Autonomous vehicle อาจจะเป็นคำที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยคุ้นชิน แต่ถ้าในวงการรถและยานยนต์นั้น คงเป็นคำยอดฮิตที่หลายคนให้ความสำคัญและกำลังศึกษา รวมถึงติดตามข่าวสารอยู่ตลอดเวลาเป็นแน่ เพราะ Autonomous vehicle คือ นวัตกรรมยานยนต์ไร้คนขับ สุดยอดเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่โลกกำลังให้ความสนใจ จนมีหลากหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกกำลังแข่งขันกันพัฒนาระบบ อาทิเช่น Tesla, Apple, และ Google โดยบางบริษัทก็เริ่มมีการผลิตยานยนต์กึ่งไร้คนขับออกมาใช้บ้างแล้ว ซึ่งมีแนวโน้มว่าอาจจะมีการผลิตยานยนต์ไร้คนขับแบบเต็มรูปแบบเข้าสู่ตลาดโลกอย่างรวดเร็วในอีกไม่ช้าแน่นอน แต่ยานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous vehicle) คืออะไร รถยนต์ไร้คนขับได้จริงหรือไม่ มาดูกัน ยานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous vehicle) คืออะไร? ยานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous vehicle หรือ Self-driving Car) คือ เทคโนโลยีที่ทำให้ยานพาหนะหรือรถยนต์สามารถรับรู้สภาพแวดล้อมรอบข้าง และสามารถขับเคลื่อนไปยังที่ต่างๆ ได้เองแบบอัตโนมัติและปลอดภัย โดยที่มนุษย์ไม่จำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง หรือไม่จำเป็นต้องมีผู้โดยสารที่เป็นมนุษย์อยู่ในรถเลยก็ได้ ซึ่งความล้ำหน้าสุดเจ๋งนี้ เกิดจากการใช้นวัตกรรมของเทคโนโลยีหลักๆ 4 เทคโนโลยี ดังนี้ Computer Vision : เทคโนโลยีที่ทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาให้กับยานยนต์ไร้คนขับ โดยใช้กล้อง และเรดาร์ตรวจจับคลื่นต่างๆ ทั้งเสียงและวัตถุโดยรอบเมื่อรถวิ่ง 2. Robotic : เทคโนโลยีที่ทำหน้าที่เสมือนเส้นประสาทที่เชื่อมต่อสมองของมนุษย์เข้ากับแขนขาและส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยทำการเชื่อมต่อระบบประมวลผลส่วนกลางเข้ากับระบบเครื่องจักรต่างๆ ในตัวรถ 3. Deep Learning : เทคโนโลยีที่เป็นสมองของยานยนต์ไร้คนขับ สามารถตัดสินใจควบคุมรถได้ด้วยระบบตนเอง โดยมาจากการประมวลผลข้อมูลที่รับมาจากระบบ Computer Vision 4. Navigation : เทคโนโลยีที่เป็นระบบแผนที่ที่เราคุ้นหูกันดี โดยประกอบด้วยระบบการระบุตำแหน่งของรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติจากดาวเทียม และระบบแผนที่เสมือนจริงที่เก็บรวบรวมข้อมูลในคลังข้อมูลดิจิทัล ทั้งนี้ยังทำหน้าที่เก็บข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการวิ่งของรถบนถนน เช่น ตำแหน่งของไฟจราจร ตำแหน่งทางม้าลาย ป้ายสัญญาณต่างๆ รวมถึงความเร็วสูงสุดที่กฎหมายอนุญาตให้รถวิ่งได้ในถนนแต่ละเส้น ยานยนต์ไร้คนขับจะใช้ระบบแผนที่ซึ่งประมวลผลร่วมกับระบบ Sensor เพื่อเพิ่มความถูกต้องและแม่นยำในการตัดสินใจให้เสถียร์มากยิ่งขึ้น ข้อดีของยานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous vehicle) ขับขี่สะดวกสบายมากขึ้น : ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางระยะทางสั้นหรือยาว ใกล้หรือไกล ระบบช่วยขับอัตโนมัติของยานยนต์ไร้คนขับ จะช่วยทำให้ผู้ใช้สามารถงีบหลับ พักผ่อน เพื่อคลายความเมื่อยล้าได้ในขณะขับรถได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเวลาที่รถติด การจราจรหนาแน่น ยานยนต์ไร้คนขับก็จะช่วยผ่อนแรงไปได้มาก หมดปัญหาปวดขา อีกทั้งยังช่วยทำให้อัตราการเกิดอุบัติเหตุจากความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ลดลงได้อีกด้วย อัตราการเกิดอุบัติเหตุบนถนนลดลง : เนื่องจากยานยนต์ไร้คนขับทุกคันนั้นมีกล้องมองรอบทิศทาง มีเซ็นเซอร์ตรวจจับ อีกทั้งยังใช้ความเร็วที่เหมาะสมกับสภาพการจราจร จึงทำให้อุบัติเหตุจากการขับจี้ท้าย ปาดหน้า และหลับใน มีอัตราและแนวโน้มที่จะลดน้อยลงซึ่งจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนนให้มากขึ้นไปอีก มีเวลาชีวิตเพิ่มมากขึ้น : เมื่อยานยนต์ไร้คนขับสามารถขับเคลื่อนได้อย่างอัตโนมัติ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถนำเวลาในการเดินทางไปทำอย่างอื่นได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้บนรถ หรือการใช้รถให้ขับขี่ไปยังที่หมายแทนตัวผู้ขับขี่ และทำกิจกรรมที่สำคัญหรือเร่งด่วนกว่า นอกจากนั้นยานยนต์ไร้คนขับยังช่วยลดการเกิดรถติด และทำให้ระยะเวลาในการเดินทางสั้นลง McKinsey มีการประเมินเบื้องต้นว่าเมื่อยานยนต์ไร้คนขับเข้าสู่รถยนต์กระแสหลักของโลก จะช่วยประหยัดเวลาในท้องถนนรวมๆ แล้วกว่า 1 พันล้านชั่วโมงต่อวัน ข้อเสียของรถยนต์ไร้คนขับ (Autonomous vehicle) อันตรายจากความไม่ชัดเจนของป้ายจราจร : ถึงแม้ยานยนต์ไร้คนขับจะมีความสามารถในการใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับและอ่านป้ายจราจร แต่หากเกิดกรณีที่ป้ายจราจรทำชำรุดหรือมีร่องรอยจนอ่านได้ยากและไม่ชัดเจน อาจส่งผลให้ระบบประมวลผลทำงานผิดพลาด และนำไปสู่การตัดสินที่ผิดพลาดได้ อันตรายจากผิวถนน : ระบบของยานยนต์ไร้คนขับอาจจะไม่สามารถแยะสภาพพื้นผิวของถนนที่เปลี่ยนไปทุกวันได้ เซ็นเซอร์อาจแยกหลุมบ่อบนพื้นถนนผิดพลาด และหากตกหลุมที่ลึกมากๆ อาจส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุได้ อันตรายจากรถยนต์คันอื่น : เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ไม่สามารถควบคุมได้กับการใช้รถหรือยานยนต์ไร้คนขับบนท้องถนนร่วมกับผู้อื่น เพราะไม่ใช่รถทุกคันที่จะใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ผู้ขับขี่ที่มีพฤติกรรมการขับขี่ตามใจตนเอง หรือยากในการประมวลผลผ่านระบบ เช่น การขับปาดหน้า และขับย้อนศร อาจส่งผลให้ยานยนต์ไร้คนขับตัดสินใจผิดพลาด และนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้ ราคาแพงกว่ารถยนต์ทั่วไป : แม้จะได้รับความนิยมและความสนใจเป็นอย่างมาก แต่ต้องยอมรับว่าในปัจจุบัน ยานยนต์ไร้คนขับนั้นมีราคาค่อนข้างสูงมาก เป็นราคาที่เกินเอื้อมสำหรับบุคคลทั่วไป ตัวอย่างเช่น รถยนต์ไร้คนขับอย่าง Tesla Model S มีราคาขานในประเทศไทย คือ 6.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาสูงมากสำหรับรถยนต์ทั่วไป ทำให้เป็นเพียงรถในฝันของบุคคลทั่วไปเท่านั้น แต่ในอนาคตก็มีแนวโน้มที่ราคาจะต่ำลงจนคนทั่วไปเอื้อมถึงได้ อย่างไรก็ตามยานยนต์ไร้คนขับก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจและน่าติดตามมากสำหรับชาวรักรถทุกคน วันนี้เรามาแนะนำเพียงข้อมูลเบื้องต้นของยาวยนต์ไร้คนขับ ครั้งหน้าเราจะเอาข้อมูลข่าวสารของยานยนต์ไร้คนขับในแง่มุมหรือด้านไหนมาฝาก รอติดตามได้เลย หรือสามารถ กดติดตาม (Subscribe) บล็อกของเราไว้ได้ เพื่ออ่านข้อมูลและสาระดีๆ ได้ก่อนใครเลย
หากพูดถึงคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ค หรือแล็ปท็อป ชื่อของ Macbook คงเป็นคำค้นหายอดฮิต และเป็นชื่อแรกที่ลอยเข้ามาในหัวเป็นแน่ เพราะไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็เจอใครต่อใครจับจองเป็นเจ้าของเจ้าแล็ปท็อปดีไซน์เรียบหรูรุ่นนี้ทั้งนั้น จะนักศึกษา หรือคนวัยทำงานก็ใช้กัน ขนาดเปิดหน้าจอทีวีก็ยังเจอเจ้า Macbook เป็นอุปกรณ์ประกอบฉากการทำงานของพระเอกนางเอกแทบทุกเรื่องไป แล้วจะไม่ขึ้นแท่นให้เป็นแล็ปท็อปนัมเบอร์วันก็คงไม่ได้ แต่อะไรที่เป็นสาเหตุให้ Macbook เป็นอุปกรณ์พกพาสุดปังในวงการคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊คกัน วิวัฒนาการที่ตอบโจทย์การใช้งานของ Macbook ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากว่าจะเป็น Macbook ที่มีระบบปฏิบัติการสุดล้ำ สเปกสุดแรง และดีไซน์สุดจึ้งในเวอร์ชั่นอย่างทุกวันนี้ ทุกอย่างได้ผ่านกระบวนการคิด และพัฒนาโดยบริษัท Apple มาหมดแล้ว เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้งานมากที่สุด โดยแรกเริ่มจุดกำเนิดของ Macbook เริ่มจากคอมพิวเตอร์พกพาเครื่องแรกอย่าง Macintosh Portable ในปี ค.ศ. 1989 แม้รุ่นนี้ไม่ได้รับความนิยมมากนัก แต่ก็ได้รับเสียงฮือฮาในวงการเทคโนโลยี เพราะ Apple สร้างความแตกต่างด้วยระบบแบตเตอรี่ ทำให้เครื่องสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียบปลั๊ก หลังจากนั้น Apple ก็มีการเปิดตัวคอมพิวเตอร์พกพาในชื่อ Powerbook ออกมาอีกหลายรุ่น ซึ่งได้รับความสนใจและเสียงฮือฮาบ้าง แต่อาจยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2001 ยุคทองของ iBook ก็เริ่มต้นขึ้น Apple เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายหันมาจับกลุ่มผู้ใช้งานทั่วไป ทำให้คอมพิวเตอร์พกพารุ่นนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และในด้านดีไซน์ iBook ได้มีการออกแบบผ่านแนวคิดใหม่ จึงทำให้เป็นแล็ปท็อปที่มีรูปทรงล้ำสมัยพร้อมสีสันที่สะดุดตา เช่น สี Aqua ยิ่งสร้างอิทธิพลให้ Macintosh กลับเข้ามาอยู่ในระบบอีกครั้ง แม้ว่าในประเทศไทยในยุคนั้นอาจมีการเข้าถึงและการใช้งาน Macintosh เฉพาะกลุ่ม และแพร่หลายไม่มากนักก็ตาม ด้วยกระแสความนิยมของ iBook ที่เพิ่มขึ้นนั้นทำให้ Apple ได้พัฒนาและเปิดตัว Macbook รุ่นแรกขึ้นในปี ค.ศ. 2006 มีตัวเครื่องบางกว่าเดิม 20% ใช้ซีพียู Intel Core Duo แรงกว่า iBook ถึง 5 เท่า และแรงกว่า PowerBook รุ่น 12 นิ้ว ถึง 4 เท่า หน้าจอของ MacBook มีขนาด 13.3 นิ้ว มีความสว่างมากกว่า iBook และ PowerBook 79% มีกล้อง iSight ในตัว พร้อม MagSafe มีตัวเครื่องให้เลือก 2 สี คือ สีขาวและดำ ราคาเปิดตัว $1,099 สำหรับสีขาว และ $1,499 สำหรับสีดำ นอกจากนั้นยังมาพร้อมกับ MacBook Pro หน้าจอขนาด 15 นิ้ว มีความสว่างกว่ารุ่นก่อน ๆ 67% พร้อม Trackpad แบบ Scroll ได้ และมีเซนเซอร์ตรวจจับเวลาทำเครื่องตกพื้นเพื่อช่วยป้องกันฮาร์ดดิสก์เสียหาย ใช้ซีพียู Intel แรงกว่า PowerBook G4 ถึง 4 เท่า ราคาเปิดตัว $1,999 ซึ่งได้รับกระแสความนิยมอย่างถาโถม สร้างฐานแฟนคลับจากมหาศาลให้กับ Apple และเสียงฮือฮาก็กลับมาดังกระหึ่มอีกครั้งในปี ค.ศ. 2008 เมื่อ Steve Jobs เทบางสิ่งรูปร่างคล้ายแล็ปท็อปออกจากซองเอกสารสีน้ำตาลที่ใช้งานตามออฟฟิศทั่วไป บนเวทีงาน Mac World 2008 และนั่นคือ การเปิดตัว Macbook Air อย่างเป็นทางการ จัดว่าเป็นแล็ปท็อปที่บางและเบาที่สุดในยุค จนมีหลากหลายแบรนด์นำไปเป็นต้นแบบของ Ultrabook ในช่วงหลัง Macbook ดีกว่าโน้ตบุ๊คทั่วไปอย่างไร ในยุคแห่งเทคโนโลยีทำให้เรามีตัวเลือกมากมาย และทำไม Macbook ถึงขึ้นแท่นแล็ปท็อปนัมเบอร์วัน คอมพิวเตอร์ในฝันของคนทำงาน มีดูข้อดีหรือจุดแข็งที่เหนือกว่าแบรนด์อื่นอย่างไร มาดูกัน MacBook มีระบบปฏิบัติการเสถียรภาพสูงอย่าง MacOS ต้องยอมรับว่า MacBook ครองใจผู้ใช้งานระดับมืออาชีพ ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในกลุ่ม ช่างภาพนิ่ง ช่างวิดีโอ และนักตัดต่อวิดีโอ เพราะสามารถใช้ในงานตัดต่อวิดีโอ หรือกราฟฟิคต่างๆ หรือ CG ได้เป็นอย่างดี ไม่กระตุก ในวงการเพลงก็พบว่านักดนตรีส่วนใหญ่มักจะนำ MacBook ไปใช้กับการทำเพลง นอกจากนี้ก็ยังมีสถาปนิกที่นำไปใช้ในการออกแบบโครงสร้างบ้าน หรืออาคาร 3 มิติ เนื่องจากระบบปฏิบัติการ MacOS มีความเสถียรภาพสูงมาก ไม่ค่อยพบปัญหา หรืออาการงอแงบ่อยเท่า Windows ทำให้ผู้ใช้งานค่อนข้างพอใจนั่นเอง MacBook มีแบตอึดมาก และให้ประสบการณ์ใช้งานที่ดี MacBook ในบางรุ่นสามารถใช้งานต่อเนื่องบนแบตเตอรี่ได้มากถึง 13 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว รวมไปถึงหน้าจอ Retina Display ที่เป็นจอภาพคุณภาพสูง ให้ความละเอียดที่มากกว่า Notebook ทั่วไป อีกทั้งยังมีขอบเขตสีที่เกิน 100% sRGB จนทำให้อยู่เหนือกว่าคู่แข่งแบรนด์อื่น ไม่ใช่เพียงแบตเตอรี่ ส่วนอื่นของ MacBook เองก็มีความทนทานเป็นอย่างมากเช่นกัน MacBook มีความเข้ากันของฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจาก Apple เป็นผู้ออกแบบ และพัฒนาทั้งในส่วนของตัวเครื่อง ฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการ MacOS จึงทำให้ไม่เกิดอุปสรรคในเรื่องของการเข้ากันได้ของฮาร์ดแวร์ต่างๆ และสามารถซิงค์ข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ของ Apple ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น iMac, iPad หรือ iPhone การส่งไฟล์แชร์ไฟล์ ทำให้ระหว่าง MacOS และ iOS ทำงานกันได้แบบไร้รอยต่อทีเดียว จึงได้รับการยอมรับจากเหล่าคนทำงานมืออาชีพ เหตุผลที่เรากล่าวไปทั้งหมดนั้น อาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้ Macbook ขึ้นแทน No.1 ในกลุ่มแล็ปท็อป ยังมีเหตุผลอีกมากมายที่ทำให้ Macbook ครองใจผู้ใช้งานทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ ถึงแม้จะมีราคาที่สูงกว่าแล็ปท็อปแบรนด์ส่วนใหญ่ แต่ด้วยประสิทธิภาพที่ Macbook ทำได้ก็ถือว่าคุ้มค่าที่จะยอมจ่าย แถมยังมีรูปลักษณ์และดีไซน์ที่เรียบหรูโดดเด่นอีก ไม่มีเหตุผลไหนที่ปฏิเสธคำพูดที่ว่า คอมพิวเตอร์ในฝัน ได้เลย ใครที่เป็นสาวก Apple และ Macbook มารอลุ้นกันดีกว่ารุ่นต่อไปจะเปิดตัวได้ปังขนาดไหน หรือสามารถ กดติดตามBlog ของเราได้ หากมีข่าวสารอัปเดตอย่างไร เราจะรีบเอามาแชร์ให้ทุกคนได้อ่านกันแน่นอน Quickwash x Carmunity
ระยะเวลา 40 กว่าปีที่บริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีอย่าง Apple Inc. ครองใจผู้ใช้งานมาอย่างยาวนาน และตอนนี้ถูกจัดเป็นแบรนด์ด้านอุตสาหกรรมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ได้ความนิยมสูงสุด และยังสามารถสร้างรายได้เป็นอันดับต้นๆ ของโลก อะไรที่ทำให้พวกเขาเติบโต และก้าวหน้าได้อย่างต่อเนื่อง เราจะมาเปิดประวัติความเป็นมาให้ทุกคนได้ทราบกัน จุดเริ่มต้นของ Apple ย้อนเวลากลับไปในช่วงปี ค.ศ. 1976 ในยุคสมัยที่คอมพิวเตอร์มีขนาดใหญ่เท่าผนังบ้าน บริษัท Apple ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกให้เข้าสู่ความล้ำสมัย ลบล้างอุปกรณ์ชิ้นใหญ่ที่เคยมีมา ซึ่งแนวคิดที่ว่าเกิดขึ้นโดย 3 หนุ่ม ได้แก่ Ronald Wayne พนักงานด้านอิเล็กทรอนิกส์วัย 42 ปี ผสมโรงกับ Steven Wozniak และ Steven Jobs สองหนุ่มที่ออกจากมหาวิทยาลัยโดยมีเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงวิถีการใช้คอมพิวเตอร์ของผู้คนให้เรียบง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น พวกเขามีจุดประสงค์ในการก่อตั้งบริษัทเพื่อจำหน่ายคอมพิวเตอร์ระบบส่วนบุคคล เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กลง สามารถใช้ที่บ้าน หรือสำนักงานได้อย่างสะดวก โดยคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่วางจำหน่าย คือ Apple I ซึ่งเป็นเพียงแผงวงจรเท่านั้น ไม่มีคีย์บอร์ดและเคส แต่ผลประกอบการกลับไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และหลังจากนั้นไม่นาน Ronald Wayne ก็ลาออกจากบริษัท Apple ไป แต่บริษัทก็พยายามเดินหน้าคิดค้น จนกลับมาได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายอีกครั้งด้วย Apple II สินค้าที่พลิกฟื้นและสร้างกำไรให้กับบริษัทอย่างล้นหลาม เป็นคอมพิวเตอร์ที่มาพร้อมคีย์บอร์ดและเคสในตัว ถูกใจผู้คนจำนวนมากในขณะนั้น แต่แน่นอนว่าการแข่งขันก็สูงขึ้นเช่นกัน เพราะยุคนั้นเป็นยุคบุกเบิกของวงการคอมพิวเตอร์ มีหลายบริษัทเกิดขึ้น และเติบโตตามๆ กันมา ในช่วงปี ค.ศ. 1979 บริษัท Apple เริ่มพัฒนาคอมพิวเตอร์สำหรับใช้งานส่วนบุคคล โดยนำอินเตอร์เฟซผู้ใช้แบบกราฟิก (GUI) เข้ามาใช้บนคอมพิวเตอร์ด้วย ในขณะนั้นบริษัทได้มีการแบ่งทีมพัฒนาออกเป็น 2 ทีม คือทีมพัฒนาคอมพิวเตอร์ Lisa และ Macintosh ปรากฏว่าหลังจากเปิดตัวโปรเจคคอมพิวเตอร์ Macintosh ได้รับความนิยมจากตลาดและสร้างเม็ดเงินให้กับบริษัทเป็นจำนวนมาก ความสำเร็จที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในครั้งนี้ นำพาบริษัทเข้าตลาดหุ้นได้ในปี ค.ศ. 1980 และทำให้ Steve Jobs กลายเป็นมหาเศรษฐี แต่แล้วก็มีปัญหาเกิดขึ้นภายในบริษัท การตัดสินใจที่ผิดพลาดทำให้ Steve Jobs ต้องลาออกจากบริษัทที่สร้างมา พร้อมกับก่อตั้งบริษัทใหม่ภายใต้ชื่อ NeXT Inc. และได้มีการพัฒนาระบบฏิบัติการของตนเองที่เป็นต้นแบบของ Mac OS X ในปัจจุบัน ซึ่งนั่นคือการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดของ Apple เพราะคอมพิวเตอร์พกพาเครื่องแรกอย่าง Macintosh Portable กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร และหลังจากนั้นไม่นาน Microsoft บริษัทคู่แข่งได้ส่ง Windows 3.0 เข้ามาชิงส่วนแบ่งทางการตลาดไป อีกทั้งยังเกิดการฟ้องร้องกันขึ้นในกรณีเกี่ยวกับการลอกเลียนกราฟิกอินเตอร์เฟซ (GUI) ส่งผลให้สถานการณ์ของบริษัท Apple แย่ลง แม้จะเปิดตัวคอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็กอย่าง PowerBook ที่สามารถสร้างเม็ดเงินเข้าบริษัทได้อย่างมาก ก็ไม่สามารถทวงคืนตำแหน่งผู้นำแห่งวงการเทคโนโลยีได้ แต่อุปกรณ์ที่เปิดตัวในครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นและต้นแบบชิ้นงานสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นในเวลาต่อมา ยุครุ่งเรืองของ Apple ยุคเรืองรองของ Apple ได้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง เมื่อ Apple ตัดสินใจประกาศซื้อกิจการของบริษัท NeXT Inc. ในปี ค.ศ. 1996 เพื่อดึงตัว Steve Jobs กลับมาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา และได้เป็น CEO ในปีถัดมา เขาตัดสินใจทำข้อตกลงกับ Microsoft โดยให้เข้ามาลงทุนเป็นจำนวนเงิน 150 ล้านเหรียญ พร้อมกับข้อแลกเปลี่ยนให้สามารถนำ Microsoft Office มาใช้บนคอมพิวเตอร์ Macintosh (Mac) ได้ พร้อมทั้งยังเปิดตัว Apple Store ร้านค้าออนไลน์สำหรับซื้อสินค้าของบริษัทหลังจากนั้นในปีถัดๆ มา Apple ก็ทยอยเปิดตัวสินค้าที่พลิกโฉมวงการเทคโนโลยี เริ่มต้นจากคอมพิวเตอร์ที่เป็นศูนย์รวมความบันเทิงทั้งหลายอย่าง iMac ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภค ส่งผลให้ยอดขายพุ่งทะยานอย่างรวดเร็วในปี ค.ศ. 1998 ต่อด้วย iPod สินค้าที่ฉีกแนวของบริษัทออกจากวงจรของคอมพิวเตอร์ สร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการอุปกรณ์ไลฟ์สไตล์เพื่อความบันเทิง สร้างผลกำไรอย่างมหาศาลให้กับบริษัทในปี ค.ศ. 2001 และหลังจากนั้นเพียง 2 ปี ร้านค้าเพลงออนไลน์อย่าง iTunes ได้ถือกำเนิดขึ้น และส่งผลให้ Apple ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยภายในปีแรกนั้นสามารถสร้างยอดขายได้ถล่มถลาย มากกว่า 100 ล้านเพลง และมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากถึง 70% และเมื่อเวลาเดินทางมาถึงปี ค.ศ. 2007 บริษัท Apple ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของวงการโทรศัพท์ เมื่อพวกเขาได้เปิดตัว Smart Phone ที่มาพร้อมหน้าจอสัมผัสอย่างเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรกอย่าง iPhone ซึ่งเป็นการปรับโฉมวงการโทรศัพท์ และสร้างกระแสสมาร์ทโฟนให้เริ่มเติบโตขึ้น และกลายเป็นต้นแบบของโทรศัพท์รุ่นใหม่ๆ ในเวลาต่อมา นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว App Store ที่เป็นแหล่งรวบรวมแอพพลิชั่นเสริมต่างๆ ให้สามารถโหลดใช้งานเพิ่มเติมได้อีกด้วย และอีกผลงานยอดนิยมที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ iPad อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์คล้ายสมาร์ทโฟนที่มีหน้าจอใหญ่จุใจ ใบเบิกทางสำคัญสำหรับวงการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลให้หลากหลายแบรนด์คิดค้นและพัฒนาจนเกิดเป็น แท็บเล็ต ซึ่งการเปิดตัวในครั้งนี้ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคและเหล่าสาวกเป็นอย่างมาก Apple ไม่เคยหยุดยั้งการคิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยี อัปเกรดสินค้าที่มี ให้เกิดรูปแบบใหม่และเวอร์ชั่นที่ดีขึ้นในทุกๆ ปี รวมถึง Gadget ที่ช่วยเสริมความสะดวกสบายอย่าง AirPods และ Apple Watch ที่เข้ามาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนส่วนใหญ่มากยิ่งขึ้น จนมีแฟนคลับและเหล่าสาวกจำนวนมหาศาลที่พร้อมตั้งตารอ ซึ่งผลงานความสำเร็จที่เราเอามาฝากนี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่ของ Apple เท่านั้น พวกเขายังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อครองใจผู้บริโภคส่วนใหญ่ในตลาดเสมอมา มารอลุ้นกันดีกว่าว่าผู้นำวงการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่าง Apple จะสร้างสรรค์อะไรให้ผู้บริโภคประทับใจได้อีก ถ้าหากมีอะไรเปิดตัวล่ะก็ เราจะรีบเอามาแชร์ให้ผู้อ่านทุกคนได้ตื่นเต้นไปด้วยกันให้เร็วที่สุดเลย อย่าลืมกด Subscribe เว็บไซต์นี้ไว้ เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางให้คุณติดตามข่าวสาร รวมถึงเทรนด์จากทุกวงการได้รวดเร็วมากกว่าใคร ขอบคุณที่มา : apple-history.com
เครื่องล้างรถอัตโนมัติเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้เข้ากับสังคมยุคสมัยใหม่ เพราะเป็นสิ่งที่สะดวกทั้งในด้านผู้ให้บริการ หรือด้านของลูกค้าผู้ใช้บริการก็ทั้งสะดวกและประหยัดขึ้น หากจะพูดถึงเครื่องล้างรถอัตโนมัติ ทุกคนเคยสงสัยกันไหมว่ามีจุดเริ่มต้นมาจากอะไร ตั้งแต่ตอนไหน และตอนนี้เครื่องรถอัตโนมัติมีเทคโลโลยีอะไรที่ตอบโจทย์เพิ่มมากขึ้นบ้างแล้ว ในสมัยก่อนการล้างรถอัตโนมัติยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก มีเพียงการล้างด้วยตัวเองหรือเข้าใช้บริการร้านคาร์แคร์ที่มีพนักงานให้บริการเท่านั่น ซึ่งก็มีการเกิดปัญหาเช่น เกิดปัญหารอนาน ราคาค่าใช้จ่ายสูง ของหาย เป็นต้น เครื่องล้างรถอัตโนมัติจึงเข้ามาแก้ปัญหาเหล่านี้ เครื่องล้างรถอัตโนมัติ เครื่องล้างรถอัตโนมัติที่เรานำมานำเสนอในวันนี้มี 2 รูปแบบ คือ 1.แบบอุโมงค์ล้างรถอัตโนมัติ รูปแบบอุโมงค์ล้างรถอัตโนมัติ เปรียบเหมือนเป็นหุ่นยนต์ขนาดใหญ่โดยมีโครงสร้าง และสายพานลำเลียงที่แข็งแรงเพื่อเคลื่อนย้ายยานพาหนะน้ำหนักมากกว่า 30 ตัน เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง และแปรงปัดช่วยให้มันทำความสะอาดรถได้อย่างทั่วถึง การล้างรถอัตโนมัติเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1951 ในเมืองซีแอทเทิล รัฐวอชิงตัน และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อุตสาหกรรม และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องได้พัฒนาขึ้นอย่างมาก อุโมงค์ล้างรถที่ทันสมัย ประกอบด้วยชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวได้หลายพันชิ้น น้ำยาล้างหลากชนิด และแวกซ์ พร้อมเครื่องควบคุมอัตโนมัติ เซนเซอร์ และเครื่องวัดเพื่อการทำความสะอาดที่มีประสิทธิภาพ โดยไม่สร้างความเสียหาย การล้างรถที่มีประสิทธิภาพสามารถกำจัดซากแมลง ขี้นก และไขมันที่เกาะบนผิวรถออกได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที ขั้นตอนจะเริ่มต้นด้วยการฉีดน้ำ ซึ่งโดยปกติจะมีความเป็นด่างอ่อน แล้วจึงล้างด้วยแชมพู ตามมาด้วยการเพิ่มน้ำยาโฟม เพื่อการทำความสะอาดได้อย่างหมดจด ส่วนหลักประกอบด้วยแปรง 2-5 ชิ้น ที่เรียกว่า ตัวขัด และมีแปรงปัดวางในแนวนอนเพื่อทำความสะอาดหลังคารถ มีการเพิ่มแวกซ์เพื่อรักษาสีรถ ป้องกันรอยขีดข่วน และรังสียูวี ตัวโครง และแปรง ขับเคลื่อนด้วยระบบไฮดรอลิค และควบคุมการทำงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ บางขั้นตอนจะมีการตั้งโปรแกรมล่วงหน้า เช่น การเพิ่มความเร็วของแปรงปัดเมื่อผ่านด้านหน้าของรถ เนื่องจากเป็นที่รวบรวมสิ่งสกปรกมากที่สุด การล้างรถส่วนอื่นๆ ก็อาศัยเซนเซอร์ และการตอบสนอง เช่น ระบบโฟโทอีเลคทริค ที่มีหน้าที่จับตำแหน่ง และตรวจจับรูปร่าง ขั้นตอนสุดท้าย คือ ทำให้แห้ง ข้อมูลในคอมพิวเตอร์จะเคลื่อนไหวตามการเคลื่อนไหวของแปรงที่จดจำไว้จากขั้นตอนก่อนหน้านี้ ด้านในของเครื่อง สายพานลำเลียงที่ซับซ้อนของเครื่องล้างรถอัตโนมัติ ใช้อะไรล้าง ที่จุดเริ่มต้น ลูกค้าสามารถเลือกโปรแกรมการล้างได้ สายพาน จากนั้นลูกค้าขับรถเข้าอุโมงค์ ซึ่งสายพานลำเลียงจะดึงและยึดล้อหน้าซ้ายเอาไว้ โฟม ที่จุดเริ่มต้นของอุโมงค์ หัวฉีดแบบ 2 ทิศทางจะฉีดพ่นโฟมที่ใช้สำหรับขจัดคราบน้ำมัน ล้างน้ำครั้งแรก หัวฉีดถัดไปจะฉีดน้ำสะอาด เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและเศษหินจากสีรถ ทำความสะอาดล้อ ใช้สารเคมีโดยเฉพาะสำหรับขจัดคราบฝุ่นที่มาจากเบรค ล้อ และยาง ทำความสะอาดใต้รถ ใช้หัวฉีดที่ติดตั้งอยู่ที่พื้นอุโมงค์ทำความสะอาดใต้ท้องรถ แปรง แปรงปัดรถยนต์จะใช้เซนเซอร์ที่ใกล้กับตัวรถ เพื่อให้แน่ใจว่าได้ปัดลงบนพื้นผิวของรถอย่างพอดี ลงแวกซ์ อีกประตูหนึ่งจะฉีดพ่นรถด้วยแวกซ์เพื่อให้ตัวรถมีความเงางาม ทำให้แห้ง เครื่องเป่าขนาดใหญ่จะเป่าอากาศร้อนเพื่อทำให้รถแห้ง บางครั้งมีผ้าม่านแนวตั้งเพื่อทำให้รถแห้ง 1. เซนเซอร์ในเครื่องล้างรถจะตรวจจับรูปร่าง ตำแหน่งของรถ และหมุนแปรงปัดไปรอบๆ 2. โฟมล้างรถ และการหมุนแปรงปัดด้วยความเร็วสูงจะช่วยให้รถสะอาดเอี่ยมก่อนออกไปจากอุโมงค์ 3. ระบบการล้างแบบไร้สัมผัสมีแนวโน้มว่าจะเร็วกว่าการล้างแบบเข้าอุโมงค์อัตโนมัติ 4. การผสมผสานระหว่างแชมพู กับน้ำแรงดันสูง และการเสียดสีของแปรงปัดช่วยให้ทำความสะอาดได้อย่างทั่วถึง 2.ล้างรถแบบจอดรถอยู่กับที่ เครื่องล้างจะทำงานโดยการหมุนรอบรถ ในรูปแบบนี้ถือว่าหนึ่งในความก้าวหน้าล่าสุดของอุตสาหกรรมล้างรถอัตโนมัติ คือ ระบบการล้างรถโดยปราศจากการสัมผัส ระบบล้างแบบนี้จะหมุนหัวฉีดไปรอบๆ รถ โดยปราศจากการทำความสะอาดด้วยแปรงหรือผ้า ขั้นตอนเริ่มจาก ฉีดน้ำแรงดันต่ำให้รถเปียก ก่อนจะลงแชมพูที่ผลิตขึ้นมาพิเศษสำหรับการล้างรถ หลังจากนั้นแปรงล้างรถจะททำการหมุนสะบัดรอบตัวรถ เพื่อเป็นการขจัดคราบความสกปรกต่างๆ ออก จากนั้นฉีดน้ำแรงดันสูงเพื่อล้างแชมพูออก ลงแวกซ์และเป่าลมไล่คราบน้ำให้หมาด และในรูปแบบสุดท้ายนี้ หากพูดถึงร้านล้างรถอัตโนมัติแล้ว ก็คงจะต้องพูดถึงควิก ร้านล้างรถอัตโนมัติที่มีเครื่องล้าง เรามาลองดูสเป็คของเครื่องล้างอัตโนมัติของที่ร้านกันค่ะ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง เครื่องล้างรถอัตโนมัติของควิกวอช เป็นเครื่องล้างอัตโนมัติ Istobal รุ่น M’Start ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมใหม่ขั้นเทพด้วยการล้างระบบแรงดันสูง ทำความสะอาดล้ำลึกทุกซอกทุกมุมและยังมาพร้อมกับภาพลักษณ์สุดเท่ห์ล้ำสมัย เหมาะกับทุกธุรกิจ เช่น ร้านล้างรถในเมือง สถานีให้บริการน้ำมันหรือแก๊ส คอนโดหรู รองรับการล้างต่อเนื่องเพียงปุ่มสัมผัส ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ฉีกทุกการล้างรถแบบเดิมๆ โดยมีเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกมากมาย Controller ด้วยการทำงานที่ชาญฉลาดได้มาตรฐานและมีความยืดหยุ่นสูงของโปรแกรมโปรโตรคอล ที่ช่วยเพื่มประสิทธิภาพการสื่อสารของการทำงนเครื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพลดการเดินสายไฟและช่วยให้เครื่องทำงานได้อย่างคล่องตัว Command post หน้าจอโพสออกคำสั่งช่วยให้ทุกองค์ประกอบภายนอกของเครื่องทำงานเชื่อมต่อกัน มีทั้งแบบมาตราฐานและแบบหน้าจอสัมผัส FLEXIBILITY Configuration of programs สามารถเลือกปรับความกว้างและสูงได้เองตามใจชอบ โครงสร้างที่มั่นคงและขนาดกระทัดรัด มีให้เลือกถึง 4 ระดับ MECHANISM Brush tilt การล้างได้อย่างแม่นยำและสะอาดล้ำลึกด้วยตัวแปรงเอียง 10 องศาของด้านข้างแปรง PERFORMANCE High pressures เครื่องทำงานด้วยแรงดันสูงก่อนขั้นตอนการล้าง ทำให้ชำระล้างเอา สิ่งสกปรก ฝุ่นละออง คราบโคลน คราบดิน ออกจากตัวรถก่อนทำการลงแชมพู EFFECTIVE DRYING เครื่องเป่าลมในตัวด้วย ผนวกกับหัวฉีดเครื่องเป่าแนวนอนและเครื่องแสกน รถอัจริยะทำให้เป่าแห้งได้รวดเร็ว ให้ผลลัพธ์ที่เยี่ยมยอดมากขึ้น จำนวน 2 ตัว เพื่อความพอดีกับด้านบนของตัวเครื่องจะทำให้แห้งสนิทรวดเร็ว COMMUNICATIONS ตัวเครื่องล้างอัตโนมัตจะติดต่อสื่อสารกับอุปกรณ์ที่มี IW MANAGER การจัดการและควบคุมซอฟต์แวร์ของตัวเครื่อง สามารถใช้งานได้ทั้งจากตัวเครื่องและการเชื่อมต่อระยะไกล WHEEL WASH เพื่อการล้างรถที่สมบูรณ์แบบจำเป็นอย่างยิ่งต้องทำการล้างล้อและบังโคลน มีให้เลือกทั้งมีหรือไม่มีแรงดันสูง และตัวแปรงแบบเบนหรือเกลียว GLOSSY POLISH MIRROR สินค้าแนะนำสำหรับการเคลือบแว็กซ์แบบเงางามเสมือนกระจกเงา หลังจากการล้างรถแปรงจะทำหน้าที่นวดพื้นผิวรถให้ริ้วเงาอยู่ตลอดเวลา SPLASH SCREENS วัสดุคุณภาพสูง Perspex กับอลูมิเนียมเสริมด้วยการออกแบบที่สอดคล้องกับตัวเครื่องทีมีความปลอดภัยสูงทั้งยังปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นตัวเลือกแนะนำหลีกเสี่ยงน้ำกระเด็นหรือสาดในระหว่างการล้าง แปรงล้างนุ่ม ไร้ขนแมว ตัวแปรงทำจากวัสดุโฟม ฟูนุ่ม น้ำหนักเบา ไม่อมน้ำ เคลือบด้วยน้ำยาพิเศษที่ไม่ทำให้เกิดร่องรอยและไม่ทำห้เกิดอันตรายต่อสีรถเพิ่มความเงางามมากขึ้น เครื่องล้างรถอัตโนมัติได้ถูกสร้างและพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ที่ชอบความสะดวกสบาย พัฒนาให้เข้ากับทันยุคสมัยที่เปลี่ยนไป อย่างไรก็ตามในอนาคตข้างหน้าเครื่องล้างรถอัตโนมัติอาจจะมีเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์และทันสมัยมากขึ้นกว่านี้ มารอดูการพัฒนาของเครื่องล้างรถอัตโนมัติในอนาคตไปพร้อมๆ กันนะคะ คลิก!! โหลด App Carmunity เพื่อสะสมแต้ม 👇🏻
หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินชื่อแอปบริการเรียกรถ Grab (แกร็บ) กันจนติดหู กับธุรกิจการขนส่งที่ในปัจจุบันได้หันมาทำโมเดล ‘ซูเปอร์แอป’ หรือแอปครอบจักรวาล ที่ในหลายธุรกิจอยากจะเป็นกัน วันนี้เรามาทำความรู้จักกับจุดเริ่มต้นของแอปพลิเคชั่นชื่อดังพร้อมทั้งบริการต่างๆ ที่ตอบโจทย์การเป็นซุปเปอร์แอปอันดับต้นๆ ในไทย Grab (แกร็บ) คือ แอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือที่ให้บริการเรียกรถแท็กซี่ รถยนต์ส่วนบุคคล และ รถมอเตอร์ไซค์ ทั้งในส่วนของมอเตอร์ไซค์รับจ้าง และการขนส่งสิ่งของหรือเอกสาร โดยมีจุดมุ่งหมายในการอำนวยความสะดวก และเพิ่มความปลอดภัยด้านการเดินทางให้กับผู้คนในกรุงเทพและจังหวัดใหญ่ๆ ของประเทศไทย ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ Andriod และ iOS จุดเริ่มต้นของ Grab นั้น ถูกก่อตั้งขึ้นโดย แอนโทนี่ ตันและ โฮย หลิง ตัน โดยทั้งคู่เป็นเพื่อนร่วมชั้นกันที่ Harvard Business School ต้นเหตุของปัญหาที่พวกเขาสองคนเจอคือ การเรียกแท็กซี่ที่มาเลเซียนั้นยากแสนยาก เขาจึงกลับไปคิดกันว่ามีวิธีไหนบ้างที่สามารถใช้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในการแก้ปัญหานี้ ทั้งคู่จึงเขียนแนวคิด และพัฒนามันจนกลายเป็นแผนธุรกิจในเวลาต่อมา ซึ่งต่อมาถูกนำไปใช้ในการประกวด Business Plan Competition ที่มหาวิทยาลัย โดยได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับ 2 ในปี 2011 หลังจากนั้น ทั้งคู่เริ่มหาเงินทุน โดยใช้วิธีเดินเข้าไปเสนอแผนธุรกิจดังกล่าวให้แก่บริษัทที่ให้บริการจัดหารถแท็กซี่จำนวนมาก แต่มีเพียงแค่ 5 บริษัทกับจำนวนแท็กซี่แค่ 30 คันที่สนับสนุนแนวคิดของเขา อย่างไรก็ตาม ในระยะเวลา 12 เดือนต่อมา ทั้งคู่ได้เงินสนับสนุนกว่า 3,000 ล้านบาท จากกองทุนเฮดฟันด์ที่ขื่อว่า Vertex Venture Holdings ทำให้บริษัทเริ่มเติบโตและมีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง จนในปี 2013 Grab เปิดตัวในฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และประเทศไทย ซึ่งในปัจจุบัน Grab ประเทศไทยมี นายธรินทร์ ธนียวัน เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แกร็บแท็กซี่ (ประเทศไทย) จำกัด ทำไมต้อง โมเดล ‘ซูเปอร์แอป’ Super App มีอีกชื่อเรียกหนึ่ง คือ Everyday App ซึ่งหมายถึงแอปพลิเคชั่นที่ครอบคลุมทุกบริการ รวมทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกัน มีฟีเจอร์มากมายที่สามารถทำกิจกรรมได้หลายอย่างภายในแอปเดียว โดยไม่ต้องออกจากแอปไปใช้บริการแอปฯอื่น เช่น จ่ายบิล ซื้อของ สั่งอาหาร และมีความต้องการให้ผู้ใช้งาน log-in เข้ามาเพื่อใช้งานเป็นประจำทุกวัน ซึ่งบรรดาผู้พัฒนาแอปฯ ต่างพยายามพัฒนาเพื่อเปลี่ยนจากแอปธรรมดาให้กลายเป็น “Super app” บริการของแกร็บมีอะไรบ้าง ?? ซึ่งในปัจจุบันนี้ Grab มีบริการที่ตอบโจทย์การเป็นซูเปอร์แอปด้วยกันทั้งหมด 10 บริการ ได้แก่ 1.แกร็บคาร์ (Grab Car) การให้บริการเรียกรถส่วนบุคคลที่จะส่งมอบความสะดวกสบายและปลอดภัยให้ทั้งผู้ขับและผู้โดยสาร พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ที่มียานพาหนะส่วนตัว สามารถมีรายได้เสริมในเวลาว่าง และมีส่วนช่วยแบ่งเบาปัญหาการจราจรของประเทศโดยมอบทางเลือกในการเดินทางที่หลากหลาย และลดจำนวนรถบนท้องถนน 2.แกร็บไบค์วิน (GrabBike Win) การให้บริการเรียกรถจักรยานยนต์รับส่งผู้โดยสารแบบทันที ซึ่งจะสามารถทราบอัตราค่าบริการที่แน่นอนก่อนใช้บริการผ่านแอปพลิเคชัน พร้อมรับใบเสร็จผ่านอีเมลที่ใช้สมัคร ปัจจุบัน แกร็บไบค์ (วิน) เปิดให้บริการในพื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ บุรีรัมย์ และ เชียงใหม่ 3.จัสท์แกร็บ (Just Grab) การให้บริการที่รวบรวมรถจากแกร็บแท็กซี่ (GrabTaxi) และแกร็บคาร์ (GrabCar) ไว้ในบริการเดียว เพื่อโอกาสในการเรียกรถให้มารับได้ไวขึ้น พร้อมอัตราค่าโดยสารที่โปร่งใส ซึ่งแสดงไว้ในแอปพลิเคชันก่อนยืนยันการจองรถ หมายเหตุ : เฉพาะแกร็บแท็กซี่ที่ผ่านคุณสมบัติเท่านั้น ที่สามารถให้บริการ จัสท์แกร็บ 4.แกร็บแท็กซี่ (Grab Taxi) การให้บริการเรียกรถแท็กซี่สำหรับผู้โดยสารผ่านแอปพลิเคชันแกร็บ โดยแกร็บแท็กซี่เปิดให้บริการภายใต้วิสัยทัศน์ของแกร็บในการที่จะพัฒนาการบริการโดยสารรถแท็กซี่ เพื่อการเดินทางที่ปลอดภัยและสะดวกมากขึ้น รวมถึงเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตในการทำงานและรายได้ของผู้ขับขี่แท็กซี่ในประเทศไทย 5.แกร็บต่างจังหวัด นอกเหนือจากการให้บริการในกรุงเทพฯ และปริมณฑลแล้ว แกร็บยังให้บริการเรียกรถอีกหลายพื้นที่ในประเทศไทย และยังคงมุ่งมั่นที่จะขยายการให้บริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยในการเดินทางสำหรับคนไทยทุกคน 6.แกร็บฟู๊ด (Grab Food) การให้บริการเรียกรถรับส่งอาหารแบบทันทีเมื่อเรียกใช้บริการผ่านแอปพลิเคชัน โดยจะสามารถทราบค่าอาหาร และ ค่าบริการจัดส่งที่แน่นอนก่อนใช้บริการ พร้อมรับใบเสร็จผ่านอีเมลที่ใช้สมัคร 7.GrabMart บริการรับส่งสินค้าถึงที่ โดยพาร์ทเนอร์รับซื้อของจากร้านค้าต่างๆ เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ ทั้งนี้ พาร์ทเนอร์จำเป็นต้องส่งสินค้าให้ถึงมือผู้รับ และผู้ใช้บริการต้องชำระเงินสดที่ปลายทางเท่านั้น 8.แกร็บเอ็กซ์เพรส (GrabExpress) การให้บริการเรียกรถเพื่อรับส่งพัสดุหรือเอกสารถึงที่ ผู้ขับขี่อุ่นใจได้ด้วยระบบจัดเก็บหลักฐานการรับและส่งของที่ถ่ายพัสดุโดยผู้ขับขี่ เพื่อเป็นการยืนยันถึงสภาพของพัสดุก่อนและหลังการจัดส่ง เปิดให้บริการแล้วกว่า 30เมืองทั่วประเทศ อาทิ กรุงเทพฯและปริมณทล นครปฐม เชียงใหม่ นครราชสีมา บุรีรัมย์ ขอนแก่น สงขลา-หาดใหญ่ ภูเก็ต ชลบุรี ระยอง จันทบุรี เป็นต้น และมีการเปิดพื้นที่ให้บริการใหม่ทุกเดือน นอกจากนี้บริการเรียกรถเพื่อรับส่งพัสดุหรือเอกสารมีรถให้บริการ 3 ประเภท ได้แก่ รถจักรยานยนต์ รถยนต์ (5 ประตู) และรถกระบะ อีกทั้งยังมีบริการเรียกรถเพื่อรับส่งพัสดุที่ตอบโจทย์การส่งของรูปแบบใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา บริการเรียกรถเพื่อรับส่งพัสดุ (GrabExpress) บริการเรียกรถเพื่อรับส่งพัสดุหลายจุดส่ง (GrabExpress Multi Stop) บริการเรียกรถเพื่อรับส่งอาหารจากร้านอาหาร (GrabExpress Food) บริการรับฝากซื้อสินค้า (GrabAssistant) 9.GrabNetwork สร้างรายได้ตามต้องการ ไร้ขีดจำกัดเรื่องสถานที่และเวลา เป็นครอบครัวแกร็บแบบไม่จำเป็นต้องขับรถ ตัวแทนรับสมัครผู้ขับขี่แกร็บที่กระจายอยู่ทั่วทุกหัวมุมในกรุงเทพฯ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้สนใจสมัครขับแกร็บ เพียงเข้าใจและสามารถใช้แอปฯ Grab Driver ก็รับโนนัสได้ง่าย ๆ 10.Grab Rentals แกร็บมีบริการช่วยจัดหารถเช่ารายวันในราคาประหยัด สำหรับผู้ที่ต้องการเป็นพาร์ทเนอร์ผู้ขับขี่ของแกร็บแต่ไม่มีรถยนต์เป็นของตนเอง โดยมีระยะเวลาสัญญาเช่าเริ่มต้นขั้นต่ำ 3 เดือน ทั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่มีรถยนต์เป็นของตัวเอง สามารถมีอาชีพที่สร้างรายได้ให้ตนเองได้อย่างคุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ต้องการมีรายได้เสริมหรือผู้ที่กำลังหาอาชีพอิสระ นับว่าแอปพลิเคชั่นที่มีจุดเริ่มต้นมาจากแก้ปัญของคนสองคน ซึ่งมีการเติบโตทางธุรกิจอย่างรวดเร็ว และในปัจจุบัน Grab เองก็ยังไม่หยุดพัฒนาเพื่อการบริการที่ครบวงจรตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าในภูมิภาคเอเชียให้มากขึ้น
ยังคงมีกระแสแรงอย่างต่อเนื่องกับ “รถไฟฟ้า EV” ที่เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในปัจจุปัน เพราะเป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจึงทำให้ค่าใช้ง่ายในเรื่องพลังงานเชื้อเพลิงถูกลงเป็นอย่างมาก และแถมรถ EV ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ข้อดีเยอะขนาดนี้แล้ว ใครที่ยังลังเลอยู่วันนี้เรานำข้อมูลเรื่อง “รถยนต์ไฟฟ้า EV ต้องใช้ไฟบ้านแบบไหน? จ่ายค่าไฟเท่าไหร่?” มาให้ทุกคนได้อ่านเพื่อเพิ่มความรู้ และเหตุผลที่อาจจะช่วยทำให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นมากฝากกันค่ะ สามารถทำความรู้จักรถประเภทรถ EV และข้อดี-ข้อเสียได้ผ่านบทความนี้เลยค่ะ สิ่งที่ต้องรู้ก่อนติดตั้งระบบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าภายในบ้าน ก่อนอื่นเลยสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคนที่กำลังจะซื้อรถไฟฟ้านั่นคือการศึกษาทำความเข้าใจระบบไฟฟ้าในบ้านของตัวเองก่อน มิเช่นนั้นระบบไฟฟ้าภายในบ้านอาจจะมีปัญหาได้ โดยมี 5 ขั้นตอนการติดตั้งระบบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้านมาฝากทุกคนกันค่ะ 1.ขนาดมิเตอร์ไฟฟ้า คือ สำรวจมิเตอร์ไฟฟ้าของตัวเอง โดยปกติขนาดมิเตอร์ของบ้านพักอาศัยทั่วไปจะใช้เป็น 15(45) 1 เฟส(1P) หมายถึงมิเตอร์ขนาด 15 แอมป์(A) และสามารถใช้ไฟได้มากถึง 45(A) สำหรับคนที่ต้องการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในบ้าน ทางการไฟฟ้าแนะนำให้เปลี่ยนขนาดมิเตอร์เป็น 30(100) ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ป้องกันการใช้ไฟฟ้าที่มากเกินไป **สำหรับคนที่คิดว่าต้องเปลี่ยนระบบไฟเป็น 3 เฟสรึเปล่า? คำตอบคือ “ไม่จำเป็น” เนื่องจากถ้าบ้านไม่มีการใช้งานไฟฟ้ามากเกินไป การใช้ไฟ 1 เฟสก็เพียงพอ 2.เปลี่ยนสายเมน และลูกเซอร์กิต (MCB) คือ สำหรับสาย Main ของเดิมใช้ขนาด 16 ตร.มม. ต้องปรับให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 25 ตร.มม. และเปลี่ยนลูกเซอร์กิต(MCB) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ป้องกันร่วมกับตู้ MDB ที่แต่เดิมรองรับได้สูงสุด 45(A) เปลี่ยนเป็น 100(A) หรือพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ขนาดมิเตอร์ ขนาดสายเมน และขนาดลูกเซอร์กิต (MCB) ต้องสอดคล้องกัน 3.ตู้ควบคุมไฟฟ้า (MDB) คือ ตรวจสอบภายในตู้ว่ามีช่องว่างสำรองเหลือให้ติดตั้ง Circuit Breaker อีก 1 ช่องรึเปล่า? เพราะการชาร์จไฟของรถยนต์ไฟฟ้าจะต้องมีส่วนตัว แยกใช้งานกับเครื่องไฟฟ้าอื่นๆ หรือถ้าหากภายในตู้หลักไม่มีช่องว่าง ควรเพิ่มตู้ควบคุมย่อยอีก 1 จุด 4.เครื่องตัดไฟรั่ว (RCD) คือ เป็นเครื่องตัดไฟฟ้าอัตโนมัติที่จะตัดวงจรไฟฟ้า เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้าออกมีค่าไม่เท่ากัน ซึ่งอาจจะส่งผลให้ไฟฟ้าลัดวงจร และเกิดเพลิงไหม้ได้ในอนาคต กรณีที่สายชาร์จไฟฟ้ามีระบบตัดไฟภายในตัวอยู่แล้ว เราก็ไม่ต้องติดตั้งเพิ่ม 5.เต้ารับ (EV Socket) คือ สำหรับการเสียบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นชนิด 3 รู (มีสายต่อหลักดิน) ต้องทนกระแสไฟฟ้าได้ต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 16(A) *แต่รูปทรงอาจจะปรับตามรูปแบบปลั๊กของรถยนต์แต่ละรุ่น การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามีกี่แบบ? ใช้เวลานานเท่าไหร? สำหรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าหลักๆ มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่ การชาร์จแบบธรรมดา (Normal Charge) คือ การชาร์จไฟฟ้าจากตัวเต้ารับโดยตรง โดยขนาดมิเตอร์ขั้นต่ำที่แนะนำคือ 30(100)A และเต้ารับต้องติดตั้งใหม่เฉพาะการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น โดยเป็นการใช้ไฟบ้านที่เป็นกระแสสลับ (AC) ที่ใช้ระยะเวลาในการชาร์จประมาณ 12-16 ชม. การชาร์จแบบรวดเร็ว (Double Speed Charge) คือ เป็นการชาร์จจากเครื่องชาร์จ EV Charger เป็นตู้ชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Charging) ที่ช่วยให้ชาร์จพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรี่รถให้เต็มเร็วยิ่งขึ้น โดยเหลือเวลาชาร์จประมาณ 6-8 ชม. การชาร์จแบบด่วน (Quick Charge) คือ เป็นการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charging) ตรงเข้าแบตเตอรี่โดยตรง ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า จาก 0-80% ได้ภายในเวลา 40-60 นาที นิยมใช้ตามสถานีบริการนอกบ้าน ที่ต้องการความรวดเร็วในการชาร์จ แต่ก็มีข้อเสียคือทำให้ตัวแบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วขึ้น ได้แก่ CHAdeMo, GB/T และ CCS เป็นต้น หัวชาร์จสำหรับรถแต่ละรุ่นแบบด่วน (Quick Charge) DC CHAdeMo ย่อมาจากคำว่า CHArge de Move แปลได้ว่า ชาร์จไฟแบบเร็วสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งระบบ CHAdeMO มีการใช้แพร่หลายในประเทศญี่ปุ่น จ่ายกระแสไฟฟ้าขนาด 50 kW DC CCS2 ย่อมาจาก Combined Charging System เป็นหัวชาร์จที่นิยมใช้ในแถบทวีปยุโรป จ่ายกระแสไฟฟ้าขนาด 50 kW เทคนิคการเลือกเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า EV Charger ความเร็วในการชาร์จไฟรถยนต์นั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับไฟ (On Board Charger) ของรถยนต์แต่ละรุ่น หรือก็คือตัวควบคุมการดึงพลังงานไฟฟ้าจากตัวรถ สั่งการไปยังเครื่อง EV Charger โดยทั่วไปขนาดมีตั้งแต่ 3.6kW ถึง 22kW ซึ่งทำให้ตัวเครื่องชาร์จออกแบบมาให้มีทั้งหมด 4 ขนาด คือ 3.7 kW, 7.4 kW, 11 kW, 22 kW (มาตรฐาน) ราคาเครื่องชาร์จหลากหลายมีตั้งแต่ 15,000-100,000 กว่าบาท(แล้วแต่ยี่ห้อ) การเลือกจุดติดตั้งเครื่องชาร์จ บริเวณพื้นที่จอดรถ 1.ระยะทางไม่เกิน 5 เมตร จากตัวเครื่องชาร์จจนถึงจุดที่เสียบชาร์จกับตัวรถ ไม่ควรวางห่างกันเกิน 5 เมตร เนื่องจากสายเครื่องชาร์จ EV Charger โดยทั่วไปอยู่ที่ 5-7 เมตรเท่านั้น 2.วางใกล้ตู้ MDB เลือกทำเลใกล้ตู้เมนไฟฟ้าในบ้าน ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินสายไฟที่มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น 3.หลังคาปกคลุม เลือกจุดที่อยู่ด้านในใต้หลังคา เพื่อป้องกันละอองฝน และเป็นการรักษาให้ใช้งานได้ยาวนานมากขึ้น คำนวณค่าไฟในการชาร์จรถไฟเต็ม 1 รอบการใช้งาน ยกตัวอย่าง : รถยนต์ไฟฟ้าชาร์จสูงสุดที่ 7.4 kW แบตเตอรี่จุได้ 60 kW หรือระยะทางขับขี่ประมาณ 350 กิโลเมตร พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือเวลา 1 ชม. เก็บพลังงานไฟฟ้าได้ 7.4 kW โดยถ้าต้องจุให้เต็ม 60 kW ต้องใช้เวลาถึง 7-8 ชั่วโมง สมมุติว่าไฟฟ้า 1 หน่วย = 1 kW สมมุติที่ 4 บาท/หน่วย – ชาร์จไฟ 1 ชม คิดค่าไฟฟ้า = 7.4 x 4 x 1 = 29.6 บาท – ชาร์จไฟ 2 ชม คิดค่าไฟฟ้า = 7.4 x 4 x 2 = 59.2 บาท – ชาร์จไฟ 8 ชม คิดค่าไฟฟ้า = 7.4 x 4 x 8 = 236.8 บาท สรุป ถ้าเราชาร์จแบตเตอรี่เต็มใช้เงินประมาณ 236.8 บาท ขับรถยนต์ได้ 350 กิโลเมตร หรือตก 1.4 บาท/กิโลเมตร เมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง อยู่ที่ประมาณ 3-5 บาท/กิโลเมตร เรียกได้ว่าประหยัดค่าใช้จ่ายได้หลายเท่าตัวเลย เป็นอย่างไรกันบ้างคะสำหรับข้อมูลที่เรานำมาเสนอกับข้อมูลความรู้ที่เรานำมาเสนอ หากใครที่กำลังตัดสินซื้อรถยนต์ไฟฟ้า Ev เรื่องการชาร์จไฟเป็นประเด็นที่สำคัญมาก หวังว่าความรู้นี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะคะ
ถ้าหากนึกถึงร้านล้างรถอัตโนมัติแบรนด์ที่มีชื่อเสียงแบรนด์หนึ่งก็คงจะหนีไม่พ้น QuickWash (ควิกวอช) ร้านล้างรถอัตโนมัติ ล้างรถเร็วใน 7 นาที ราคาเริ่มต้น 89 บาท โดยในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับที่มาของแบรนด์ร้านล้างรถอัตโนมัติให้มากขึ้นกันค่ะ QuickWash (ควิกวอช) ร้านล้างรถอัตโนมัติ ล้างรถเร็วใน 7 นาที ราคาเริ่มต้น 89 บาท มีจุดเริ่มต้นในปี 2017 จากการที่เราเริ่มตั้งคำถามง่ายๆ ว่า “ทำไมการล้างรถมันถึงเป็นเรื่องยุ่งยากเหลือเกิน? ได้รับบริการไม่ค่อยมีมาตรฐาน ล้างสะอาดบ้างไม่สะอาดบ้าง แล้วก็ต้องรอนาน สุดท้ายกลับให้ความรู้สึกไม่คุ้มเลย” เราได้เล็งเห็นถึงปัญหานี้และอยากมีส่วนร่วมแก้ไข เราจึงได้พัฒนา Quick Wash ร้านล้างรถอัตโนมัติขึ้นมาเพื่อคนไทย โดยทำให้ “การล้างรถต้องไม่ใช่เรื่องยากและคุ้มค่าคุ้มราคาที่สุด” เครื่องล้างรถอัตโนมัติของเราเป็นเครื่องล้างที่นำเข้ามาจาก… มีเทคโนโลยีรับรู้ลักษณะยานพาหนะและปรับระยะให้เข้ากับรถได้อย่างดีเยี่ยม โดยเราใช้น้ำยาล้างรถนำเข้าจากยุโรปมีจุดเด่นในเรื่องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของการประหยัดน้ำและพลังงาน ทำให้มั่นใจว่าได้ว่าจะได้รับบริการที่มีคุณภาพและมาตรฐาน นอกจากนี้ขนแปรงล้างรถผลิตจากวัสดุโฟม ฟูนุ่ม น้ำหนักเบา ไม่อมน้ำ เคลือบด้วยน้ำยาพิเศษ จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดร่องรอยต่างๆ หรือไม่เป็นอันตรายต่อสีรถแน่นอน วิสัยทัศน์/vision “We will be No.#1 Quick Car Wash in customer heart” “เราจะเป็นร้านล้างรถสะดวกล้าง อันดับ 1 ในใจลูกค้า” เป้าหมาย/ Mission QuickWash จะเป็นร้านล้างรถสะดวกล้าง อันดับ 1 ในใจคนไทย ที่มีเครือข่ายครอบคลุม เพื่อให้บริการลูกค้าและสร้างคุณค่าให้คนไทยมากที่สุด Purpose “Make change for car wash industry in which Speed/Value of Time & Money/Standard for Thai Consumer” “ร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลง การล้างรถ เร็ว คุ้ม ดีเพื่อคนไทย” ทำไมต้องเลือก QuickWash เกิดมาเพื่อ? “ร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลง การล้างรถ เร็ว คุ้ม ดีเพื่อคนไทย” เหมือนชื่อเรา “QuickWash” เรามุ่งเน้นไปที่ความ “สะดวกรวดเร็ว” เพื่อที่เราจะได้ช่วยทุกคนประหยัดทั้งเงินในกระเป๋าและประหยัดเวลาที่มีค่ายิ่งกว่าทอง ของทั้งลูกค้าผู้ใช้รถที่มาใช้บริการและคู่ค้าผู้ให้บริการ ทำไมต้องล้างรถ QuickWash? ประหยัดเวลา ลูกค้าก็ใช้บริการได้ในเวลาเพียง 7 นาที ประหยัดเงิน เพราะราคาเริ่มต้นเพียง 89 บาทเท่านั้น 3.บริการสะดวกสบาย สามาร้างรถแบบ Drive Thru เป็นการล้างรถโดยที่ไม่จำเป็นต้องลงจากรถเลย 4.ปลอดภัย เครื่องล้างและน้ำยาล้างรถนำเข้าจากยุโรป ได้มาตรฐาน ไม่เป็นอันตรายกับรถแน่นอน Values “4ส. วัฒนธรรม สปีด สมาย สหาย สะอาด” Slogan “เร็วกว่าที่คิด เป็นมิตรกว่าที่เคย” Hashtag #Quickwash #ล้างรถอัตโนมัติ #ล้างรถด่วน #ล้างรถDrivethru #เร็วกว่าที่คิดเป็นมิตรกว่าที่เคย รูปแบบการลงทุน มีกี่แบบ แต่ละแบบราคาเท่าไหร่ Quickwash ได้เปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจมาร่วมลงทุนธุรกิจ Franchise โดยมีโมเดลให้เลือก 2 รูปแบบ Franchise system ลงทุน 2.5 ล้านบาท Franchise Business ลงทุน 1.8 ล้านบาท QuickWash มีกี่สาขา ในตอนนี้ควิกวอชมีร้านล้างรถอัตโนมัตให้บริการครอบคลุมกรุงเทพฯ และปริมณฑล ถึง 11 สาขา และกำลังขยายสาขาเพิ่มมากขึ้นในอนาคต Quickwash ทั้ง 11 สาขาได้แก่ Quick Wash วิภาวดี 36 Quick Wash ESSO บางพูด Quick Wash ESSO หนองแขม Quick Wash PTT บางบอน Quick Wash ESSO กาญจนา Quick Wash ESSO ประชาอุทิศ Quick Wash ESSO อ่อนนุช Quick Wash ESSO ปิ่นเกล้า Quick Wash ESSO ราชพฤกษ์ Quick Wash Caltex กิ่งแก้ว Quick Wash PTT ร่มเกล้า Quick Wash ร้านล้างรถอัตโนมัตที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า เป็นร้านล้างรถสมัยใหม่ที่ทั้ง สะดวก สะอาดสบาย รวดเร็วและราคาประหยัด แถมเครื่องล้างและน้ำยายังได้รับมาตรฐาน มั่นใจได้ว่าปลอดภัยกับตัวของท่านแน่นอน ซึ่งหากใครที่ยังไม่เคยไปใช้บริการสามารถไปเปิดประสบการณ์ล้างรถอัติโนมัติครั้งแรกที่ควิกวอชทั้ง 11 สาขากันนะคะ
ในปัจจุบัน แอปพลิเคชัน Food Delivery เป็นอีกหนึ่งแอปที่ต้องมีติดเครื่องโทรศัพท์ของทุกคน เพราะทั้งสะดวก สบาย รวดเร็วในการสั่งอาหาร ทำให้เราได้เลือกทานอาหารได้หลากหลายมากขึ้น โดยที่ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปไกล เพียงแค่คุณกดสั่งและชำระค่าบริการ ก็สามารถรอรับอาหารี่บ้านกันได้เลย สะดวกสบายแบบนี้จำเป็นต้องมีแล้ว วันนี้เราเลยได้ทำการรวบรวม “แอปพลิเคชั่น Food Delivery ที่ต้องมีติดเครื่อง” มาให้ทุกคนอ่านกันค่ะ 1.Grab เป็นแอปพลิเคชันแรกๆ เลยถ้าหากนึกถึง Food delivery เพราะ Grab เป็นแอปพลิเคชันที่มีบริการหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น การเดินทาง Grab Taxi, Grab Car, Just Grab, Grab Bike การขนส่ง Grab Express ไปจนถึงบริการด้านอาหาร Grab Food และเนื่องด้วยเป็นแอฟพลิเคชั่นแรกๆ ที่คนทั่วไปนึกถึงจึงมีร้านอาหารมากมายให้เลือกซื้อ รวมทั้งแกร็บเองก็ยังจัดโปรโมชันสุดคุ้มมาเอาใจลูกค้าอยู่เสมอๆ อีกทั้งยังสามารถจ่ายเงินได้หลายช่องทางทั้ง จ่ายสด การตัดบัตรเดบิต/เครดิต ฯลฯ จึงเป็นแอปพลิเคชันที่จะต้องมีในโทรศัพท์ของทุกคนกันเลย 2.Food panda แอปพลิเคชันโลโก้สีชมพูสดใสที่ใครๆ ก็นึกถึง มีจุดเด่นในเรื่องของการทำโปรโมชัน ส่วนลด และราคาส่งที่ถูกเริ่มต้นที่ 9 บาทจึงทำให้ Food panda เป็นอีกหนึ่งเจ้า Food delivery ในไทยที่ได้รับความนิยมและถือเป็นแอพสำหรับสั่งอาหารที่น่าใช้งานพอสมควรเลยทีเดียว 3.LINE MAN เป็นแอปพลิเคชันที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน เพราะมีบริการส่งฟรีในระยะใกล้ หากมีระยะทางเกิน 3 กิโลเมตรจากร้านอาหาร ค่าส่งอาหารจะเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 10 บาท นอกจากนี้ในแอพยังมีมีร้านอาหารให้เลือกเยอะแยะมากมาย หลากหลายประเภท การจ่ายเงินก็สามารถทำได้หลากลหายช่องทาง และมีคูปองส่วนลดค่าอาหารออกมาให้ผู้ใช้ได้นำไปใช้อยู่เรื่อย ๆ ด้วย และที่สำคัญ ขั้นตอนการสมัครเข้าใช้งานก็ง่ายมาก เพียงแค่เรามีบัญชี LINE ก็สามารถซิงค์ข้อมูลเพื่อเข้าใช้ LINE MAN ได้แล้ว 4.7-Eleven ร้านค้าแฟรนไชส์มินิมาร์ทชื่อดังที่มีบริการครอบคลุมอยู่ทุกพื้นที่ ได้หันมาเสริมบริการแบบ Delivery ซึ่งการที่บริการเสริมนี้ขึ้นมาก็เป็นการที่ทำให้คนเข้าถึง 7-Eleven สามารถสั่งได้ทั้งอาหาร ของใช้ น้ำดื่ม หรือสินค้าต่างๆ ที่มีอยู่ใน 7-Eleven เป็นราคาที่วางขายจริง ๆ ไม่มีการบวกเพิ่ม และที่สำคัญหากสั่งครบ 100 บาท ก็จะมีบริการส่งฟรีให้อีกด้วย สามารถใช้งานโปรโมชัน ส่วนลด สะสมแต้มได้เหมือนกับบริการหน้าร้านกันเลยทีเดียว 5.Robinhood แอปพลิเคชันสำหรับสั่งอาหารจากเครือธนาคารไทยพาณิชย์หรือ SCB ที่เพิ่งเปิดตัวไปในช่วงที่ผ่านมาไม่นาน ถือว่าเป็นแอพพลิเคชันน้องใหม่ ที่ได้รับกระแสตอบรับจากผู้ใช้บริการเป็นอย่างดี ในตอนแรกมีค่าส่งเริ่มต้นเพียง 10 บาทเท่านั้นและร้านค้านั้น สามารถเข้าร่วมกับแอพนี้ได้โดยไม่มีค่าบริการ โดยการชำระเงินก็สามารถชำระได้ง่ายๆ ยิ่งหากใช้บัญชีธนาคาร SCB ก็จ่ายเงินที่สะดวก รวดเร็ว ได้รับเงินทันที 6.LalaMove นั้นขึ้นชื่อเรื่องของการขนส่งพัสดุ หรือการขนย้ายของ แต่กระนั้นเองทาง LalaMove ก็มีบริการขนส่งอาหารด้วย โดยทาง LalaMove จะมีบริการขนส่งพัสดุด่วน ภายใน 1 ชั่วโมง ด้วยรถจักรยานยนต์ และจะมีพนักงานบริการอยู่แทบจะตลอด (ช่วงที่ไม่มี COVID-19 นั้นมีบริการ 24 ชั่วโมงด้วย) ในส่วนนี้เองเราสามารถเรียกใช้บริการเป็นการส่งอาหารได้ ทั้งร้านอาหารที่มีอยู่ในแอพสั่งอาหารออนไลน์ และร้านที่ไม่มีชื่ออยู่ในแอพสั่งอาหารออนไลน์ การขนส่งนั้นสามารถทำได้ง่าย ๆ ผ่านแอพเลย แถมเรายังติดตามพิกัดของผู้ส่งได้ด้วยว่าในขณะนี้อยู่บริเวณไหนแล้ว 7.1112 Delivery แอพสั่งอาหารอย่าง 1112 Delivery นั้น ก็ไม่ได้มีบริการเพียงแค่ พิซซ่า อย่างที่ใครหลายคนเข้าใจ แต่ยังมีบริการจากร้านชื่อดังอื่น ได้แก่ Swensen’s, Sizzler, Dairy Queen, Burger King และ The Coffee Club, S&P และ Bonchon ด้วย สำหรับใครที่ชอบทานอาหารจากร้านค้าเหล้านี้ ไม่ควรพลาดเลยทีเดียว และด้วยเป็นการบริการจากทางบริษัทที่รวมร้านอาหารระดับไมเนอร์เหล่านี้ไว้ด้วยกัน ทำให้ผู้ใช้งานมั่นใจได้ในระดับหนึ่งเลยว่า อาหารส่งถึงมืออย่างดีแน่นอน แถมยังประหยัดค่าจัดส่ง และมีโปรโมชันส่วนลดต่าง ๆ มาให้ได้ใช้งานกันอยู่บ่อย ๆ ด้วย 8.Shopee Food แอปพลิเคชั่นช็อปปิ้งออนไลน์ชื่อดัง ที่ได้หันมาทำบริการ Food Delivery โดยทาง Shopee มีจุดเด่นในเรื่องของการใส่โค้ดส่วนลด โดยที่มีโค้ดส่วนลดแจกกันทุกอาทิตย์ อีกทั้งยังมีร้านอาหารที่มาเข้าร่วมแคมเปญส่วนลดมากมาย ยิ่งใส่โค้ดลดก็ยิ่งถูกเข้าไปอีก การจ่ายเงินก็สามารถเลือกใช้จ่ายได้หลายช่องทาง เป็นอีกหนึ่งแอปพลิเคชันที่ควรมีติดเครื่องมาก เช่นเดียวกัน
กระแสรถรถไฟฟ้า หรือ EV (Electric Vehicle) แรงดีไม่มีตก สำหรับใครที่กำลังตัดสินใจที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้านี้แล้ว ก็มักจะมีคำถามยอดฮิตตามมา ว่าสถานีชาร์จรถ EV นั้นตอนนี้มีครอบคลุมแล้วหรือยัง หรือว่ามีมากน้อยเพียงใดหากต้องการเดินทางออกไปต่างจังหวัดจะยังพบกับจุดชาร์จอยู่หรือไม่ วันนี้เราจึงรวบรวมสถานีชาร์จรถ EV ในประเทศไทยมีที่ไหนกันบ้าง เพื่อไว้สำหรับคนที่ต้องการวางแผนการเดินทางไกลจะได้หมดกังวลเรื่องแบตเตอรี่หมดกลางทาง หรือหาสถานีชาร์จไม่ได้ MEA EV การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้านครหลวงมีแอปพลิเคชั่น MEA EV Application สามารถใช้ค้นหาสถานีชาร์จรถแบบเรียลไทม์ ได้ทั้งของการไฟฟ้านครหลวง (MEA), บริษัท EA Anywhere (EA) และ สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) พร้อมแสดงเส้นทางไปยังสถานีชาร์จด้วยแผนที่ GIS ร่วมกับการนำทางของ Google Application รวมถึงสามารถจองสถานีชาร์จ หรือหัวชาร์จได้ด้วยแบบเรียลไทม์ (เฉพาะสถานีที่ลงทะเบียนกับการไฟฟ้านครหลวงเท่านั้น) มีด้วยกันทั้งหมด 11 ที่ ได้แก่ กฟน. สำนักงานใหญ่ เพลินจิต กฟน. เขตวัดเลียบ กฟน. เขตสามเสน กฟน. เขตบางเขน กฟน. เขตบางขุนเทียน กฟน. เขตลาดกระบัง กฟน. เขตบางใหญ่ กฟน. เขตสมุทรปราการ กฟน. เขตราษฎร์บูรณะ กฟน. เขตธนบุรี กฟน. ที่ทำการบางพูด การไฟฟ้านครหลวง ได้ร่วมมือกับบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เพิ่มจุดติดตั้ง MEA EV Charging Station บริเวณร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ 7-Eleven สาขา บ้านสวนลาซาล (ศรีนครินทร์) และ 7-Eleven สาขา สน.บางขุนนนท์ และส่งมอบเครื่องอัดประจุไฟฟ้า MEA EV Charger ในโครงการศึกษาวิจัย MEA EV Smart Charging System พร้อมใช้งานได้แล้ววันนี้ ได้แก่ MBK EV Charging Station จำนวน 3 เครื่อง บริเวณลานจอดรถ ชั้น 2 โซน C ช่อง 23-24 เวลา 10.00 – 21.00 น. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน 5 เครื่อง อาคารจามจุรี 5 เวลา 6.00 – 19.00 น. (ในช่วงทดลอง ขอสงวนสิทธิ์เฉพาะบุคลากรของจุฬาฯ) CP Tower 1 CPLAND จำนวน 1 เครื่อง อาคาร ซี.พี.ทาวเวอร์ 1 (สีลม) บริเวณลานจอดรถชั้น 8 เวลา 8.30 – 17.30 น. ด้านหลังห้างสรรพสินค้า Siam Square One (ร่วมกับ Great Wall Motors) สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ ฝ่ายธุรกิจบริการและคุณภาพไฟฟ้า โทร. 0 2476 5666-7 ระหว่างเวลา 07.30-15.30 น. ในวันเวลาทำการ หรือ MEA Call Center 1130 Facebook : การไฟฟ้านครหลวง MEA Line : MEA Connect Twitter: @mea_news และศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ไฟฟ้าการไฟฟ้านครหลวง MEA Call Center 1130 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง สถานีอัดประจุไฟฟ้า EV Station ปตท. (PTT) บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR หรือปั๊มน้ำมันที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะเจอกับสถานีบริการมากที่สุด ได้ปรับแผนธุรกิจให้มีการเพิ่มจุดให้บริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV (PTT EV Charging Station) เพิ่มมากขึ้น ด้วยกำลังไฟ 50 กิโลวัตต์/เครื่อง ด้วยหัวชาร์จ DC รูปแบบ CCS Combo 2 และ CHAdeMO และหัวชาร์จ AC รูปแบบ Type 2 โดยสามารถชาร์จได้พร้อมกัน 2 หัวจ่าย ระหว่าง DC และ AC อีกทั้ง ยังมี EV Station ในรูปแบบ Normal Charge ที่เปิดให้บริการแล้ว 25 สถานี ทาง PTT หรือ ปตท. มีจุดชาร์จไฟแบบ Quick Charge 5 แห่ง ดังนี้ PTT Station สาขาพหลโยธิน กม. 25 กรุงเทพฯ PTT Station สาขาวงแหวนกาญจนาภิเษก-ตลิ่งชัน กรุงเทพฯ PTT Station สาขาพัฒนาการ ขาออก กรุงเทพฯ PTT Station สาขาหนองแขม กรุงเทพฯ PTT Station สาขาแยกหาดจอมเทียน พัทยา จุดชาร์จไฟแบบธรรมดา 25 แห่ง ทั่วประเทศ ดังนี้ กรุงเทพมหานคร สาขาแยกประชาอุทิศ-ลาดพร้าว กรุงเทพฯ สาขาทุ่งครุ สาขาพระราม 2 (ขาออก) สาขาบรมราชชนนี (ขาเข้า) สาขาราชพฤกษ์ 1 สาขาเอกมัย-รามอินทรา สาขาลาดพร้าว-วังหิน สาขานวลจันทร์ สาขามัยลาภ สาขาราษฎร์บูรณะ (ขาออก) นนทบุรี สาขาประชาชื่น 2 ปทุมธานี สาขาวงแหวนตะวันตก (ขาเข้า) สาขาคลองหลวง กม.6 สาขาแยกสันติสุข สมุทรสาคร สาขาพระราม 2 (ขาเข้า) นครปฐม สาขาพุทธมณฑล สาย 4 สาขาพุทธมณฑล สาย 5 พระนครศรีอยุธยา สาขาวังน้อย สาขาบางปะอิน สระบุรี สาขาสระบุรี ระยอง สาขาโรงแยกก๊าซระยอง สาขาตำบลมาบข่า ขอนแก่น สาขาเมืองขอนแก่น เชียงใหม่ สาขาสารภี สงขลา สาขาหาดใหญ่ใน (ขาออก) สถานีอัดประจุไฟฟ้า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) เปิดให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้า PEA VOLTA จำนวน 11 สถานี ดังนี้ สายภาคเหนือ (กรุงเทพฯ – พระนครศรีอยุธยา) จำนวน 2 สถานี สายภาคใต้ (กรุงเทพฯ – หัวหิน) จำนวน 4 สถานี สายภาคตะวันออก (กรุงเทพฯ – พัทยา) จำนวน 3 สถานี สายภาคตะวันตก (กรุงเทพฯ – นครปฐม) จำนวน 1 สถานี สำนักงานใหญ่ กฟภ. จำนวน 1 สถานี และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ยังร่วมกับ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ติดตั้งจุดบริการชาร์จแบตเตอรี่รถไฟฟ้า (EV Charger Station) ให้บริการในสถานีบริการน้ำมันบางจากมากที่สุดในไทย ซึ่งจะเปิดให้บริการบนเส้นทางสายหลัก 56 สาขา ต่อเนื่องทุกระยะ 100 กิโลเมตรรองรับการเดินทางขาเข้า-ออกเมือง เครื่องอัดประจุไฟฟ้าเป็นแบบ Multi-Standard (CHAdeMO (ย่อมาจาก CHArge de Move แปลได้ว่า ชาร์จไฟแล้วขับต่อไป), CCS COMBO2, AC TYPE2) ตามมาตรฐานนานาชาติ รองรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ติดตั้งหัวจ่ายกระแสไฟฟ้าตามมาตรฐานยุโรปและญี่ปุ่น การอัดประจุไฟฟ้าอย่างรวดเร็ว (QUICK CHARGE) ใช้เวลาประมาณ 20 นาที อัตราค่าบริการอัดประจุไฟฟ้าในการใช้เครื่องอัดประจุไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charger) ในช่วง Peak ค่าบริการ 7.5798 บาท/หน่วย ในช่วง Off-Peak ค่าบริการ 4.1972 บาท/หน่วย อัตราค่าบริการอัดประจุไฟฟ้าในการใช้เครื่องอัดประจุไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Charger) ในช่วง Peak ค่าบริการ 7.5798 บาท/หน่วยในช่วง Off-Peak ค่าบริการ 4.1972 บาท/หน่วย ปัจจุบัน PEA VOLTA สามารถเชื่อมโยงกับแอปพลิเคชันผ่านสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานได้ค้นหาตำแหน่งสถานีและนำทางไปยังสถานี ตรวจสอบสถานะสถานีอัดประจุ พร้อมชำระค่าบริการอัดประจุไฟฟ้าผ่านระบบการเติมเงินได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย และรวดเร็ว เพราะเป็นหัวจ่ายแบบชาร์จเร็ว โดย 1 สถานีมี 5 หัวจ่าย ซึ่งผู้ใช้งานสามารถใช้บริการได้ 24 ชั่วโมง สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นฟรีได้ที่ iOS : https://apps.apple.com/th/app/pea-volta/id1503297093?l=th Android : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.pea.peavolta สถานีอัดประจุไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (EGAT) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เริ่มต้นจัดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า ตั้งแต่ปี 2560 และในปี 2564 จึงเริ่มจัดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า “EleX by EGAT” ชาร์จไฟได้รวดเร็ว ปลอดภัย มั่นใจ เพื่อรองรับทุกการเดินทางของผู้ใช้ยานยนต์ทั่วประเทศโดยปัจจุบันติดตั้งไปแล้ว 50 สถานี 25 จังหวัด เช็กสถานีบริการได้ที่นี่ โดย กฟฝ. มีการร่วมมือกันระหว่างบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือผู้ให้บริการปั้มน้ำมัน PT เปิดตัวจุดสถานีชาร์จแห่งแรกชื่อ EleX by EGAT และขยายพื้นที่ครอบคลุมพื้นที่ในประเทศไทย สถานีอัดประจุไฟฟ้า EA Anywhere หรือ บ.พลังงานบริสุทธิ์ EA Anywhere เป็นบริษัทเอกชนที่เข้าร่วมกับบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น คาลเท็กซ์, ซีพี ออลล์, บริดจสโตน เอ.ซี.ที และ โรบินสัน ร่วมกันจัดตั้งสถานีชาร์จทั่วประเทศไทย โดยปัจจุบันมีมากกว่า 400 แห่งทั่วประเทศ สามารถตรวจสอบจุดการให้บริการได้ที่ EA Anywhere
การเลือกที่อยู่อาศัยเป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะในเมืองมีพื้นที่จำกัด และมีประชากรอยู่เป็นจำนวนมาก หากตัดสินใจซื้อไปแล้ว เราเองจะต้องอยู่กับสิ่งที่เราเลือกซื้อนี้ไปตลอด และเนื่องจากที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ที่สำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ที่อยู่อาศัยจึงเป็นสินค้าที่มีความต้องการอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นวันนี้เราจึงมานำเสนอปัจจัยที่ทำให้เราตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในเมืองมาบอกทุกคนกันค่ะ 1.ทำเล ปัจจัยที่คนให้คนเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์เป็นอันดับแรกเลย นั่นก็คือ “ทำเล” โดยคิดเป็นร้อยละ 25.9 ทั้งนี้ทำเลที่ตั้งของโครงการนอกจากจะหมายถึง ใกล้สถานที่ทำงาน โรงเรียน และสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่างๆ แล้ว ยังหมายรวมถึงปัจจัยการเดินทางด้วย ปัจจุบันอสังหาริมทรัพย์มีตัวเลือกมากขึ้น มีโครงการน้อยใหญ่แข่งกันขึ้นเต็มไปหมด ในเมืองมีความหนาแน่นของที่อยู่อาศัยมากขึ้น ส่วนพื้นที่ชานเมืองก็มีการขยายตัวของโครงการอสังหาริมทรัพย์ มีตัวเลือกให้คนตัดสินใจซื้อทั้งบ้านและคอนโดมิเนียมซึ่งส่วนใหญ่มักเกาะกลุ่มกันอยู่ตามแนวรถไฟฟ้าหรือทำเลใกล้สถานที่สำคัญ เดินทางสะดวก การเลือกทำเลที่ดีหรือไม่ดีก็มักจะพ่วงไปกับปัจจัยด้านอื่นๆ เช่น ราคา การเดินทาง โดยส่วนใหญ่มักจะมีการเลือกให้เหมาะหรือตอบโจทย์กับวิถีชีวิต มากกว่าจะเลือกทำเลที่อยู่ในเมืองที่มีราคาสูงมาก ซึ่งการเลือกโดยปัจจัยนี้มักจะอ้างอิงจากทำเลและราคาเป็นหลักด้วย จึงมักจะเห็นโครงการโครงการบ้านหรือคอนโดใหม่ๆ ที่ขึ้นตามแนวรถไฟฟ้า หรือใกล้ทางด่วนเพิ่มมากขึ้น 2.ศักยภาพทำเลในอนาคต ปัจจัยนี้ในอดีตมักเป็นปัจจัยหลักในการเลือกที่อยู่อาศัย ซึ่งคนส่วนใหญ่มักมองว่าปัจจัยนี้เป็นปัจจัยที่คุ้มค่ากับการลงทุน เพราะทำเลที่ตั้งมีโอกาศที่จะสามารถพัฒนาสูง พอทำเลได้รับการพัฒนาสูงก็จะมาพร้อมกับความเจริญ ความสะดวกสบายและมูลค่าทำเลก็มีโอกาสสูงขึ้นด้วย ซึ่งทั้งนี้หากเลือกทำเลที่ตอบโจทย์ความเจริญในอนาคตได้ก็ถือเป็นอัตราผลตอบแทนที่ผู้อยู่อาศัยจะได้รับ หากมองในมุมนักลงทุนก็จะตรงกับข้อความที่ว่า ทำเลที่ดีย่อมทำให้เราเป็นต่อในการทำกำไรมากขึ้น 3.ความปลอดภัยบนพื้นที่ ปัจจัยที่รองลงมานั่นก็คือ ความปลอดภัยของพื้นที่รวมถึงระบบสาธารณูปโภค ต่อให้เป็นปัจจัยที่รองลงมาแต่ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก สภาพแวดล้อมรอบๆ ที่อยู่อาศัยควรมีความปลอดภัย ในหลายพื้นที่หรือทำเลที่มีราคาถูกก็มักจะแลกมาด้วยความไม่ปลอดภัยในการใช้ชีวิต ดังนั้นเราควรต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่าถี่ถ้วน เลือกให้ดี ตัดสินใจให้รอบคอบ อย่าเพียงแต่นึกถึงแต่ราคาที่ถูก ควรให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของตัวเองหรือของครอบครัวเป็นหลักด้วย 4.ราคาที่อยู่อาศัย จากผลการสำรวจปัจจัยราคาที่อยู่อาศัยคิดเป็นร้อยละ 22.5 หลายคนอาจมองว่าราคาเป็นปัจจัยแรกที่เรานึกถึงหากต้องการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย แต่ก็มีอีกหลายคนที่มองว่าการที่เสียเงินเป็นจำนวนมาก ได้ที่พักอาศัยมีราคาสูงก็แลกมาด้วยความคุ้มค่าของเงินที่เสียไป เช่น ความสะดวกสบาย ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของแต่ละคน เหตุนี้จึงทำให้ปัจจัยด้านราคาจึงเป็นปัจจัยที่ถูกลดหลั่นลงมาจากการเลือกทำเลและความปลอดภัย ทั้งนี้ราคาของที่อยู่อาศัยนั้น ผู้ซื้อจำเป็นต้องเลือกในระดับราคาที่สอดคล้องกับความสามารถหรือกำลังซื้อของตน ซึ่งในปัจจุบันราคาที่คนให้ความสนใจมาก จะอยู่ในช่วงราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท 5.การเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ขาดไม่ได้นั่นก็คือปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง ระบบขนส่งสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นระบบขนส่งมวลชน แท็กซี่ วินมอเตอร์ไซค์ ถนนหนทาง ตลอดจนทางด่วน ทางพิเศษต่างๆ เนื่องจากจะต้องดำเนินชีวิตด้วยการออกไปทำงาน หลายๆ คนจึงมักเลือกที่อยู่อาศัยที่ทำให้ตัวเองเดินทางได้สะดวกที่สุด เช่น ซื้อคอนโดติดกับรถไฟฟ้า, ซื้อบ้านที่ไกลออกไปแต่ติดทางด่วน เป็นต้น ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องเลือกที่อยู่ด้วยการอยู่ใกล้กับระบบขนส่งสาธารณะ เพียงแต่ควรเลือกที่อยู่ที่ไม่ได้ไม่ทำให้ตัวเองเดินทางอย่างยากลำบากก็พอ 6.ดีไซน์ที่อยู่อาศัย ปัจจัยนี้ก็เป็นสิ่งที่คนให้ความสำคัญไม่มากก็น้อย ไม่น่าเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่อาศัยเพราะดีไซน์การออกแบบต่างๆ เพราะปัจจุบันการเลือกที่อยู่อาศัยในเมืองการออกแบบดีไซน์ สี พื้นที่ใช้สอยให้คุ้มค่านั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อผู้อาศัยเป็นอย่างมาก เพราะที่อยู่อาศัยอาจะเป็นตัวบ่งบอกภาพลักษณ์ ทัศนะคติ ของผู้อาศัยได้ ถ้าเราเลือกผิดก็ส่งผลเสียก่อทำให้เกิดความรำคาญ เดือดเนื้อร้อนใจ หรืออยู่ไม่สบายได้เพราะฉนั้นดีไซน์จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนเลือกซื้อหรือไม่เลือกซื้อได้เลย 7.พื้นที่ใช้สอยของที่อยู่อาศัย การเลือกที่อยู่อาศัยภายในเมือง พื้นที่ใช้สอยจึงเป็นสิ่งสำศัญเพราะฉนั้นหากจะเลือกซื้อสิ่งที่จำเป็นต้องพิจารณาถึงสิ่งนี้โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคที่กำลังวางแผนอนาคตครอบครัวหรือคิดจะมีลูก จำเป็นอย่างยิ่งที่ควรเลือกที่อยู่อาศัยให้สามารถรองรับการอยู่อาศัยของลูกหลานในอนาคตได้ หรือแม้กระทั่งครอบครัวที่มีสัตว์เลี้ยงการที่มีพื้นที่ใช้สอยให้กับสัตว์เลี้ยงก็ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ถึงแม้ในปัจจุบันหลายครอบครัวจะเลือกทำเลที่สะดวกต่อการใช้ชีวิตมากกว่าพื้นที่ใช้สอย แต่ยังไงก็แล้วแต่พื้นที่ใช้สอยก็ยังสำคัญสำหรับการเลือก 8.ความสามารถทางการเงินในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ความสามารถทางการเงินหลายคนคิดว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญมากอันดับต้นๆ ในการเลือกที่อยู่อาศัย แต่ในปัจจุบันนี้มีช่องทางการเลือกที่อยู่อาศัยมากมายทั้งจากการอ่านโฆษณา การอ่านรีวิว ทำให้สามารถเลือกที่อยู่อาศัยในราคาที่ตรงกับงบประมาณบนทำเลที่ถูกใจได้ง่ายมากขึ้นก่อนจะเข้าไปชมโครงการ ความสามารถทางการเงินจึงเป็นปัจจัยท้ายๆ ที่คนดูกัน เพราะส่วนใหญ่ก็จะมีงบประมาณที่ตั้งไว้ในใจก่อนเลือกบ้านแล้ว หรือ หากไม่สามารถตั้งงบประมาณได้ก่อนตัดสินใจซื้อบ้านก็สามารถเข้ามาดู 9.สิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ สิ่งอำนวยความสะดวกเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้คนตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น เช่น โครงการใกล้สถานที่สำคัญต่างๆที่ถือเป็นศูนย์กลางของชุมชนนั้นๆ เช่น ศูนย์การค้า โรงเรียน อาคารสำนักงานเป็นต้น หรือไม่ว่าจะเป็นส่วนกลางเช่น สระว่ายน้ำ ฟิตเนส co working space ต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันเรามักจะเห็นส่วนกลางของคอนโดมิเนียมหรือกระทั่งคลับเฮ้าส์ในโครงการที่อยู่อาศัยถึงแม้จะมีคนมาใช้บริการค่อนข้างน้อย แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการมีสิ่งอำนวยความสะดวกก็มักทำให้คนตัดสินใจได้ง่ายมากยิ่งขึ้น 10.ใกล้ชิดรถไฟฟ้า เป็นปัจจัยยอดฮิตเลยก็ว่าได้สำหรับผู้ที่กำลังห่ที่พักอาศัยในเมืองกรุงฯ แบบนี้ หลายคนที่ไม่ได้มีรถยนต์ส่วนตัวเป็นของตัวทำให้ปัจจัยนี้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่สำหรับผู้ที่มีรถยนต์ส่วนตัวการอยู่ในคอนโดมิเนียมราคาประมาณ 1-3 ล้านบาทก็ยังถูกมองว่าไม่คุ้มค่าเพราะต้องแลกมากับพื้นที่ใช้สอยที่น้อยมากทำให้หลายคนตัดสินใจไปเลือกที่อยู่อาศัยบริเวณชานเมืองก้มักมีรถยนต์ส่วนตัวใช้ และมักจะเลือกที่อยู่อาศัยให้ใกล้กับทางด่วนหรือบริการขนส่งมวลชนอื่นๆ มากกว่า โดยถึงแม้จะไม่ได้ใกล้ชิดกับรถไฟฟ้าก็ยังมีตัวเลือกในการเดินทางเชื่อมต่อไปสู่รถไฟฟ้าหรือสถานที่สำคัญอื่นๆ ได้ ปัจจัยเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ควรคำนึงถึงหากจะซื้อที่อยู่อาศัยในเมืองกรุงฯ แบบนี้ซึ่งปัจจัยที่กล่าวมานี้จะเป็นตัวช่วยให้กับคนที่กำลังจะตัดสินใจซื้อบ้านสามารถเรียงอันดับความสำคัญและตัดสินใจซื้อได้อย่างถูกใจ ตรงกับราคาและสิ่งที่ผู้ซื้อต้องการมากที่สุด เพราะจะเป็นสิ่งที่เราอยู่ด้วยไปอีกนานแสนนาน