มาทำความรู้จักกับแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าชื่อดังอย่าง TESLA (เทสล่า) ให้มากขึ้นด้วยผ่านโมเดลรถยนต์ที่เทสล่ามีทั้งหมด 4 โมเดล พร้อมบอกสเปกและราคาจำหน่ายเริ่มต้น TESLA (เทสล่า) คือบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% (Electric Vehicle) ที่นำเสนอจุดเด่นในเรื่องเทคโนโลยีที่ทันสมัยเช่น Autopilot (ระบบขับขี่อัตโนมัติ) และการสั่งการผ่าน Smartphone เป็นต้น นอกจากนี้ TESLA ยังถือว่าเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสะอาดเป็นมิตรกับโลก ด้วยการที่ไม่มีการปล่อยมลพิษขึ้นสู่อากาศเลย เนื่องจากไม่มีการใช้เครื่องยนต์น้ำมันเป็นส่วนประกอบแต่ใช้เป็นแบตเตอรี่ไฟฟ้าลิเทียมไอออนแทน TESLA ทุก MODEL ถูกออกแบบให้มีความมินิมอล รูปโฉมเรียบง่าย สะอาดตา ไม่หลุดภาพลักษณ์รถยนต์รักสิ่งแวดล้อมอีกด้วย และด้วยการที่ Tesla (เทสล่า) มีแนวคิดที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญจึงได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพื่อผลักดันรถยนต์ไฟฟ้าออกมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคในอนาคตจะเห็นได้จากปัจจุบันราคาน้ำมันมีราคาสูงขึ้น จนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้รับมาสนใจเป็นอย่างมาก บวกกับเทสล่ามีเทคโนโลยีที่โดดเด่น ดีไซน์แตกต่าง และวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ทำในที่สุดก็ให้เทสล่าขึ้นแท่นมาเป็นผู้นำการผลิตในตลาดรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุด เรามาทำความรู้จัก 4 MODELS ของแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าชื่อดังนี้กันดีกว่าค่ะ ว่าจะมีสมรรถนะเป็นอย่างไรบ้าง TESLA MODEL S TESLA MODEL S เป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Sedan ถูกเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2012 โมเดลนี้ถูกพัฒนามาเป็นระยะเวลาเกือบ 10 ปีเพื่อพัฒนาสมรรถนะของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ให้ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปัจจุบันมี TESLA MODEL S ทั้งหมด 2 รุ่นด้วยกันคือ Model S Dual Motor AWD ราคาโดยประมาณ 3,405,000 บาท (99,990 USD) อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม.: 3.1 วินาที ขุมพลัง 670 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 3.1 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 249 กม. /ชม. ระยะทางขับขี่: 603 - 651 กิโลเมตร (375 - 405 ไมล์) Model S Plaid Tri Motor AWD ราคาโดยประมาณ 4,635,000 บาท (135,990 USD) อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม.: 1.99 วินาที ระยะทางขับขี่: 560 - 637 กิโลเมตร (348 - 396 ไมล์) ซึ่งรุ่น Plaid นี้ถูกอัพเกรดใหม่ให้สามารถใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว ส่งพลังสูงสุดถึง 1,020 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม. /ชม. ต่ำกว่า 2 วินาทีเลยทีเดียว อีกทั้งยังทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 320 กม. /ชม. TESLA MODEL 3 TESLA MODEL 3 เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับกระแสความนิยมมากที่สุด กับการเปิดตัวด้วยการมียอดจองสูงที่สุดในโลกด้วยตัวเลขมากกว่า 325,000 คัน ภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์หลังการเปิดตัว และมียอดจองทะลุ 500,000 คันภายใน 3 เดือนเท่านั้น เพราะด้วยตัวโมเดลมีขนาดที่กระทัดรัด ชาร์จได้รวดเร็ววิ่งได้ไกลและมีราคาที่สามารถจับต้องได้ด้วยราคาเริ่มต้นประมาณ 1 ล้านบาท ส่วนในเรื่องของสมรรถนะก็ทำออกมาได้โดดเด่นไม่แพ้ใครด้วยเครื่องยนต์มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ที่ทำงานแบบอิสระ โดย MODEL 3 นี้มีให้เลือกถึง 3 รุ่นด้วยกัน รุ่น Model 3 Standard (Rear Wheel Drive) ราคาโดยประมาณ 1,601,000 บาท (46,990 USD) ขุมพลัง 283 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 5.3 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 225 กม. /ชม. เมื่อชาร์จไฟเต็มสามารถวิ่งได้ 430 กม. รุ่น Model 3 Long Range (All-Wheel Drive) ราคาโดยประมาณ 1,908,000 บาท (55,990 USD) ขุมพลัง 346 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 4.2 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 233 กม. /ชม. ขับเคลื่อนแบบ All-Wheel Drive เมื่อชาร์จไฟเต็มสามารถวิ่งได้ 580 กม. รุ่น Model 3 Performance (All-Wheel Drive) ราคาโดยประมาณ 2,147,000 บาท (62,990 USD) ขุมพลัง 450 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 3.3 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 261 กม. /ชม. มอเตอร์คู่ ระบบขับเคลื่อนแบบ All-Wheel Driveเมื่อชาร์จไฟเต็มสามารถวิ่งได้ 567 กม. TESLA MODEL X TESLA MODEL X เป็นรถยนต์ไฟฟ้า Crossover ขนาดกลาง (Mid-size) ที่ถูกพูดถึงในส่วนของประตูมากที่สุดเพราะ ประตูของโมเดลรถรุ่นนี้มาในรูปแบบ Falcon Wing (ลักษณะปีกนก) ที่เวลาเปิดประตูจะถูกยกขึ้นเหมือนปีกนก มาพร้อมรูปทรงที่ดูบึกบึน ทรงพลัง ซี่ง TESLA MODEL X ถูกแบ่งออกเป็นอีก 2 รุ่นย่อย รุ่น Tesla Model X Plaid (Tri Motor) ราคาโดยประมาณ 4,740,000 บาท (138,990 USD) มีกำลังถึง 1,020 แรงม้า สามารถเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 2.5 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 262 กม. /ชม. รุ่น Tesla Model X (Dual Motor) ราคาโดยประมาณ 2,640,000 บาท (114,900 USD) มีกำลัง 670 แรงม้า สามารถเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 3.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 249 กม. /ชม. TESLA MODEL Y TESLA MODEL Y รถยนต์ไฟฟ้า Compact Crossover SUV ที่ถูกพัฒนาแพลตฟอร์มมาจาก TESLA MODEL 3 ซึ่งมีชิ้นส่วนคล้ายคลึงกันถึง 75 % มีขนาดที่กะทัดรัด มีที่นั่งให้เลือกตามใจชอบอีกด้วย ทั้งแบบ 5 ที่นั่งและ 7 ที่นั่ง TESLA MODEL Y แบ่งออกเป็น 2 รุ่นย่อยคือ รุ่น Performance ราคาโดยประมาณ 2,320,000 บาท (67,990 USD) สามารถทำความเร็ว 0 – 100 กม./ชม. ที่ 3.5 วินาที ระบบขับเคลื่อนแบบ All-Wheel Drive ทำความเร็วสูงสุด 241 กม./ชม. รุ่น Long Range ราคาโดยประมาณ 2,150,000 บาท (62,990 USD) สามารถทำความเร็ว 0 – 100 กม./ชม. ที่ 5.3 วินาที ระบบขับเคลื่อนแบบ All-Wheel Drive ทำความเร็วสูงสุด 217 กม./ชม. เทสล่ามีความสามารถในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกมาให้ตอบโจทย์และหลากหลาย ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกในการตัดสินใจมากขึ้นซึ่งก็จะแตกต่างกันในด้าน ดีไซน์สมรรถนะ รวมทั้งราคา เหตุนี้จึงทำให้ TESLA ถูกเป็นที่พูดถึงและเป็นที่ต้องการของผู้คนมากมาย
อุตสาหกรรมรถยนต์เป็นอีกตลาดหนึ่งที่น่าจับตามอง วันนี้รวบรวม 10 รถยนต์ชื่อดังที่ใหญ่ที่สุดของโลก เป็นแบรนด์ที่มีอิทธิพล และมีกำลังในการผลิตสูง จึงทำให้ไม่ว่าจะออกผลิตภัณฑ์อะไรมาก็มาให้เป็นที่น่าจับตามองวันนี้เราจึงนำข้อมูลแต่ละแบรนด์มานำเสนอข้อมูลให้ทุกท่านได้อ่านกันค่ะ Tesla บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานสะอาด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่าง บริษัท Tesla ที่มีมูลค่าบริษัท 582.93 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ เป็นบริษัทมีมูลค่าตลาดเติบโตแบบก่วกระโดดเลยก็ว่าได้สำหรับ Tesla (เทสล่า) ที่ก่อตั้งบริษัทขึ้นมาเมื่อ 1 กรกฎาคม 2003 มาร์ติน อีเบอร์ฮาร์ด (Martin Eberhard) และ มาร์ก ทาร์เพนนิง (Marc Tarpenning) ซึ่งมีเป้าหมายตรงกันว่า ต้องการผลิตรถยนตร์ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่เพราะน่าจะตอบโจทย์การใช้งานมากกว่ารถยนตร์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง จึงได้เริ่มต้นสร้างรถยนตร์ไฟฟ้าขึ้น ต่อมาได้มีผู้ร่วมอุดมการณ์เพิ่มมาอีกหนึ่งคน นั่นคือ Elon Musk ซึ่งรับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ CEO ในปัจจุบัน แล้วก็นำชื่อของ Nikola Tesla (นิโคลา เทสลา) ผู้ค้นพบวิธีการสื่อสารแบบไร้สาย ผู้ประดิษฐ์ขดลวดเทสลา ผู้ประดิษฐ์หลอดไฟแบบใช้ก๊าซ ให้แสงสว่างมาเป็นชื่อของบริษัท เทสล่าผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกจำหน่ายโดยใช้เวลาเพียง 17 ปี ก็สามารถเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดทุกวันนี้ Tesla ถือว่าเป็นบริษัทที่เติบโตอนชย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดดเพราะหากพุดพูดรถไฟฟ้าก็คงพูดถึง Tesla (เทสล่า) Toyota บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก มูลค่าตลาดบริษัท 246.61 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ จุดเริ่มต้นเกิดจากบริษัทโรงงานทอผ้า Toyoda Automatic Loom Works ที่ก่อตั้งโดย Sakichi Toyoda ที่ได้ชื่อว่าเป็น ราชานักประดิษฐ์ ของญี่ปุ่น โดยในปี 1929 ได้นำเงินมาก่อตั้งบริษัท จากการสิทธิบัตรขายสิทธิบัตรการผลิตเครื่องทอผ้าอัตโนมัติมาตั้งบริษัท Toyota Motor ลุยกับการผลิตรถยนต์อย่างเต็มตัว โดย Kiichiro Toyoda ทำหน้าที่รับช่วงต่อเริ่มผลิตรถ Toyoda AA (โตโยด้า เอเอ) ออกจำหน่ายในปี 1936 จน Toyota ก้าวขึ้นมาสู่อันดับ 1 ของโลกของยานยนต์ได้ในที่สุด และเป็นแบรนด์ที่ครองใจคนใช้รถได้ทั่วโลก Volkswagen เป็นหนึ่งบริษัทที่เป็นที่รู้จักกันอย่างมาก และมีแบรนด์ในเครือมากมาย มูลค่าบริษัทของ Volkswagen อยู่ที่ 173.46 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ Volkswagen เกิดขึ้นในยุค Aldorf Hitler (อดอล์ฟ ฮิตเลอร์) โดยในปี1937 ได้มีแนวคิดสร้างรถยนต์สำหรับประชาชนขึ้น โดยตั้งชื่อว่า Volkswagen (โฟล์คสวาเกน) ตามภาษาเยอรมันที่คำว่า Volk แปลว่า ประชาชน ส่วน Wagen แปลว่า รถยนต์ รวมกันแล้วเป็น รถยนต์ของประชาชน” ปัจจุบันแบรนด์รถในเครือ Volkswagen มีหลายยี่ห้อ ได้แก่ Volkswagen, Porsche, Audi, Bugatti, Bentley, Lamborghini, Skoda, Scania, MAN, Neoplan และ Ducati เป็นต้น Daimler มูลค่าบริษัท 102.65 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ชื่อ Daimler มาจากบริษัท Daimler Motoren Gesellschaft ของ Gottlieb Daimler (กอตต์ลีบ เดมเลอร์) ผู้ประดิษฐ์รถยนต์ 4 ล้อคันแรกของโลก ที่รู้จักกันทั่วไปและเรียกว่าMercedes-Benz ต่อในปี 1926 Daimler ได้รวมเข้ากับบริษัท Benz Cie & Co. จึงจับชื่อมาชนกัน แล้วขายรถในชื่อ Mercedes-Benz (เมอร์เซเดส-เบนซ์) ตั้งแต่ปี 1926 แต่ยังคงใช้ชื่อบริษัทว่า Daimler-Benz ก่อนจะเปลี่ยนเป็น Daimler-Chrysler เมื่อคราวรวมกิจการกับ Chrysler ในปี 1998 และกลับมาใช้ชื่อ Daimler AG อีกครั้งในปี 2007 หลังจากการแยกตัวของ Chrysler โดยมีแบรนด์รถในเครือ Mercedes-Benz ได้แก่ Mercedes-Benz, Smart, Maybach, AMG, Freightliner, Western Star, Bharat Benz, Setra, Fuso, Starliner GM มูลค่าบริษัท 86.53 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ GM (จีเอ็ม) หรือ General Motors เคยได้ชื่อว่าบริษัทรถที่ใหญ่ที่สุดในโลกมาก่อน จดทะเบียนครั้งแรกในวันที่ 16 กันยายน 1908 GM (จีเอ็ม) เป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่มีประวัติยาวนานกว่าศตวรรษ เคยเป็นเจ้าของตำแหน่ง ผู้ผลิตที่มียอดขายทั่วโลกมากเป็นอันดับ 1 มาอย่างยาวนานถึง 76 ปี GM ขยายกิจการด้วยการซื้อแบรนด์อื่นมารวมใน GM มากมายซึ่งแบรนด์รถในเครือ GM ได้แก่ Chevrolet, Cadillac, Buick, GMC และ Holden เป็นต้น BYD BYD มูลค่าบริษัท 79.57 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ BYD (บีวายดี) หรือ Build Your Dreams แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจีนเจ้าใหญ่ที่กำลังมาแรงและทำยอดขายได้มากที่สุดในปี 2017 ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1995 เติบโตมาจากการเป็นบริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่สำหรับมือถือ ต่อมาในปี 2002 BYD เข้าซื้อกิจการของบริษัท Tsinchuan Automobile หนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศจีน. ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น BYD Automobile Co.,Ltd. ซึ่ง BYD นับตั้งแต่ปี 2008 เริ่มเน้นผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกมาจำหน่ายมากเป็นพิเศษ จัดได้ว่าเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลก (ในแง่ความหลายหลายของผลิตภัณฑ์ มีทั้งรถยนต์ รถบัส รถบรรทุกไฟฟ้า และโรงงานผลิต เป็นต้น) ที่ในไทยก็มีตัวแทนจำหน่ายแล้วแบรนด์รถในเครือ BYD ได้แก่ BYD และ Denza เป็นต้น 7. BMW ไม่มีใครไม่รู้จักอย่าง BMW มีมูลค่าบริษัท 71.70 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ BMW (บีเอ็มดับเบิลยู) ถือกำเนิดขึ้นในปี 1916 ที่เยอรมนี โดย วิศวกรเครื่องกลชาวบาวาเรีย 2 คน คือ Carl Rapp และ MaxFriz ซึ่งเริ่มต้นผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบิน โดยใช้ชื่อว่า Bayerische Flugzkugwerke AG แต่ในปี 1918 ก็เปลี่ยนมาผลิตรถยนต์แทน และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Bayerische Motoren Werke AG ซึ่งแปลว่า งานผลิตรถยนต์ ของคนบาวาเรีย ซึ่งมีชื่อเสียงไปทั่วโลกแบรนด์รถในเครือ BMW ได้แก่ BMW, Mini และ Rolls-Royce 8.NIO NIO เป็นบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าคู่แข่งเทสล่าในอนาคต มีมูลค่าบริษัท 67.44 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ NIO (นิโอ) นับเป็น Startup ด้านรถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงที่สุดของจีนในเวลานี้ มาในรูปแบบของรถหรูไฮเทคคันแรกของค่าย อย่าง NIO ET-7 มีจุดเด่นที่ด้านการออกแบบนวัตกรรม เทคโนโลยี แถมยังได้ชื่อว่าเป็น Tesla (เทสล่า) แห่งประเทศจีนอีกด้วยสำหรับ NIO ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 โดย วิลเลียม ลี ชายที่สื่อยกให้เป็น อีลอน มัสก์ ของประเทศจีน ภายหลังจากเปิดตัวไม่นาน ก็ได้รับทุนสนับสนุนจากบริษัทเทคโนโลยีชื่อดังอย่าง Tencent และ Baidu เข้ามาเป็นนักลงทุนรายใหญ่ในสตาร์ทอัพแห่งนี้ 9. Stellantis Stellantis ผู้ผลิตยานยนต์ข้ามชาติที่ อยู่ที่เนเธอร์แลนด์ก่อตั้งขึ้นในปี 2564 บนพื้นฐานของการควบรวมกิจการข้ามพรมแดน 50-50 ระหว่างFiat Chrysler Cars ของอิตาลีและกลุ่ม PSA ของฝรั่งเศสและมีสำนักงานใหญ่ในกรุงอัมสเตอร์ดัมประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 สเตลแลนทิสเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับแปดของโลก มูลค่าบริษัท 62.61 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมาได้มีการร่วมมือกันของ 2 ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ คือ Groupe PSA (กรุ๊ป พีเอสเอ) และ FCA (เฟียต ไครสเลอร์ ออโตโมบิล) ควบรวมธุรกิจในสัดส่วน 50:50 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2019 ภายใต้ชื่อใหม่ Stellantis (มาจากภาษาลาติน แปลว่า ดวงดาวอันเจิดจรัส สื่อถึงแรงบันดาลใจ) ส่งผลให้กลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก มีพนักงานทั้งหมดประมาณ 400,000 ชีวิต ในกว่า 130 ประเทศแบรนด์รถในเครือ Stellantis ได้แก่ Abarth, Alfa Romeo, Lancia, Maserati, Fiat, Citroen, DS, Peugeot, Chrysler, Jeep, Dodge, RAM, Opel และ Vauxhall 10.Ford Ford เป็นอีกบริษัทที่เป็นที่รู้จักในประเทศไทยกันเป็นอย่างดี โดยมีมูลค่าบริษัท 59.52 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ Ford (ฟอร์ด) บริษัท Ford Motor Company มีจุดเริ่มต้นมาจาก Henry Ford ในปี 1903 ผู้ให้กำเนิดระบบสายพานการผลิต เข้ากับการผลิตยานยนต์ในจำนวนมากๆ และมีต้นทุนที่ถูกลงมา นับเป็นการปฏิวัติการผลิตเชิงอุตสาหกรรมของโลกที่รถยนต์ทุกค่ายต้องหันมาทำตามหมด และยังมีอิทธิพลอย่างมากกับวัฒนธรรมสมัยใหม่ โดยนักทฤษฎีสังคมหลายคน ถึงกับเรียกประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและสังคมช่วงนี้ว่า แบบฟอร์ด (Fordism ซึ่งมีส่วนก่อให้เกิด ชนชั้นกลาง ขึ้นมาในสังคมอเมริกันแบรนด์รถในเครือ Ford ได้แก่ Ford และ Lincoln เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับ 10 แบรนด์ที่เรานำมาเสนอ เป็นแบรนด์ที่ทุกคนกำลังใช้งานกันอยู่หรือเปล่าคะ หรือตรงกับแบรนด์ในใจคุณบ้างไหม ไม่ว่าแบรนด์ไหนทุกแบรนด์ต่างก็มีคุณค่าในแบรนด์ของตัวเอง หากจะเลือกใช้แบรนด์ใดก็อย่าลืมศึกษาข้อมูลและเลือกให้เหมาะกับทุกคนนะคะ ที่มา
ทุกคนเคยสงสัยกันไหมคะว่า ในอนาคตข้างหน้ารถยนต์จะมีหน้าตาเป็นยังไง สามารถใช้น้ำแทนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ไหมนะ ? วันนี้เราเลยนำมุมมองของรถยนต์ในอนาคตที่หลาย ๆ สื่อคาดการณ์ว่า ใกลถึงจุดสิ้นสุดของรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงกันแล้ว และรถยนต์ไฟฟ้าก็กำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เรียกว่าเป็นกระแสข่าวเทคโนโลยีรถยนต์ที่น่าจับตามองมากเลยทีเดียว เมื่อบริษัทรายใหญ่และผู้ผลิตรถยนต์หลายเจ้า เริ่มคิดค้นและเดินหน้าผลิตรถยนต์ไฟฟ้า นวัตกรรมใหม่ที่โลกต้องจารึก ซึ่งในปัจจุบันนี้เห็นได้จากเทรนด์รถยนต์ที่นำเทคโนโลยีไร้คนขับมาใช้กันมากขึ้นแล้วด้วย ใกล้หมดยุคของรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแล้วจริงหรือไม่ ในปี 2050 มีการคาดการว่าน่าจะ หมดยุคของรถที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงกันแล้ว เพราะในหลายประเทศกำลังตื่นตัวกับการใช้รถพลังงานไฟฟ้า เพราะเป็นทรัพยากรหมุนเวียน ใช้งานได้ง่าย ประหยัดค่าใช้จ่าย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งยังลดมลพิษทางอากาศได้ดีอีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทย รถยนต์ไฟฟ้าได้เริ่มเข้ามาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับทุกคนโดยสำนักข่าวบลูมเบิร์กมองว่ารถไฟฟ้ามีแนวโน้มครองสัดส่วนทางการตลาดรถใหม่ในอังกฤษเพิ่มมากถึง 80% ภายในปี 2040 เนื่องจากต้นทุนผลิตแบตเตอรี่กำลังลดลง ส่งผลให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าถูกลงตามไปด้วย แต่หากเป็นรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเดียวคงไม่เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคในสมัยนี้ได้ หลายบริษัทผู้ผลิตรถยนต์จึงต้องหันมาเร่ง ลงทุนในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้าพร้อมกับเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับไปควบคู่กัน ดังนั้นรถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับจึงตอบโจทย์กับเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สุด มีการกำหนดรูปแบบการใช้งานรถยนต์ออกเป็น 2 แบบกว้างๆ โดยสำหรับรูปแบบแรกนั้น ไมค์ แรมซีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ การ์ทเนอร์ บริษัทวิจัยเทคโนโลยีในสหรัฐ กล่าวว่า รถยนต์หรูไร้คนขับ คืออนาคตของรถยนต์ในปี 2040“ภายในรถยนต์ยุคปี 2040 จะเต็มไปด้วยความหรูหรา ผมมองว่า รถยนต์ส่วนบุคคลน่าจะมีความน่าตื่นตาตื่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนที่แค่ต้องการใช้รถเดินทางเพียงอย่างเดียวนั้น จะหันไปซื้อรถมือสองหรือใช้บริการขนส่งสาธารณะมากกว่า” แรมซีย์กล่าว พร้อมเสริมว่า รถในอนาคตจะมีฟังก์ชั่นการใช้งานมากมาย เช่น สามารถปรับที่นั่งหันเข้าหากันได้ หรือมีหน้าจอรถที่เต็มไปด้วยรายละเอียดมากมายกว่าในปัจจุบันและรูปแบบรถยนต์แห่งอนาคตอย่างที่ 2 คือรถยนต์จะกลายเป็นบริการสาธารณะ เพราะเมื่อรถขับเคลื่อนได้เองแบบอัตโนมัติ คนก็ไม่จำเป็นต้องซื้อรถมาขับเองอีกต่อไป โดยรูปแบบดังกล่าวเริ่มปรากฏขึ้นแล้วในขณะนี้ เช่นบริการให้เช่ารถ หรือบริการไรด์-แชริ่งของอูเบอร์และลิฟต์ ซึ่งผู้ให้บริการไรด์-แชริ่งทั้งสองราย รวมถึงบริษัทไรด์-แชริ่งอื่นๆ ก็เริ่มลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับแล้ว แรมซีย์ มองว่า รถยนต์ไร้คนขับอาจกลายเป็นบริการมากกว่าจะเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคลมากขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับว่าเป็นตัวกลางขนส่งผู้คน โดยไปรับส่งตามจุดบริการต่างๆ แล้วไปให้บริการดังกล่าวกับคนอื่นๆ ต่อไปทั้งนี้ แรมซีย์ กล่าวเสริมว่า รูปแบบการใช้รถยนต์ทั้งสองแบบน่าจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กันภายในปี 2040 ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง ไม่แน่ว่าผู้คนอาจขับรถยนต์กันน้อยลง และการขับรถอาจกลายเป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่งแทนการขับเพื่อใช้สัญจรในชีวิตประจำวันก็เป็นได้ ข้อดีของเทคโนโลยีในอนาคต ช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนนในการใช้เทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการคำนวณระบบภายในแบบอัตโนมัติ หากยานยนต์สมัยใหม่ทำเข้ามาใช้ก็จะเป็นการช่วยลดอุบัติเหตุที่เกิดจากความประมาทได้มากขึ้น ลดภาวะโลกร้อนอย่างที่ทราบกันรถยนต์ไฟฟ้า เป็นพลังงานที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา จึงไม่เกิดภาวะเลือนกระจก ช่วยอำนวยความสะดวกเมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้นก็จะอำนวยความสะดวกทั้งเจ้าของรถ และผู้ใช้บริการรถยนต์สาธารณะมากขึ้น ลดความเสี่ยงในคดีอาญาเพราะการใช้รถยนต์แบบระบบอัตโนมัติ รถจะเคลื่อนที่ได้เอง ไม่ต้องมากังวลกับอุบัติเหตุจากความประมาทจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต ค่าใช้จ่ายพลังงานไฟฟ้าถูกกว่าน้ำมันเป็นที่แน่นอนว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า รถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้า ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าทำให้ผู้ใช้งานประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้หลายเท่าตัว ข้อเสียของเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับ ในเมื่อมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสียอย่างแน่นอน เรามาดูข้อเสียของการที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้นกันดีกว่าค่ะ รถยนต์ราคาค่อนข้างสูงรถยนต์พลังงานไฟฟ้า จะต้องใช้การผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง ย่อมส่งผลให้รถยนต์ประเภทดังกล่าวราคาสูงมาก เช่น Tesla Model S ที่มีราคาสูงถึง 2 ล้านกว่าบาท หรือแม้แต่รถยนต์ที่มีราคาถูกสุดอย่าง Nissan Leaf ก็ยังมีราคาเริ่มต้นในสหรัฐฯ สูงถึง 1 ล้านบาทเลยทีเดียว ระยะทางถูกจำกัดการเดินทางด้วยรถยนต์ไฟฟ้าถูกจำกัดเพราะว่า สถานีการชาร์ตพลังงานของรถยนต์ไฟฟ้ายังมีไม่ครอบคลุมและทั่วถึงขึ้นอยู่กับความจุของแบตเตอรี่ หากมีความจุน้อยก็อาจไม่เหมาะกับการเดินทางไปในพื้นที่ห่างไกลมากนักหรือหากใช้งานผิดวิธีก็จะเกิดความเสียหายได้ ไม่ได้เหมาะกับทุกคนเสมอไปถึงจะมีข้อดีมากมาย แต่ข้อดีเหล่านั้นหากมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากๆ ก็อาจทำให้ผู้ใช้รถอาจปรับตัวไม่ทันจนไม่สามารถเปิดใจงานรถยนต์ได้ ยังไม่แน่ชัดในความปลอดภัยเนื่องจากการใช้เทคโนโลยีการในคำนวณ ก็อาจมีการเกิดความผิดพลาดของระบบ หรือระบบป้องกันความปลอดภัยอื่นๆ จึงทำให้เกิดความไม่แน่ชัดในความปลอดภัยแล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะปลอดภัย เราควรศึกษาว่าบริษัทไหนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้มีคุณภาพ และปลอดภัยต่อการใช้งานสูง สำหรับในกรณีเคสที่ผ่านมาได้มีการทดลองขับรถยนต์ไฟฟ้าเทสลา แล้วเกิดชนกับหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์จนพังเสียหาย จึงจำเป็นต้องตรวจสอบที่มาที่ไป และระบบการทำงานต่างๆ หรือจะเลือกซื้อในอนาคตก็ต้องตัดสินใจให้ดีว่าจะใช้งานในบ้านเราได้จริงใช่ไหม ถ้าหากเราเดินทางในระยะทางไกล หรือเปิดแอร์ทิ้งไว้นาน ก็อาจจะทำให้เเบตเตอรี่หมด รถเสียได้ และถ้าเราไม่รู้วิธีซ่อม ก็อาจจะทำให้เกิดอันตรายได้เช่นกัน จนกว่าในอนาคตจะมีการทดสอบที่แน่นอนว่ารถยนต์ที่เราเลือกซื้อจะปลอดภัยจริงๆ เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับมุมมองในอนาคตรถยนต์ กับข้อดีข้อเสียที่เรานำมาเสนอให้ทุกคนได้อ่าน หลายคนอาจจะดูเป็นสิ่งไกลตัวแต่สิ่งเหล่านี้เริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างได้ลางๆ ในปัจจุบันแล้วนะคะ เราเองในฐานะผู้ใช้รถยนต์ก็ต้องอย่าลืมค่อยๆ ปรับตัวเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอยู่เสมอนะคะ ที่มา : boltech , POST TODAY
จากการที่ได้เห็นจุดเริ่มต้นของเทสล่า สิ่งที่ช่วยส่งเสริม สนับสนุนเทสล่าให้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักแบบก้าวกระโดดจนขึ้นแท่นเป็นผู้นำการผลิตในตลาดรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุดแซงหน้าบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่ครองแชมป์มาอย่างยาวนานอย่าง Toyota มีสาเหตุมาจากหลากหลายปัจจัยแต่วันนี้เราจะหยิบยกประเด็นเรื่องหลักการคิดของ บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชื่อดังอย่าง เทสล่า (Tesla) มาให้ได้อ่านกันค่ะ TESLA (เทสล่า) คือ บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานสะอาด 100% (Electric Vehicle) ที่นำเสนอจุดเด่นในเรื่องเทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่าง Autopilot ระบบที่ใช้ AI ขับแทนคน โดยการเชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์และระบบต่างๆ อย่างกล้องผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ออกแบบดีไซน์เรียบง่ายทั้งภายนอกและภายในเน้นไปทางเทคโนโลยีที่สามารถควบคุมได้ผ่านหน้าจอและอีกหนึ่งความโดดเด่นคือกระจกหลังคา Tesla การันตีว่ากระจกแผ่นหลังคามีความแข็งแกร่งทนทานสูงรองรับน้ำหนักของรถทั้งคันได้ ป้องกันกระจกหลังคาแตกกรณีเกิดการพลิกคว่ำ ด้วยการที่เทสล่าเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่เน้นหนักไปทางเทคโนโลยีโดยมี แบตเตอรี่ ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ และมอเตอร์เป็นหลักจึงทำให้มีโดดเด่นขึ้นแตกต่าง โดยแบตเตอรี่ของ Tesla ได้จดสิทธิบัตรสำหรับแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มีอายุการใช้งานยาวนานกว่า 1 ล้านไมล์หรือเป็นระยะทางกว่าถึง 1.6 ล้านกิโลเมตร ถือแบตเตอรี่เป็นหัวใจสำคัญ ของการก้าวต่อไปเป็นเทคโนโลยีหลักสำคัญต่อไปในอนาคต ในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้านี้ เทสล่ามีจุดเริ่มต้นจากการนำต้นแบบรถสปอร์ตไฟฟ้าแฮนด์เมด tZERO มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างรถยนต์ไฟฟ้าของตัวเองอย่าง Roadster ที่เป็นรถสปอร์ตไฟฟ้าระดับไฮเอนด์คันแรกของเทสล่า ผลิตมาให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงก่อน ด้วยเหตุนี้เทสล่าจึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมากด้วยเรื่องเทคโนโลยีและสมรรถนะสูงระดับ Supercar เมื่อผลิตรุ่นแรกออกมาแล้วประสบความสำเร็จ เทสล่าจึงผลิตรถหรูในโมเดลถัดมานั่นก็คือ Model S และ Model X ต่อมาเทสล่าได้ทำการตลาดด้วยการลดต้นทุนในการผลิต โดยการสร้าง Gigafactory โรงผลิตแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่ 20 GWh มีปริมาณเทียบเท่ากำลังผลิตแบตเตอรี่ทั้งโลกรวมกันเป็นของตัวเองจนทำให้เกิด Tesla Model 3 ในลำดับถัดมาและ Tesla Model 3 ด้วยความที่ต้นทุนการผลิตลดลงและสมรรถนะที่น่าสนใจ เช่น – อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 3.2 วินาที – แบตเตอรี่ความจุ 75 กิโลวัตต์ชั่วโมง ทำระยะทางได้ 481 กิโลเมตรต่อการชาร์จ – ความเร็วสูงสุด 360 กม./ชม. – ระบบช่วยขับ Autopilot ที่สามารถอัปเกรดเป็นระบบไร้คนขับสมบูรณ์ได้ในอนาคต จึงทำให้มีราคาให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้มากที่สุด จนขึ้นแท่นรถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) ที่คว้ายอดไปได้ 325,000 คัน หลังจากนั้นเมื่อนับจนถึงเดือนสิงหาคมปี 2017 ยอดจองทั้งสิ้นอยู่ที่ 455,000 คัน หรือมีคนจองวันละ 1,800 คัน เรียกว่าสูงมากชนิดไม่มีใครเทียบได้ และสิ่งที่ช่วยส่งเสริมให้เทสล่าขึ้นมาเป็นผู้นำด้านตลาดรถยนต์อีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือผู้บริหาร อีลอน มัสก์ (Elon Musk) CEO คนปัจจุบันของเทสล่าได้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของเขาว่า Tesla จะเข้ามามีส่วนช่วยแก้ปัญหาวิกฤตพลังงานของโลกด้วยการสร้างยานยนต์คุณภาพสูงสู่ตลาดโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล จากวิสัยทัศน์นี้เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และนวัตกรรมของเทสล่าที่ถูกคิดค้นขึ้นมาให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่มีการปล่อยมลพิษขึ้นสู่อากาศเลย เพราะไม่มีการใช้เครื่องยนต์น้ำมันเป็นส่วนประกอบแต่ใช้เป็นการใช้แบตเตอรี่ไฟฟ้าลิเทียมไอออนแทน นอกจากนี้จากการที่อีลอน มัสก์ ยังมีภาพลักษณ์ผลงานที่ได้สั่งสมมา พร้อมกับเรื่องราวชีวิตส่วนตัวที่มีสีสัน ทำให้อยู่ในความสนใจของสาธารณชนและกระแสข่าวมาโดยตลอด และเขาเองก็มีส่วนช่วยในการดูแลการออกแบบ Roadster และเป็นผู้นำในการออกแบบส่วนประกอบต่าง ๆ ตั้งแต่โมดูลไฟฟ้ากำลังไปจนถึงไฟหน้าจนได้รับรางวัล Global Green 2006 และรางวัล Index Design 2007 จากการออกแบบ Tesla Roadster รถสปอร์ตระดับพรีเมี่ยมที่มุ่งเป้าไปที่ผู้ใช้งานในยุคแรก ๆ จากนั้นจึงเริ่มการผลิตรถยนต์ที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคหลักมากขึ้นรวมถึงรถยนต์ราคาประหยัดอีกด้วย ด้วยการที่ Tesla (เทสล่า) มีแนวคิดที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญจึงได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพื่อผลักดันรถยนต์ไฟฟ้าออกมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคในอนาคตจะเห็นได้จากปัจจุบันราคาน้ำมันมีราคาสูงขึ้น จนรถยนต์ไฟฟ้า (EV)ได้รับมาสนใจเป็นอย่างมาก บวกกับเทสล่ามีเทคโนโลยีที่โดดเด่น ดีไซน์แตกต่าง และวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ทำในที่สุดก็ให้เทสล่าขึ้นแท่นมาเป็นผู้นำการผลิตในตลาดรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุด ขอบคุณข้อมูลจาก : katexoxo , thunkhaotoday Blog แนะนำ รถยนต์ไฟฟ้า EV ต้องใช้ไฟบ้านแบบไหน? จ่ายค่าไฟเท่าไหร่?
ในปัจจุบันน้ำมันราคาขึ้นสูง ทำให้ รถ Ev หรือรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และหนึ่งในแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในขณะนี้ก็คงจะหนีไม่พ้น TESLA (เทสล่า) บริษัทผลิตรถยนต์พลังงานงานไฟฟ้าที่มีผู้บริหารคนล่าสุดอย่าง “Elon Musk” เรามาอ่านจุดเริ่มต้นของบริษัทเทสล่ากันดีกว่าค่ะ ว่าจุดเริ่มต้นของบริษัทผลิตรถยนต์ชื่อดังนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากอะไร TESLA (เทสล่า) คือ บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานสะอาด 100% (Electric Vehicle) ที่นำเสนอจุดเด่นในเรื่องเทคโนโลยีที่ทันสมัยเช่น Autopilot (ระบบขับขี่อัตโนมัติ) และการสั่งการผ่าน Smartphone เป็นต้น นอกจากนี้ TESLA ยังถือว่าเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสะอาดเป็นมิตรกับโลก ด้วยการที่ไม่มีการปล่อยมลพิษขึ้นสู่อากาศเลย เนื่องจากไม่มีการใช้เครื่องยนต์น้ำมันเป็นส่วนประกอบแต่ใช้เป็นแบตเตอรี่ไฟฟ้าลิเทียมไอออนแทน บริษัท TESLA (เทสล่า) ตั้งอยู่ใน Palo Alto (แพโล แอลโต) รัฐแคลิฟอร์เนีย ถูกก่อตั้งขึ้นในปี เมื่อวันที่ 1 เดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 2003 โดยมีผู้เริ่มก่อตั้งเป็นวิศวกรชาวอเมริกันสองคน คือ มาร์ติน อีเบอร์ฮาร์ด (Martin Eberhard) และ มาร์ก ทาร์เพนนิง (Marc Tarpenning) ซึ่งมีเป้าหมายตรงกันว่า ต้องการผลิตรถยนตร์ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่เพราะน่าจะตอบโจทย์การใช้งานมากกว่ารถยนตร์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง จึงได้เริ่มต้นสร้างรถยนตร์ไฟฟ้าขึ้น ต่อมาได้มีผู้ร่วมอุดมการณ์เพิ่มมาอีกหนึ่งคน นั่นคือ Elon Musk ซึ่งรับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ CEO ในปัจจุบัน โดยในก่อนหน้านี้บริษัทใช้ชื่อว่า เทสล่า มอเตอร์ (Tesla Motors) โดยชื่อนี้ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ นิโคลา เทสลา (Nikola Tesla) ที่เป็นนักประดิษฐ์ นักฟิสิกส์ วิศวกรเครื่องกล และวิศวกรไฟฟ้า ชาวเซอร์เบีย เทสล่า ภายใต้การบริหารของอีลอน มัสก์ เริ่มต้นจากการสร้างรถสปอตไฟฟ้าวางจำหน่ายครั้งแรกในปี 2008 มีชื่อรุ่นว่า “Roadster” รถระดับไฮเอนด์คันแรกของเทสล่าซึ่งได้บรรจุแบตเตอรี่ขนาด 53 kWh วิ่งได้ระยะทางไกลสุดถึง 320 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง แต่เนื่องจากแบตเตอรี่ไฟฟ้าเป็นต้นทุนที่มีราคาแพงที่สุดในการผลิตรถ Ev เทสล่าจึงต้องเริ่มต้นจากการขายรถยนต์ราคาแพง ให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงก่อน จากจุดเริ่มต้นของรถเทสล่าคันแรกนั้นทำให้เป็นที่มาของรถเทสล่าในโมเดลต่อๆ มา ทั้ง Model S และ Model X ซึ่งในรุ่นต่อมาเทสล่าได้ใช้กลยุทธ์ที่ทำให้ต้นทุนแบตเตอรี่ต่ำลงคือ การผลิตในจำนวนมาก (Economies of scale) เทสล่าแก้ปัญหานี้โดยการสร้าง Gigafactory โรงผลิตแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่ 20 GWh มีปริมาณเทียบเท่ากำลังผลิตแบตเตอรี่ทั้งโลกรวมกัน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐเนวาดา นิวยอร์ก นอกจากทั้งสองแห่งนี้เทสล่ายังตั้ง Gigafactory อีกแห่งหนึ่งในจีน และกำลังขยายฐานกำลังผลิตไปยังเยอรมนีอีกด้วย เพราะเหตุผลนี้จึงทำให้ลดต้นทุนการผลิตของเทสล่าถูกลงไปมากอีก จนทำให้เกิด Tesla Model 3 รถยนต์ไฟฟ้าราคาย่อมเยาว์ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มคนได้มากขึ้น ด้วยราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 35,000 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.05 ล้านบาท ยอดจองในช่วงเปิดตัวปี 2017 ทำสถิติการขายรถยนต์ได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ด้วยยอดจอง 3.25 แสนออเดอร์ ด้วยนวัตกรรมแนวคิดสุดล้ำของเทสล่า ทำให้มูลค่าตลาดขของเทสล่าเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด และในปี 2019 บริษัทเทสล่า ยังมีมูลค่าตลาดเพิ่มเป็น 1.8 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 17 เท่าภายใน 7 ปี จนเทสล่ากลายเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในสหรัฐฯ แซงหน้าผู้นำบริษัทรถยนตร์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงทั้งหมด ด้วยปัจจัยในหลายด้านจึงทำให้เทสล่ากลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ยอดนิยมอันดับต้นๆ ของรถ Ev เลยก็ว่าได้จากแนวคิดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมใช้พลังงานสะอาด 100% มาพร้อมกับเทคโนโลยี ดีไซน์ สุดล้ำจึงทำให้เทสล่าเข้ามามีบทบาทในวงการยานยนต์เป็นอย่างมาก จะเรียกว่าสะเทือนวงการยานยนต์ก็คงไม่ผิดนัก ขอบคุณที่มา : positioningmag
ถ้าพูดถึง การล้างรถ ก็คงเป็นสิ่งที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วว่าการล้างรถเป็นการทำความสะอาดสิ่งสกปรก และเป็นใส่ใจดูแลให้รถดูใหม่อยู่เสมอ แต่ทุกคนทราบกันหรือไม่ว่าแล้วต้องล้างรถบ่อยแค่ไหน ถึงจะเรียกว่าพอดี แบบไหนที่เป็นการดูแลเอาใจใส่รถของเราอย่างถูกต้องที่สุด ล้างรถบ่อยแค่ไหน? ถึงจะเรียกว่าพอดี ผู้เชี่ยวชาญในการดูแลสีรถแนะนำว่าควรล้างรถอย่างน้อยทุกหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ เป็นการล้างใหญ่ทั้งหมดทั้งภายนอกและภายใน อีกทั้งยังได้ดูแลสีรถด้วยการเคลือบผิวให้เงางามอีกด้วย แต่ในความเป็นจริง ช่วงเวลาสามารถยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสม สำหรับประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอุณหภูมิความร้อนสูงและแสงแดดเป็นตัวบ่อนทำลายความเงางามของสีรถได้เป็นอย่างดี หรือถ้าเป็นฤดูฝนการที่รถของเราตากฝน เม็ดฝนที่โดนกับตัวรถนั้นมีมลพิษที่ติดลงมาด้วยบวกกับรถของเราซึ่งมีฝุ่นจากมลภาวะบนท้องถนนอยู่แล้วจึงทำให้ตัวรถของเราดูโทรมมากขึ้น และยังกระตุ้นให้เกิดสนิมได้เมื่อเปรียบเทียบกับรถที่ได้รับการล้าง ดูแล เคลือบสีอยู่สม่ำเสมอ ยิ่งถ้ารถของเราคราบขี้นกหรือยางจากต้นไม้ที่มีสภาพความเป็นกรดสูง แล้วปล่อยให้เกาะกับสีรถนานเกินไป คราบจะยิ่งฝังลึกล้างหรือขัดออกยาก เพราะฉะนั้นควรล้างออกทันทีที่เห็นคราบเหล่านี้ ถ้าไม่อยากให้รถมีคราบที่เอานอกไม่ได้นอกเสียจากต้องทำสีรถใหม่อย่างเดียว หากไม่ล้างและปล่อยไว้เป็นเวลานานจะมีผลอย่างไร การล้างรถ คือ การชะล้างสิ่งสกปรกออกจากพื้นผิวรถ แน่นอนว่าหากคราบสกปรกเหล่านั้นถูกสะสมไว้เป็นเวลานานอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ เช่น รถผุ เกิดสนิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาฤดูฝนที่มักมีโคลน ดิน ติดตามตัวถังรถได้บ่อย จึงต้องการล้างทำความสะอาดทุกครั้งที่ตรวจเจอ ดีกว่าปล่อยให้คราบเหล่านี้เกาะตัวฝังแน่นติดกับตัวรถกลายเป็นปัญหาภาวะสีด่าง สีของรถไม่เท่ากัน กลายเป็นปัญหาที่ใหญ่มากขึ้นไปอีกได้ ถ้าล้างรถต้องมาคู่กับการลงแว็กซ์ เคลือบสีรถอยู่เสมอหรือไม่ หลังจากการดูแลรถด้วยการล้างรถไปแล้วนั้น รถยนตร์ส่วนใหญ่ก็ต้องการการบำรุงเพิ่มเติม ซึ่งผลิตภัณฑ์นี้จะป้องกันและดูแลสีรถยนต์ให้เงางามเหมือนใหม่อยู่ตลอดเวลา สิ่งนี้เรียกว่า “แว็กซ์” ซึ่งแว็กซ์ไม่ได้ทำหน้าที่แค่ความเงางามที่มอบให้กับตัวรถอย่างเดียวเท่านั้น แต่ตัวแว็กซ์นี้ยังช่วยป้องกันสารเคมีต่างๆ ที่คอยทำลายความความเงางามของรถ เช่น ขี้นก ยางต้นไม้ ฝุ่นละอองหรือแม้กระทั่งความร้อนจากแสงแดด ตัวแว็กซ์จะช่วยปกป้องไม่ให้สิ่งเหล่านี้มาทำลายสีรถ หรือย่างน้อยก็ลดความรุนแรงที่จะมีผลต่อสภาพสี เมื่อสีรถได้รับการเคลือบปกป้องจากตัวแว็กซ์นี้ก็เหมือนเป็นการสร้างเกาะป้องกันไว้ชั้นหนึ่งให้กับสีรถได้เลย ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรทำทุกครั้งหลังจากล้างรถเสร็จ เพราะแว๊กซ์เป็นสารเคมีที่สามารถถูกล้างออกไปได้ ไม่ติดแน่นไปกับสีรถโดยตลอดเพราะฉะนั้นควรเคลือบแว็กซ์ใหม่ทุกครั้งเพื่อการปกป้องสีรถที่ดีที่สุด ถ้าไม่ล้างรถ สามารถทำความสะอาดด้วยวิธีอื่นได้ไหม ? การล้างรถไม่จำเป็นจะต้องลงแรงล้างทุกครั้งที่มีคราบสกปรกเสมอไป ถ้าหากรถของเรามีการลงแว็กซ์ เคลือบสีอยู่แล้วละก็มีการผสมสารป้องกันการเกาะติดของคราบเปื้อนไม่ให้ฝังแน่น สำหรับฝุ่นละอองที่พบเจออยู่ทุกวัน สามารถใช้ไม้ขนไก่ขนนุ่มปัดทำความสะอาด แล้วใช้ผ้านุ่ม เช็ดวนพร้อมขัดรถไปในตัว ก็สร้างความเงางามให้กับรถได้เช่นเดียวกัน หรือถ้าเจอคราบเปื้อนเป็นจุด ๆ การใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดเฉพาะส่วน ก็สามารถทำได้ง่าย แต่เมื่อใดก็ตามที่มองดูแล้วความเปื้อนสกปรกไม่ว่าจากฝุ่น หรือโคลนกระจายไปรอบคัน สามารถใช้น้ำล้างทำความสะอาดโดยรอบโดยที่ไม่ต้องลงน้ำยาล้างรถ รถก็ดูสะอาดเหมือนใหม่ได้ด้วย ระยะเวลาที่เหมาะสำหรับการทำความสะอาดภายในตัวรถ การทำความสะอาดภายในตัวรถหรือพื้นที่บริเวณห้องโดยสารก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม ควรทำความสะอาดเป็นประจำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพราะฝุ่น ความสกปรก หรือเชื้อโรคต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นอาจจะติดอยู่ตามเบาะหรือซอกมุมต่างๆ ในตัวรถก็ได้เราจึงต้องมีรอบการทำความสะอาดที่สม่ำเสมอ เพื่อรถที่สวยงามและเพื่อสุขภาพร่างกายที่ดีของเจ้าของรถและผู้โดยสารทุกคน สรุปคือการล้างรถเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใช้รถยนต์ควรทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่ต้องเจอมลภาวะในหลากหลายฤดู เพราะฉนั้นควรล้างทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษาความสะอาดของตัวรถยนต์และเพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคนอีกด้วย ซึ่งความเหมาะสมตามที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำคืออย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเหมาะสมตามเจ้าเจ้าของรถยนต์พิจารณา หากทำได้ตามนี้รถของคุณก็จะดูสะอาดเงางามเหมือนใหม่อยู่ตลอด ขอบคุณข้อมูลจาก : mottoraka , chobrod
เคยสงสัยกันมั้ยว่า ทำไมเราต้องล้างรถ วันนี้แอดจะมาแชร์สาเหตุหลักที่เราต้องล้างรถ เพราะการล้างรถก็เหมือนกับการที่เราอาบน้ำดูแลตัวเองเป็นประจำเสมอ ไม่งั้นจะเกิดคราบไคลเป็นชั้นๆ ส่งผลให้ดูแลยากระยะยาว และการดูแลรถก็มีหลายวิธี การล้างรถเป็นวิธีเบื้องต้นที่เราสามารถทำให้รถสวยเงางามได้ และเป็นวิธีที่่ง่ายที่สุดอีกด้วย เพราะนอกจากการนำรถยนต์เข้าศูนย์เช็คระยะแล้ว “การล้างรถ” ก็ถือเป็นขั้นตอนหนึ่งของการดูแลรักษารถยนต์เพื่อช่วยให้รถดูสะอาดและเป็นการถนอมสีรถไปในตัวที่ผู้ใช้รถยนต์จะต้องรู้ด้วย แต่ทั้งนี้จะต้องเป็นขั้นตอนการล้างรถจะต้องเป็นวิธีล้างรถที่ถูกต้องด้วยเช่นกัน แล้วการล้างรถมีประโยชน์อะไรกันบ้าง เรามาลองอ่าน 5 เหตุผลที่ผ่านบทความนี้กันค่ะ 1.เพื่อเป็นการดูแลรักษารถยนตร์ให้สะอาดอยู่ตลอดเวลา เพราะการล้างรถเป็นขั้นตอนที่ทำให้รถของเราสะอาดและดูดี ในปัจจุบันมีร้านคาร์แคร์และธุรกิจล้างรถ ล้างอัดฉีด ดูดฝุ่นอำนวยความสะดวกให้เลือกใช้บริการมากมาย ไม่ว่าจะเป็น บริการล้าง Car Care แบบเดิมที่ล้างด้วยคน, การบริการ ล้างรถ Drivethru ที่ล้างด้วยเครื่องล้างอัตโนมัติ ไม่ต้องลงจากรถ เป็นต้น ซึ่งการล้างรถให้รถสะอาดอยู่เสมอ ยังเป็นการบ่งบอกความใส่ใจดูแลรถของเจ้าของรถคันนั้นๆ อีกด้วย 2. เพื่อขจัดคราบสกปรกและฝุ่นละออง ต้นเหตุที่ทำลายสีของรถ คราบสกปรกและฝุ่นละออง ต้นเหตุที่ทำร้ายสีของรถยนต์ ความสกปรกต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ผู้ใช้รถยนต์ต้องเจอกับปัญหานี้อยู่เป็นประจำไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ไม่ว่าจะเป็น เศษดินเศษหิน เม็ดทรายขนาดใหญ่ น้ำเสีย หรือสารพัดสิ่งสกปรกที่มาจากบนท้องถนน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นต้นเหตุตัวร้ายที่ทำลายผิวรถยนต์ของคุณให้เสียหายได้ ซึ่งเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่ารถยนต์ของเราจะต้องเจอกับอะไรบ้าง การปล่อยคราบสิ่งสกปรกเหล่านี้ทิ้งไว้นานอาจเกาะติดพื้นผิวรถยนต์ของและพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้สีรถหมอง และสิ่งที่แย่ไปกว่านั้นอาจแปรสภาพกลายเป็นคราบฝังลึก โดยวิธีแก้ก็จะยากกว่าโดยใช้วิธีการขัดสีเพียงอย่างเดียว เป็นเหตุให้ต้องมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นอีก 3. เพื่อเป็นการถนอมสีรถ และทำให้สีรถยังคงเงางาม สำหรับผู้ที่ให้ความใส่ใจทางด้านสีสัน ความเงางามของรถยนต์เป็นพิเศษ เราขอแนะนำวิธีการดูแลรถยนต์ที่ได้ผลดีมาก นั่นก็คือ การแว๊กซ์รถ ให้รถดูสวยเงางามขึ้น โดยสามารถเอารถเข้าคาร์แคร์หรือบริการธุรกิจล้างรถต่างๆ หรือจะแว๊กซ์เองก็ได้ การทำความสะอาดและการดูแลในแต่ละครั้งสามารถช่วยดูแลสีของรถคุณให้สวยเงางามได้ ไม่ใช่ว่าจะมีการทำสีใหม่เพียงอย่างเดียว แต่การทำความสะอาดแล้วลงน้ำยาเคลือบเงาก็ยังรักษาสีรถของคุณให้เงางามอยู่เสมอ ซึ่งข้อดี ของน้ำยาเคลือบเงา คือ ฝุ่นสิ่งสกปรกจะจับตัวได้ยาก และน้ำฝนก็ไม่สามารถทำให้เป็นรอยได้ วิธีนี้ก็จะทำให้รถของคุณดูใหม่อยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องกังวลเรื่องคราบและรอยเปื้อนแต่อย่างใด การดูแลรถเบื้องต้น มีดังนี้ การขัดสีรถ คือ การขัดผิวหน้าสีหรือแล็กเกอร์ออกไป เพื่อลบรอยที่เกิดจากตราบยางไม้ ขี้แมลง และอื่น หลังจากที่เราได้ขัดสีเรียบร้อยแล้ว ผิวหน้าของสีก็จะดูเรียบเนียน สวยและมีความเงางามมากยิ่งขึ้น การเคลือบสี คือ การเคลือบเพื่อปกป้องผิวสีที่ถูกขัดออกไปให้มีความแข็งแรงทนทานต่อรอยที่จะเกิดมากขึ้น ซึ่งการเคลือบนั้นก็ต้องดูตามน้ำยาเคลือบกำหนดเพื่อให้มีอายุการใช้งานยาวนั่นเอง 4. ลดโอกาสการเกิดคราบฝังแน่น คราบฝังแน่นนี้เกิดจากการใช้รถยนต์ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยง เช่น คราบน้ำมัน คราบท่อไอเสีย มลภาวะ หรือสารเคมีที่กระเด็นมาติดขณะอยู่บนท้องถนน สิ่งเหล่านี้ค่อนข้างหลุดออกได้ยาก หากไม่ได้ล้างรถเป็นเวลานานก็จะเกิดครบฝังแน่นล้างออกได้ยาก หลายคนอาจจะคิดว่าแค่ฝนตก ก็สามารถชำระคราบสิ่งสกปรกได้หมดแล้ว แต่ความเป็นจริงหลังฝนตกหากมองด้วยตาเปล่า รถยนต์ของคุณอาจดูเหมือนสะอาดขึ้น แต่หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อเราใช้รถไปเรื่อยๆ โดนลม โดนแดดจนน้ำฝนระเหยแห้ง อนุภาคทั้งหลายที่เกาะติดตามพื้นผิวของตัวรถยนต์ก็จะแห้งไปด้วย แล้วกลายเป็นคราบฝังแน่นบนพื้นผิวรถ ซึ่งนอกจากจะทำความสะอาดได้ยากขึ้นแล้ว เมื่อนานไปจะกัดกร่อนสารเคลือบสีและส่งผลให้สีรถยนต์ของคุณซีดได้ ทางที่ดีหลังจากรถของคุณฝ่าฝนมาใหม่ๆ ควรหาเวลาล้างรถด้วยตัวเองโดยใช้น้ำฉีด ตามด้วยการลงแชมพูล้างรถให้ทั่ว แล้วฉีดน้ำล้างฟองออกจนสะอาด ถึงจะไม่สะอาดเนี้ยบเหมือนใช้บริการคาร์วอช แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้คราบต่างๆ ที่มองไม่ค่อยเห็นนั้นแห้งติดสะสมเป็นคราบฝังลึก 5. ช่วยป้องกันคราบจากเศษใบไม้ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะจอดรถใต้ร่มไม้ไม่ได้ แล้วทราบกันไหมคะหากจอดรถใต้ร่มไม้หลังจากฝนตกอาจมีเศษใบไม้ เกสรดอกไม้ เศษกิ่งไม้เล็กๆ หรือแม้แต่ตัวแมลง เมื่อสิ่งเหล่าแห้งติดบนพื้นผิวรถจะเกิดเป็นคราบแห้งกรัง ทำให้ทำความสะอาดได้ยาก รอยเปื้อนบางจุดล้างด้วยแชมพูล้างรถอย่างเดียวไม่ออก ต้องพึ่งพาน้ำยาทำความสะอาดชนิดพิเศษจากบริการคาร์วอชเท่านั้น เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับ 5 เหตุผลดีๆ ที่ตอบข้อสงสัยว่า ทำไมต้องล้างรถ สามารถช่วยตอบข้อสงสัยและเพิ่มความรู้ทำให้เห็นถึงความสำคัญของการล้างรถกันแล้วใช่ไหมคะ ถ้าเห็นถึงประโยชน์ของการล้างรถกันแล้ว อย่าลืมหันมาใส่ใจดูแลรถยนต์ของคุณด้วยการล้างรถที่ถูกวิธีกันนะคะ และหากคุณกำลังมองหาร้านล้าง หรือดูแลรถที่ไว้ใจได้ทั้งคุณภาพมาตรฐานก็แวะมาใช้บริการที่ Quickwash ได้เลยค่ะ เราพร้อมดูแลรถคุณให้สวยเหมือนใหม่และใส่ใจทุกรายระเอียด Blog แนะนำ มุมมองในอนาคตรถยนต์จะเป็นอย่างไร?