E-mail : Quickwashthailand@gmail.com Tel : 092-281-2771

การตลาด 2.0 ยุคแห่งผู้บริโภคและกลุ่มเป้าหมาย

กระบวนการต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดการซื้อ ขาย หรือแลกเปลี่ยนสิ่งของ ก็ถือได้ว่าการตลาดได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว โดยกระบวนการทางการตลาดนั้นจะถูกพัฒนา เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย และความเจริญในแต่ละช่วงเวลา โดย การตลาดยุค 1.0 (Marketing 1.0) เน้นเรื่องสินค้าเป็นหลัก และเมื่อเวลาเปลี่ยนผ่านไป กระบวนการทางการตลาดก็ปรับเปลี่ยนตามไปด้วย บทความนี้เราจะมาเจาะลึกว่าในยุคถัดมาอย่างการตลาดยุค 2.0 จะมีอะไรที่เปลี่ยนไปบ้าง มาดูกันเลย

 

การตลาดยุค 2.0 (Marketing 2.0)

การตลาดยุค 2.0 (Marketing 2.0) เป็นยุคที่การแข่งขันทางการตลาดสูงขึ้น ในช่วงประมาณปีค.1965 – 1975 เริ่มมีการผลิตสินค้าที่คล้ายกันออกมาหลายราย จึงทำให้เกิดการช่วงชิงลูกค้าขึ้นในยุคนี้ เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มมีทางเลือกเพิ่มมากขึ้น ลูกค้าจึงกลายมาเป็นที่ตั้งและศูนย์กลางแทน หรือที่เรียกว่า Customer Centric กลยุทธ์ที่คิดจากส่วนประสมการตลาดในยุคแรกอย่าง 4P อาจไม่ตอบโจทย์กระบวนการทางการตลาดที่เริ่มเปลี่ยนไป การคิดกลยุทธ์จึงต้องมุ่งเน้นไปยังลูกค้า ภาคธุรกิจเลิกผลิตสินค้าให้กับผู้คน แล้วหันทำตลาดกับกลุ่มผู้บริโภคแบบเจาะจงมากยิ่งขึ้น เป็นยุคที่นักการตลาดเริ่มรู้แล้วว่า ลูกค้าไม่ใช่ทุกคนบนโลก อีกต่อไป เกิดการพัฒนาแนวคิด 4P มาสู่แนวคิดทางการตลาดที่มองจากมุมมองของผู้บริโภค หรือ 4C ขึ้น

New call-to-action

กลยุทธ์การตลาด 4C

 

4C คือ รูปแบบกลยุทธ์การตลาดที่คิดจากมุมมองของลูกค้า เพื่อค้นหาว่าลูกค้าต้องการอะไร คิดอย่างไร นำเสนอคุณค่า และมอบประสบการณ์ให้กับลูกค้า เพื่อนำไปต่อยอดในการพัฒนาธุรกิจ ช่วยให้สร้างการตลาดที่มีความหมาย และตอบโจทย์ของลูกค้าได้ตรงจุดมากขึ้น ซึ่งต่างจาก 4P ที่คิดจากมุมมองของแบรนด์ หรือเจ้าของธุรกิจ ว่าจะต้องทำอย่างไรให้ลูกค้าสนใจ และซื้อสินค้า หรือบริการของเรา โดย 4C มีปัจจัยในการวิเคราะห์ความต้องการอยู่ทั้งหมด 4 ปัจจัย แบ่งเป็นตัว C ทั้งหมด ดังนี้

 4c2

C – Customer – ลูกค้า

Product —> Consumer (wants and needs)

จากตอนยุค 1.0 สนใจสินค้า (Product) พอยุค 2.0 ต้องหันมามองที่ลูกค้า (Customer) มากขึ้น เริ่มศึกษาและทำความเข้าใจลูกค้าถึงสิ่งที่ลูกค้าต้องการหรือมองหา อาจมีการสำรวจเพื่อรวบรวมข้อมูลว่า ลูกค้ามีปัญหาหรือ Pain Point อะไรบ้างที่ยังไม่ได้รับการแก้ปัญหา หลังจากนั้นจึงนำเสนอสินค้า หรือบริการที่มารองรับความต้องการในจุดนี้ การขายสินค้าหรือการให้บริการนั้น ต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้าหรือผู้บริโภค ไม่ใช่เพื่อตอบสนองแค่ตัวผู้ขายเองว่าอยากขายสินค้า หรือให้บริการตัวนี้เท่านั้น

 

C – Cost – ความคุ้มค่าของลูกค้า

Price —> Cost

 

จากตอนยุค 1.0 สนใจราคา (Price) พอยุค 2.0 ต้องหันมาดูที่ความคุ้มค่า (Cost) ลูกค้าเริ่มเกิดการเปรียบเทียบระหว่างราคาและคุณภาพที่ได้รับ ลูกค้าไม่ได้สนใจว่าค่าวัตถุดิบจะมีราคาเท่าไร ค่าขนส่งแพงขึ้นหรือไม่ แต่ลูกค้าจะมองว่า เงินที่พวกเขาจะจ่ายนั้นคุ้มค่ากับสินค้าหรือบริการหรือไม่ ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงการตั้งราคาให้เหมาะสมกับตัวสินค้าเท่านั้น แต่ยังต้องตั้งตามเวลาการบริการ ความรู้สึก และปัจจัยต่าง ๆ ที่ลูกค้าต้องแลกกับการซื้อสินค้า หรือใช้บริการของเรา การตั้งราคาสินค้าควรตั้งให้สอดคล้องกับคุณภาพของสินค้า และความคุ้มค่าที่ลูกค้าได้รับ หากสินค้าราคาสูงมาก และคุณภาพก็ควรจะสูงตามไปด้วยเช่นกัน ลูกค้าจึงจะยอมจ่ายเพราะรู้สึกคุ้มค่า และสมเหตุสมผล

New call-to-action

C – Convenience – ความสะดวกสบายในการซื้อและใช้บริการของลูกค้า

Place —> Convenience

จากตอนยุค 1.0 สนใจสถานที่จัดจำหน่าย (Place) มาสู่การอำนวยความสะดวกสบาย (Convenience) ในยุค 2.0 โดยอาจต้องศึกษา สำรวจ รวบรวมข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้าว่ามีการเข้าถึงสินค้าหรือบริการผ่านช่องทางใดบ้าง รวมไปถึงการชำระเงินช่องทางไหนที่สะดวกสบายที่สุดสำหรับลูกค้า เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและการเข้าถึงให้กับผู้บริโภค ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการขายให้มากยิ่งขึ้น

 

C – Communication – การสื่อสารให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย

จากตอนยุค 1.0 สนใจการส่งเสริมการขาย (Promotion) มาเป็นการสื่อสาร (Convenience) ในยุค 2.0 จากเดิมที่ใช้การเชิญชวน กล่อม หรือชี้นำให้ผู้บริโภคสนใจในสินค้าหรือบริการ แต่ในยุคนี้รูปแบบการสื่อสารจะเปลี่ยนแปลงไป เริ่มคำนึงถึงการสื่อสารว่าจะออกมาในรูปแบบไหน ข้อความแบบไหน ผ่านสื่อรูปแบบอะไรที่ตรงตามความต้องการของลูกค้ามากที่สุด

 

นอกจาก 4C เริ่มมีการใช้กลยุทธ์ STP ในการวางแผนการตลาด คือ การแบ่งส่วนการตลาด (Segmentation) การเลือกกลุ่มเป้าหมาย (Targeting) การวางตำแหน่งหรือจุดยืนของธุรกิจ (Positioning) การขายสินค้าเน้นทั้งการขายแบบนำเสนอคุณสมบัติและคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์ รวมถึงเริ่มมีการสร้างจุดขายทางด้านอารมณ์ (Emotional) เริ่มมีการสื่อสารสองทางระหว่างเจ้าของสินค้าและลูกค้า และการทำ CRM หรือการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า เป็นยุคที่แบรนด์นั้นกลายเป็นสินทรัพย์ (Asset) เริ่มมีการตีตราเป็นมูลค่าทั้งในสิ่งที่จำต้องได้และจับต้องไม่ได้

 

Marketing 2.0 จึงเป็นยุคที่เน้นเรื่องทำความเข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง แทนที่จะอัดทุกอย่างลงในสินค้าเพื่อหวังว่าจะขายทุกคน แต่ทำสินค้าให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละกลุ่มมายิ่งขึ้น นอกจากนั้นยุคนี้ยังขยับเป้าหมายหลักจากความพึงพอใจของลูกค้า มาเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้าและการกลับมาซื้อซ้ำนั่นเอง (Retention) บทความนี้อาจช่วยให้เข้าใจมาขึ้นแล้วว่าการตลาดยุค 2.0 เป็นอย่างไร และช่วยให้การทำธุรกิจง่ายขึ้นขนาดไหน อย่าลืม กดติดตาม (Subscribe) บทความนี้ไว้ เพื่อไม่ให้เป็นการพลาดสาระความรู้ดี ๆ แบบนี้อีก

 

New call-to-action

Panida Nue

Panida Nue

Content Creator

Related posts

10 ไอเดีย สร้าง Passive Income

ทุกวันนี้ทำงานมีแหล่งรายได้จากทางเดียวอาจไม่ตอบโจทย์สำหรับการใช้ชีวิตในปัจจุบัน...

Continue Reading

ทำธุรกิจอะไรดี ที่ตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่

เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงจะมีความคิดที่อยากจะมีธุรกิจสักอย่างเป็นของตัวเอง ยิ่งมีเทคโนโลยีต่าง ๆ...

Continue Reading

เปิด “แฟรนไชส์โลก” ที่กำลังมาแรง

หลังจากที่เรา ส่อง “แฟรนไชส์” ในไทยน่าลงทุน 2022 กันไปแล้ว...

Continue Reading