้นซึ่งก็จะแตกต่างกันในด้าน ดีไซน์สมรรถนะ รวมทั้งราคา เหตุนี้จึงทำให้ TESLA ถูกเป็นที่พูดถึงและเป็นที่ต้องการของผู้คนมากมาย
ทุกคนเคยสงสัยกันไหมคะว่า ในอนาคตข้างหน้ารถยนต์จะมีหน้าตาเป็นยังไง สามารถใช้น้ำแทนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ไหมนะ ? วันนี้เราเลยนำมุมมองของรถยนต์ในอนาคตที่หลาย ๆ สื่อคาดการณ์ว่า ใกลถึงจุดสิ้นสุดของรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงกันแล้ว และรถยนต์ไฟฟ้าก็กำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เรียกว่าเป็นกระแสข่าวเทคโนโลยีรถยนต์ที่น่าจับตามองมากเลยทีเดียว เมื่อบริษัทรายใหญ่และผู้ผลิตรถยนต์หลายเจ้า เริ่มคิดค้นและเดินหน้าผลิตรถยนต์ไฟฟ้า นวัตกรรมใหม่ที่โลกต้องจารึก ซึ่งในปัจจุบันนี้เห็นได้จากเทรนด์รถยนต์ที่นำเทคโนโลยีไร้คนขับมาใช้กันมากขึ้นแล้วด้วย ใกล้หมดยุคของรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแล้วจริงหรือไม่ ในปี 2050 มีการคาดการว่าน่าจะ หมดยุคของรถที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงกันแล้ว เพราะในหลายประเทศกำลังตื่นตัวกับการใช้รถพลังงานไฟฟ้า เพราะเป็นทรัพยากรหมุนเวียน ใช้งานได้ง่าย ประหยัดค่าใช้จ่าย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งยังลดมลพิษทางอากาศได้ดีอีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทย รถยนต์ไฟฟ้าได้เริ่มเข้ามาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับทุกคนโดยสำนักข่าวบลูมเบิร์กมองว่ารถไฟฟ้ามีแนวโน้มครองสัดส่วนทางการตลาดรถใหม่ในอังกฤษเพิ่มมากถึง 80% ภายในปี 2040 เนื่องจากต้นทุนผลิตแบตเตอรี่กำลังลดลง ส่งผลให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าถูกลงตามไปด้วย แต่หากเป็นรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเดียวคงไม่เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคในสมัยนี้ได้ หลายบริษัทผู้ผลิตรถยนต์จึงต้องหันมาเร่ง ลงทุนในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้าพร้อมกับเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับไปควบคู่กัน ดังนั้นรถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับจึงตอบโจทย์กับเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สุด มีการกำหนดรูปแบบการใช้งานรถยนต์ออกเป็น 2 แบบกว้างๆ โดยสำหรับรูปแบบแรกนั้น ไมค์ แรมซีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ การ์ทเนอร์ บริษัทวิจัยเทคโนโลยีในสหรัฐ กล่าวว่า รถยนต์หรูไร้คนขับ คืออนาคตของรถยนต์ในปี 2040“ภายในรถยนต์ยุคปี 2040 จะเต็มไปด้วยความหรูหรา ผมมองว่า รถยนต์ส่วนบุคคลน่าจะมีความน่าตื่นตาตื่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนที่แค่ต้องการใช้รถเดินทางเพียงอย่างเดียวนั้น จะหันไปซื้อรถมือสองหรือใช้บริการขนส่งสาธารณะมากกว่า” แรมซีย์กล่าว พร้อมเสริมว่า รถในอนาคตจะมีฟังก์ชั่นการใช้งานมากมาย เช่น สามารถปรับที่นั่งหันเข้าหากันได้ หรือมีหน้าจอรถที่เต็มไปด้วยรายละเอียดมากมายกว่าในปัจจุบันและรูปแบบรถยนต์แห่งอนาคตอย่างที่ 2 คือรถยนต์จะกลายเป็นบริการสาธารณะ เพราะเมื่อรถขับเคลื่อนได้เองแบบอัตโนมัติ คนก็ไม่จำเป็นต้องซื้อรถมาขับเองอีกต่อไป โดยรูปแบบดังกล่าวเริ่มปรากฏขึ้นแล้วในขณะนี้ เช่นบริการให้เช่ารถ หรือบริการไรด์-แชริ่งของอูเบอร์และลิฟต์ ซึ่งผู้ให้บริการไรด์-แชริ่งทั้งสองราย รวมถึงบริษัทไรด์-แชริ่งอื่นๆ ก็เริ่มลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับแล้ว แรมซีย์ มองว่า รถยนต์ไร้คนขับอาจกลายเป็นบริการมากกว่าจะเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคลมากขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับว่าเป็นตัวกลางขนส่งผู้คน โดยไปรับส่งตามจุดบริการต่างๆ แล้วไปให้บริการดังกล่าวกับคนอื่นๆ ต่อไปทั้งนี้ แรมซีย์ กล่าวเสริมว่า รูปแบบการใช้รถยนต์ทั้งสองแบบน่าจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กันภายในปี 2040 ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง ไม่แน่ว่าผู้คนอาจขับรถยนต์กันน้อยลง และการขับรถอาจกลายเป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่งแทนการขับเพื่อใช้สัญจรในชีวิตประจำวันก็เป็นได้ ข้อดีของเทคโนโลยีในอนาคต ช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนนในการใช้เทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการคำนวณระบบภายในแบบอัตโนมัติ หากยานยนต์สมัยใหม่ทำเข้ามาใช้ก็จะเป็นการช่วยลดอุบัติเหตุที่เกิดจากความประมาทได้มากขึ้น ลดภาวะโลกร้อนอย่างที่ทราบกันรถยนต์ไฟฟ้า เป็นพลังงานที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา จึงไม่เกิดภาวะเลือนกระจก ช่วยอำนวยความสะดวกเมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้นก็จะอำนวยความสะดวกทั้งเจ้าของรถ และผู้ใช้บริการรถยนต์สาธารณะมากขึ้น ลดความเสี่ยงในคดีอาญาเพราะการใช้รถยนต์แบบระบบอัตโนมัติ รถจะเคลื่อนที่ได้เอง ไม่ต้องมากังวลกับอุบัติเหตุจากความประมาทจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต ค่าใช้จ่ายพลังงานไฟฟ้าถูกกว่าน้ำมันเป็นที่แน่นอนว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า รถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้า ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าทำให้ผู้ใช้งานประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้หลายเท่าตัว ข้อเสียของเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับ ในเมื่อมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสียอย่างแน่นอน เรามาดูข้อเสียของการที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้นกันดีกว่าค่ะ รถยนต์ราคาค่อนข้างสูงรถยนต์พลังงานไฟฟ้า จะต้องใช้การผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง ย่อมส่งผลให้รถยนต์ประเภทดังกล่าวราคาสูงมาก เช่น Tesla Model S ที่มีราคาสูงถึง 2 ล้านกว่าบาท หรือแม้แต่รถยนต์ที่มีราคาถูกสุดอย่าง Nissan Leaf ก็ยังมีราคาเริ่มต้นในสหรัฐฯ สูงถึง 1 ล้านบาทเลยทีเดียว ระยะทางถูกจำกัดการเดินทางด้วยรถยนต์ไฟฟ้าถูกจำกัดเพราะว่า สถานีการชาร์ตพลังงานของรถยนต์ไฟฟ้ายังมีไม่ครอบคลุมและทั่วถึงขึ้นอยู่กับความจุของแบตเตอรี่ หากมีความจุน้อยก็อาจไม่เหมาะกับการเดินทางไปในพื้นที่ห่างไกลมากนักหรือหากใช้งานผิดวิธีก็จะเกิดความเสียหายได้ ไม่ได้เหมาะกับทุกคนเสมอไปถึงจะมีข้อดีมากมาย แต่ข้อดีเหล่านั้นหากมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากๆ ก็อาจทำให้ผู้ใช้รถอาจปรับตัวไม่ทันจนไม่สามารถเปิดใจงานรถยนต์ได้ ยังไม่แน่ชัดในความปลอดภัยเนื่องจากการใช้เทคโนโลยีการในคำนวณ ก็อาจมีการเกิดความผิดพลาดของระบบ หรือระบบป้องกันความปลอดภัยอื่นๆ จึงทำให้เกิดความไม่แน่ชัดในความปลอดภัยแล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะปลอดภัย เราควรศึกษาว่าบริษัทไหนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้มีคุณภาพ และปลอดภัยต่อการใช้งานสูง สำหรับในกรณีเคสที่ผ่านมาได้มีการทดลองขับรถยนต์ไฟฟ้าเทสลา แล้วเกิดชนกับหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์จนพังเสียหาย จึงจำเป็นต้องตรวจสอบที่มาที่ไป และระบบการทำงานต่างๆ หรือจะเลือกซื้อในอนาคตก็ต้องตัดสินใจให้ดีว่าจะใช้งานในบ้านเราได้จริงใช่ไหม ถ้าหากเราเดินทางในระยะทางไกล หรือเปิดแอร์ทิ้งไว้นาน ก็อาจจะทำให้เเบตเตอรี่หมด รถเสียได้ และถ้าเราไม่รู้วิธีซ่อม ก็อาจจะทำให้เกิดอันตรายได้เช่นกัน จนกว่าในอนาคตจะมีการทดสอบที่แน่นอนว่ารถยนต์ที่เราเลือกซื้อจะปลอดภัยจริงๆ เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับมุมมองในอนาคตรถยนต์ กับข้อดีข้อเสียที่เรานำมาเสนอให้ทุกคนได้อ่าน หลายคนอาจจะดูเป็นสิ่งไกลตัวแต่สิ่งเหล่านี้เริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างได้ลางๆ ในปัจจุบันแล้วนะคะ เราเองในฐานะผู้ใช้รถยนต์ก็ต้องอย่าลืมค่อยๆ ปรับตัวเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอยู่เสมอนะคะ ที่มา : boltech , POST TODAY
ในปัจจุบันน้ำมันราคาขึ้นสูง ทำให้ รถ Ev หรือรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และหนึ่งในแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในขณะนี้ก็คงจะหนีไม่พ้น TESLA (เทสล่า) บริษัทผลิตรถยนต์พลังงานงานไฟฟ้าที่มีผู้บริหารคนล่าสุดอย่าง “Elon Musk” เรามาอ่านจุดเริ่มต้นของบริษัทเทสล่ากันดีกว่าค่ะ ว่าจุดเริ่มต้นของบริษัทผลิตรถยนต์ชื่อดังนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากอะไร TESLA (เทสล่า) คือ บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานสะอาด 100% (Electric Vehicle) ที่นำเสนอจุดเด่นในเรื่องเทคโนโลยีที่ทันสมัยเช่น Autopilot (ระบบขับขี่อัตโนมัติ) และการสั่งการผ่าน Smartphone เป็นต้น นอกจากนี้ TESLA ยังถือว่าเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสะอาดเป็นมิตรกับโลก ด้วยการที่ไม่มีการปล่อยมลพิษขึ้นสู่อากาศเลย เนื่องจากไม่มีการใช้เครื่องยนต์น้ำมันเป็นส่วนประกอบแต่ใช้เป็นแบตเตอรี่ไฟฟ้าลิเทียมไอออนแทน บริษัท TESLA (เทสล่า) ตั้งอยู่ใน Palo Alto (แพโล แอลโต) รัฐแคลิฟอร์เนีย ถูกก่อตั้งขึ้นในปี เมื่อวันที่ 1 เดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 2003 โดยมีผู้เริ่มก่อตั้งเป็นวิศวกรชาวอเมริกันสองคน คือ มาร์ติน อีเบอร์ฮาร์ด (Martin Eberhard) และ มาร์ก ทาร์เพนนิง (Marc Tarpenning) ซึ่งมีเป้าหมายตรงกันว่า ต้องการผลิตรถยนตร์ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่เพราะน่าจะตอบโจทย์การใช้งานมากกว่ารถยนตร์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง จึงได้เริ่มต้นสร้างรถยนตร์ไฟฟ้าขึ้น ต่อมาได้มีผู้ร่วมอุดมการณ์เพิ่มมาอีกหนึ่งคน นั่นคือ Elon Musk ซึ่งรับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ CEO ในปัจจุบัน โดยในก่อนหน้านี้บริษัทใช้ชื่อว่า เทสล่า มอเตอร์ (Tesla Motors) โดยชื่อนี้ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ นิโคลา เทสลา (Nikola Tesla) ที่เป็นนักประดิษฐ์ นักฟิสิกส์ วิศวกรเครื่องกล และวิศวกรไฟฟ้า ชาวเซอร์เบีย เทสล่า ภายใต้การบริหารของอีลอน มัสก์ เริ่มต้นจากการสร้างรถสปอตไฟฟ้าวางจำหน่ายครั้งแรกในปี 2008 มีชื่อรุ่นว่า “Roadster” รถระดับไฮเอนด์คันแรกของเทสล่าซึ่งได้บรรจุแบตเตอรี่ขนาด 53 kWh วิ่งได้ระยะทางไกลสุดถึง 320 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง แต่เนื่องจากแบตเตอรี่ไฟฟ้าเป็นต้นทุนที่มีราคาแพงที่สุดในการผลิตรถ Ev เทสล่าจึงต้องเริ่มต้นจากการขายรถยนต์ราคาแพง ให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงก่อน จากจุดเริ่มต้นของรถเทสล่าคันแรกนั้นทำให้เป็นที่มาของรถเทสล่าในโมเดลต่อๆ มา ทั้ง Model S และ Model X ซึ่งในรุ่นต่อมาเทสล่าได้ใช้กลยุทธ์ที่ทำให้ต้นทุนแบตเตอรี่ต่ำลงคือ การผลิตในจำนวนมาก (Economies of scale) เทสล่าแก้ปัญหานี้โดยการสร้าง Gigafactory โรงผลิตแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่ 20 GWh มีปริมาณเทียบเท่ากำลังผลิตแบตเตอรี่ทั้งโลกรวมกัน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐเนวาดา นิวยอร์ก นอกจากทั้งสองแห่งนี้เทสล่ายังตั้ง Gigafactory อีกแห่งหนึ่งในจีน และกำลังขยายฐานกำลังผลิตไปยังเยอรมนีอีกด้วย เพราะเหตุผลนี้จึงทำให้ลดต้นทุนการผลิตของเทสล่าถูกลงไปมากอีก จนทำให้เกิด Tesla Model 3 รถยนต์ไฟฟ้าราคาย่อมเยาว์ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มคนได้มากขึ้น ด้วยราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 35,000 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.05 ล้านบาท ยอดจองในช่วงเปิดตัวปี 2017 ทำสถิติการขายรถยนต์ได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ด้วยยอดจอง 3.25 แสนออเดอร์ ด้วยนวัตกรรมแนวคิดสุดล้ำของเทสล่า ทำให้มูลค่าตลาดขของเทสล่าเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด และในปี 2019 บริษัทเทสล่า ยังมีมูลค่าตลาดเพิ่มเป็น 1.8 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 17 เท่าภายใน 7 ปี จนเทสล่ากลายเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในสหรัฐฯ แซงหน้าผู้นำบริษัทรถยนตร์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงทั้งหมด ด้วยปัจจัยในหลายด้านจึงทำให้เทสล่ากลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ยอดนิยมอันดับต้นๆ ของรถ Ev เลยก็ว่าได้จากแนวคิดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมใช้พลังงานสะอาด 100% มาพร้อมกับเทคโนโลยี ดีไซน์ สุดล้ำจึงทำให้เทสล่าเข้ามามีบทบาทในวงการยานยนต์เป็นอย่างมาก จะเรียกว่าสะเทือนวงการยานยนต์ก็คงไม่ผิดนัก ขอบคุณที่มา : positioningmag