ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการดูแลรถสักคันนั้นยากเกินไปสำหรับมือใหม่ จะทำตามคู่มือไหนก็ลำบากไปหมด จนบางทีก็เผลอละเลยจุดเล็กจนกลายเป็นปัญหาใหญ่แบบไม่รู้ตัว วันนี้เราจึงมาแชร์เคล็ดลับง่ายๆ ที่ไม่ว่าหญิงหรือชายก็สามารถนำไปลองทำได้สบายๆ เป็นประจำทุกวัน บทที่ 1 เช็คลมยาง เริ่มจากเรื่องพื้นฐานง่ายๆ ที่ไม่ว่ามือใหม่หรือใครๆ ก็สามารถทำเองได้ นั่นก็คือการเช็คลมยางของรถยนต์นั่นเอง ซึ่งผู้ใช้รถส่วนใหญ่มักจะละเลย และส่งผลให้ลมยางนั้นจะอ่อนลงไปทุกวันเนื่องจากการใช้งาน นานวันเข้าก็จะทำให้ยางเสื่อมสรรถภาพไวกว่าปกติ ลมยางมาตรฐานของล้อรถยนต์จะระบุอยู่ข้างประตูคนขับ ซึ่งเราสามารถตรวจเช็คได้ด้วยตัวเองเลย ดังนั้นหากเราจะเริ่มดูแลรถก็ควรเริ่มจากการตรวจเช็คลมยางนี่แหละ ลองก้มดูด้านล่างสักนิด เพื่อตรวจเช็คลมยางสักหน่อยก่อนออกจากบ้าน อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพื่อความปลอดภัย พร้อมทั้งดูด้วยว่ายางรถยนต์ไม่มีสิ่งปกติทิ่มคาอยู่ มั่นใจได้เลยว่าหลังจากนี้คุณจะรู้สึกดีขึ้นทุกครั้งที่ขับขี่ ที่สำคัญ! การเติมลมยางที่เหมาะสมช่วยประหยัดน้ำมันด้วยนะ อย่าลืมไปลองทำกัน Tips : ลมยางสูงสุดที่เติมได้ไม่ควรเกินที่ระบุไว้บริเวณแก้มยางนะ บทที่ 2 เช็คที่ปัดน้ำฝน ที่ปัดน้ำฝนเป็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่อยู่นอกสายตาเสมอ เมื่อใช้รถไปสักระยะ ยางปัดน้ำฝนก็อาจเสื่อมสภาพไปไม่น้อย เนื่องจากมีสิ่งสกปรกอย่าง ฝุ่น ทราย หรือเศษหินขนาดเล็ก เกาะติดอยู่ระหว่างยางใบปัดกับกระจก หากเราต้องการดูแลรถให้มีสภาพใหม่และสวยงามเหมือนซื้อใหม่อยู่เสมอ ให้สังเกตเวลาใช้งานอยู่เสมอว่าที่ปัดน้ำฝนต้องไม่ทิ้งลอยคราบต่างๆ ไว้ หรือปัดแล้วมีเสียงดังกว่าปกติ ถ้าหากเกิดอาการดังกล่าวแสดงว่าถึงเวลาต้องรีบเปลี่ยน เป็นอีกหนึ่งวีธีดูแลรถง่ายๆ ที่สามารถทำเองได้ บทที่ 3 เช็คสัญญาณไฟเตือนที่หน้าปัด แผงหน้าปัดที่แสดงสัญญาณไฟเตือนด้านหน้าพวงมาลัย เป็นอีกหนึ่งจุดที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับผู้ใช้รถมือใหม่ หลายคนอาจจะไม่ค่อยได้สังเกตหรือใส่ใจ จะก้มลงมองก็เฉพาะตอนที่นึกสงสัยว่าตอนนี้น้ำมันเหลืออยู่แค่ไหน แต่เราอยากให้คุณคอยสังเกตอยู่เสมอว่า ในขณะขับขี่รถยนต์อยู่นั้นมีไฟสัญญาณเตือนอะไรผิดแปลกขึ้นมาหรือไม่ ถ้าหากมี เราแนะนำให้คุณควรหาเวลานำรถคู่ใจไปตรวจเช็คที่ศูนย์ทันที เพราะสัญญาณไฟนั้นเป็นสัญญาณเตือนที่ช่วยให้เรารู้ตัวก่อนที่ปัญหาจะลุกลามไปมากกว่าเก่า บทที่ 4 เช็คแบตเตอรี่ หลายคนอาจจะมองว่าแบตเบอรี่รถยนต์เป็นส่วนที่ไม่สามารถดูแลรักษาได้ด้วยตนเอง แต่ความจริงแล้วเราสามารถตรวจเช็คแบตเตอรี่เบื้องต้นเองได้ เพียงตรวจสอบสภาพตัวแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอว่ามีความเสียหายใดๆ หรือไม่ ลองสังเกตสีที่แตกต่างกันของช่องตาแมวแบตเตอรี่ ซึ่งแต่ละลูกจะมีสีที่บอกสถานะของแบตที่แตกต่างกัน โดยสามารถศึกษาคำอธิบายสีต่างๆ ได้จากสติ๊กเกอร์บนตัวแบตเตอรี่ นอกจากนี้ยังควรตรวจสอบระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่ ไม่ให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าที่ควรอยู่เสมอ โดยแบตเตอรี่แบบเติมน้ำกลั่นควรตรวจเช็คทุกๆ 1 เดือน แบบกึ่งแห้งควรตรวจเช็คทุกๆ 6-12 เดือน หากรู้สึกว่าที่กล่าวไปนั้นยากเกินไป มี วิธีตรวจเช็คที่ง่ายที่สุดคือ ลองสังเกตว่า หากรถสตาร์ทติดยาก และเป็นแบตเตอรี่ที่ใช้อายุนานเกิน 2 ปี สันนิษฐานได้เลยว่าแบตเตอรี่ใกล้หมดอายุแล้ว ควรเปลี่ยนทันที Tips : ระวังอย่าเติมน้ำกลั่นจนเต็มหรือล้นจนเกินไปเพราะน้ำกลั่นที่อยู่ในแบตเตอรี่จะล้นออกมากัดกร่อนตัวถังรถและชิ้นส่วนต่าง ๆ เสียหายได้ บทที่ 5 เช็คน้ำมันเครื่อง มาถึงข้อสุดท้าย อ่านหัวข้อแล้วอาจจะรู้สึกว่ายาก ไม่เห็นจะง่ายเลย ก็อย่าเพิ่งปิดหน้านี้ทิ้งไป ความจริงแล้ว เราสามารถตรวจเช็คน้ำมันเครื่องเบื้องต้นด้วยตัวเองได้ โดยต้องอุ่นเครื่องยนต์จนถึงอุณหภูมิทำงานก่อน จอดรถให้อยู่ในแนวระนาบไม่ลาดเอียง หลังจากนั้นดับรถ รอ 1-3 นาทีแล้วจึงเปิดฝากระโปรงรถยนต์ มองหาก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องและดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมา จากนั้นใช้ผ้าสะอาดเช็ดน้ำมันเครื่องที่ติดอยู่กับก้านออก แล้วเสียบก้านวัดน้ำมันเครื่องคืนกลับไปจุดเดิม และสุดท้ายท้ายด้วยดึงก้านวัดออกมาอีกครั้งหนึ่งเพื่อตรวจดูระดับน้ำมันเครื่องที่ปลายก้านวัด ถ้าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่าง F กับ L หรือ Max กับ Min แสดงว่า ระดับน้ำมันเครื่องปกติ ไม่มากจนเกินไปและไม่น้อยจนเกินไป ควรหมั่นตรวจเช็คเป็นประจำ 1-2 ครั้ง/สัปดาห์ หรืออย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่ามีปริมาณน้ำมันเพียงพอสำหรับหล่อลื่นให้กับเครื่องยนต์ทั้งระบบ และปลอดภัยในทุกการขับขี่ เห็นไหมว่า 5 วิธีดูแลรถเบื้องต้นที่ให้ไป ง่ายนิดเดียว เหมาะสำหรับมือใหม่ เป็นวิธีที่สามารถสังเกต และทำด้วยตัวเองได้เป็นประจำ โดยไม่ต้องง้อใคร แต่ถ้าคุณยังรู้สึกว่ายากเกินไปที่จะทำด้วยตัวเอง เราแนะนำว่า ให้พารถคู่ใจของคุณเข้ามาตรวจเช็คที่อู่ของเรา SCG Performance อู่ซ่อมรถมาตรฐาน บริการด้วยความตั้งใจ รับตรวจเช็คและซ่อมดูแลรถโดยช่างมากประสบการ์ณ ยืนยันว่าเซอร์วิสครบจบในที่เดียว Quick Wash x SCG Performance
ในปัจจุบันน้ำมันราคาขึ้นสูง ทำให้รถ Ev หรือรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และหนึ่งในแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในขณะนี้ก็คงจะหนีไม่พ้น TESLA (เทสล่า) บริษัทผลิตรถยนต์พลังงานงานไฟฟ้าที่มีผู้บริหารคนล่าสุดอย่าง “Elon Musk” เรามาอ่านจุดเริ่มต้นของบริษัทเทสล่ากันดีกว่าค่ะ ว่าจุดเริ่มต้นของบริษัทผลิตรถยนต์ชื่อดังนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากอะไร TESLA (เทสล่า) คือ บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานสะอาด 100% (Electric Vehicle) ที่นำเสนอจุดเด่นในเรื่องเทคโนโลยีที่ทันสมัยเช่น Autopilot (ระบบขับขี่อัตโนมัติ) และการสั่งการผ่าน Smartphone เป็นต้น นอกจากนี้ TESLA ยังถือว่าเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสะอาดเป็นมิตรกับโลก ด้วยการที่ไม่มีการปล่อยมลพิษขึ้นสู่อากาศเลย เนื่องจากไม่มีการใช้เครื่องยนต์น้ำมันเป็นส่วนประกอบแต่ใช้เป็นแบตเตอรี่ไฟฟ้าลิเทียมไอออนแทน บริษัท TESLA (เทสล่า) ตั้งอยู่ใน Palo Alto (แพโล แอลโต) รัฐแคลิฟอร์เนีย ถูกก่อตั้งขึ้นในปี เมื่อวันที่ 1 เดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 2003 โดยมีผู้เริ่มก่อตั้งเป็นวิศวกรชาวอเมริกันสองคน คือ มาร์ติน อีเบอร์ฮาร์ด (Martin Eberhard) และ มาร์ก ทาร์เพนนิง (Marc Tarpenning) ซึ่งมีเป้าหมายตรงกันว่า ต้องการผลิตรถยนตร์ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่เพราะน่าจะตอบโจทย์การใช้งานมากกว่ารถยนตร์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง จึงได้เริ่มต้นสร้างรถยนตร์ไฟฟ้าขึ้น ต่อมาได้มีผู้ร่วมอุดมการณ์เพิ่มมาอีกหนึ่งคน นั่นคือ Elon Musk ซึ่งรับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ CEO ในปัจจุบัน โดยในก่อนหน้านี้บริษัทใช้ชื่อว่า เทสล่า มอเตอร์ (Tesla Motors) โดยชื่อนี้ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ นิโคลา เทสลา (Nikola Tesla) ที่เป็นนักประดิษฐ์ นักฟิสิกส์ วิศวกรเครื่องกล และวิศวกรไฟฟ้า ชาวเซอร์เบีย เทสล่า ภายใต้การบริหารของอีลอน มัสก์ เริ่มต้นจากการสร้างรถสปอตไฟฟ้าวางจำหน่ายครั้งแรกในปี 2008 มีชื่อรุ่นว่า “Roadster” รถระดับไฮเอนด์คันแรกของเทสล่าซึ่งได้บรรจุแบตเตอรี่ขนาด 53 kWh วิ่งได้ระยะทางไกลสุดถึง 320 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง แต่เนื่องจากแบตเตอรี่ไฟฟ้าเป็นต้นทุนที่มีราคาแพงที่สุดในการผลิตรถ Ev เทสล่าจึงต้องเริ่มต้นจากการขายรถยนต์ราคาแพง ให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงก่อน จากจุดเริ่มต้นของรถเทสล่าคันแรกนั้นทำให้เป็นที่มาของรถเทสล่าในโมเดลต่อๆ มา ทั้ง Model S และ Model X ซึ่งในรุ่นต่อมาเทสล่าได้ใช้กลยุทธ์ที่ทำให้ต้นทุนแบตเตอรี่ต่ำลงคือ การผลิตในจำนวนมาก (Economies of scale) เทสล่าแก้ปัญหานี้โดยการสร้าง Gigafactory โรงผลิตแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่ 20 GWh มีปริมาณเทียบเท่ากำลังผลิตแบตเตอรี่ทั้งโลกรวมกัน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐเนวาดา นิวยอร์ก นอกจากทั้งสองแห่งนี้เทสล่ายังตั้ง Gigafactory อีกแห่งหนึ่งในจีน และกำลังขยายฐานกำลังผลิตไปยังเยอรมนีอีกด้วย เพราะเหตุผลนี้จึงทำให้ลดต้นทุนการผลิตของเทสล่าถูกลงไปมากอีก จนทำให้เกิด Tesla Model 3 รถยนต์ไฟฟ้าราคาย่อมเยาว์ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มคนได้มากขึ้น ด้วยราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 35,000 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.05 ล้านบาท ยอดจองในช่วงเปิดตัวปี 2017 ทำสถิติการขายรถยนต์ได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ด้วยยอดจอง 3.25 แสนออเดอร์ ด้วยนวัตกรรมแนวคิดสุดล้ำของเทสล่า ทำให้มูลค่าตลาดขของเทสล่าเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด และในปี 2019 บริษัทเทสล่า ยังมีมูลค่าตลาดเพิ่มเป็น 1.8 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 17 เท่าภายใน 7 ปี จนเทสล่ากลายเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในสหรัฐฯ แซงหน้าผู้นำบริษัทรถยนตร์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงทั้งหมด ด้วยปัจจัยในหลายด้านจึงทำให้เทสล่ากลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ยอดนิยมอันดับต้นๆ ของรถ Ev เลยก็ว่าได้จากแนวคิดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมใช้พลังงานสะอาด 100% มาพร้อมกับเทคโนโลยี ดีไซน์ สุดล้ำจึงทำให้เทสล่าเข้ามามีบทบาทในวงการยานยนต์เป็นอย่างมาก จะเรียกว่าสะเทือนวงการยานยนต์ก็คงไม่ผิดนัก ขอบคุณที่มา : positioningmag
รถ EV หรือรถยนต์ไฟฟ้า กำลังเป็นที่นิยม เพราะเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ดีสำหรับผู้ต้องการซื้อยานพาหนะ ด้วยพลังงานสะอาด ทันสมัย และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 5 สิ่งสำคัญ ที่คนใช้รถ EV ต้องรู้ มาทำความรู้จักกับ 5 สิ่งสำคัญที่คนใช้รถ EV ต้องรู้ ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับคำว่า EV กันดีกว่าค่ะ EV คำนี้ย่อมาจาก “EV-Electric Vehicle” หรือยานยนต์ไฟฟ้า ในประเทศไทยกำลังเริ่มเป็นที่นิยมและเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ดีสำหรับผู้ต้องการซื้อยานพาหนะมาใช้สอย และสำหรับผู้ที่ใช้รถ EV แล้วมาทำความรู้จักให้มากขึ้นกันผ่าน 5 สิ่งสำคัญนี้กันค่ะ การชาร์จ 1 ครั้งสามารถวิ่งได้ไกลแค่ไหน รถยนต์ไฟฟ้ามีทั้งหมดด้วยกัน 4 ประเภท แต่ว่ายอดขาย 4 ล้านคันที่นับกันว่าเป็น “รถ EV” เฉพาะรุ่นที่เสียบปลั๊กชาร์จไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่ได้ มี 2 ประเภท คือ Plug-in Hybrid (PHEV) และ Battery Electric Vehicle (BEV) - PHEV คือการใช้พลังงานผสมระหว่างน้ำมันเชื้อเพลิง และไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ที่เสียบปลั๊กชาร์จไฟได้ โดยระยะทางที่ใช้ไฟฟ้าวิ่งได้จะขึ้นอยู่กับความจุของแบตเตอรี่ ส่วนใหญ่ความจุแบตเตอรี่อยู่ที่ 6-14 kW วิ่งได้ 25-50 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง - BEV คือ การขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่แบบ 100 % จึงไม่มีการปล่อยมลพิษทางอากาศ ต้องชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่โดยตรงเท่านั้น มีความจุแบตเตอรี่อยู่ที่ 60-90 kW วิ่งได้ 338-473 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง ใช้รถยนตร์ไฟฟ้า Ev ประหยัดกว่ารถยนตร์ธรรมดาจริงไหม หากพูดถึงค่าใช้จ่ายค่าไฟในการชาร์จรถยนตร์ไฟฟ้าหากนำมาเทียบกับรถยนตร์ธรรมดาที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง รถยนตร์ไฟฟ้าประหยัดกว่าถึง 3 เท่า!! โดยอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง จะอยู่ที่ 3 บาท/กิโลเมตร ส่วนค่าไฟในการชาร์จรถ EV จะอยู่ที่ราวๆ 0.7 – 1 บาท/กิโลเมตร เท่านั้น แต่หากชาร์จตามสถานที่อื่นๆ ก็อาจจะมีเพิ่มค่าบริการอีกเล็กน้อย แล้วแต่สถานที่ การชาร์จในแต่ละครั้ง ใช้เวลาในการชาร์จนานแค่ไหน เวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ของรถยนต์ EV แต่ละคันไม่เท่ากัน เนื่องจากมีขนาดความจุของแบตเตอรี่ที่ต่างกัน หากใช้สายชาร์จแถม (Mode 2) ก็จะทำให้ใช้เวลาชาร์จนาน ชาร์จได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ หากใช้ชาร์จรถไฮบริด (Hybrid) ที่มีแบตเตอรี่ขนาดเล็ก ความจุ 6 – 14 kW จะใช้เวลาประมาณ 3 – 7 ชั่วโมง และหากเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ แบตเตอรี่จะมีขนาดใหญ่ 60 – 90 kW ใช้เวลาชาร์จนานถึง 40 ชั่วโมง รถ EV สามารถชาร์จที่บ้านได้ไหม ปลอดภัยหรือเปล่า ? สายชาร์จที่แถมมากับตัวรถ เป็นแค่ Emergency Charge ! (สาย Mode 2) เหมาะสำหรับการชาร์จ “เพียงชั่วคราวสั้นๆ ในยามฉุกเฉิน!” ที่แบตเตอรี่รถ EV หมดนอกบ้านในยามฉุกเฉินเท่านั้น ไม่ได้ออกแบบมาใช้สำหรับเสียบชาร์จกับปลั๊กไฟบ้านเป็นเวลานาน หรือประจำ เนื่องจากอาจเกิดความร้อนสะสมที่เต้าเสียบไฟบ้าน อาจส่งผลให้ระบบไฟบ้านเกิดปัญหาได้ ดังนั้นเมื่อชาร์จเต็มแล้วควรถอดปลั๊กทันที สาเหตุเกิดจากสายไฟบ้านทั่วไปในไทยทนกระแสไฟได้เพียง 10 A หรืออาจน้อยกว่า แต่สายชาร์จแถม สามารถดึงกระแสไฟสูงสุดถึง 12A ซึ่งเกินจากสายไฟบ้านรับได้! หากต้องการใช้อย่างปลอดภัย ต้องเดินสายไฟใหม่ขนาด 4 Sq.mm. ขึ้นไป สำหรับเฉพาะเต้าเสียบนี้เท่านั้น โดยไม่พ่วงกับอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ และที่สำคัญจะต้องมีระบบสายดินด้วย ที่ชาร์จตามปั๊มแบบรวดเร็ว สามารถชาร์จรถ EV ได้ทุกรุ่นไหม? การชาร์จไฟแบบ DC Quick Charge (Mode 4) ตามที่เห็นในปั๊มน้ำมันในต่างประเทศ รองรับแค่รถประเภท BEV แค่เพียงไม่กี่ยี่ห้อ เท่านั้นเช่น Tesla, Nissan Leaf, BMW i3/i8 เป็นต้น (ไม่สามารถชาร์จรถ PHEV ส่วนใหญ่ได้) แม้ว่าจะชาร์จได้เร็วมากเพียง 20 นาทีก็เกือบเต็ม แต่หากใช้เป็นประจำ มีโอกาสทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วกว่ากำหนด ควรใช้แค่ 2 ใน 10 ของการชาร์จทั้งหมด ส่วนอีก 8 ใน 10 ควรชาร์จแบบ AC charge โดยใช้เครื่อง Wallbox EV Charger (Mode 3) หรือ สายแถม (Mode 2) แต่ทั้งนี้ในไทยยังมี DC Quick Charge Station ให้บริการน้อยมาก มีเพียงแต่ AC Charge ตามห้างหรือปั๊ม ซึ่งบางที่มีหัวชาร์จไม่ครบทุกประเภท จึงอาจไม่สามารถชาร์จรถบางยี่ห้อได้ เพราะรถจากแต่ละประเทศก็มีหัวชาร์จที่แตกต่างกัน เช่น รถสหรัฐอเมริกา รถญี่ปุ่น เป็นหัวชาร์จ Type 1, รถยุโรป เป็นหัวชาร์จ Type 2, รถจีนเป็นหัวชาร์จ GB/T อีกทั้งยังมีหัว Quick Charge ประเภทต่างๆ อีก เป็นยังไงกันบ้างคะกับ “5 สิ่งสำคัญ ที่คนใช้รถ EV ต้องรู้” เป็นประเด็นสำคัญที่หลายท่านกำลังสงสัย หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์และสามารถไขข้อสงสัยให้กับผู้ใช้รถยนตร์ไฟฟ้ามากขึ้นนะคะ
Marketing 1.0 การตลาด Marketing 101 เน้นเรื่องสินค้า เริ่มจากประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 1950 เน้นสินค้าเป็นหลัก คือ ผลิตสินค้าที่ดีที่สุดเพื่อสร้างความรู้สึกคุ้มค่าให้กับผู้บริโภคสินค้าและบริการจะอยู่ในใจผู้บริโภคเป็นสินค้าที่มีฟีเจอร์เยอะเยอะสร้างความเหนือกว่าคู่แข่งโดยเจ้าของเจ้าของแบรนด์จะตั้งราคาสูงๆ ตลาดจากยุคเกษตรกรรมสู่ยุคการสร้างแบรนด์ คำว่า การตลาด เป็นแนวคิดธุรกิจที่มีผู้คนผู้บริโภคเป็นหลัก หัวใจสำคัญของการตลาด คือ มีการแลกเปลี่ยนสินค้า (Exchange) ที่ไม่ใช่การขายอย่างที่หลายคนเข้าใจแต่แนวคิด Marketing ประกอบด้วย 2 สิ่งสำคัญ ได้แก่ Place หรือมีสถานที่ขาย และ People หรือคน ซึ่งต้องมีทั้ง 2 สิ่ง เพื่อเข้าถึงผู้บริโภค (Consumer) โดยรู้ความต้องการผู้บริโภค และสามารถสร้างให้ผู้บริโภคเกิดความต้องการและมีความอยาก การตลาดยุค 1.0 (Marketing 1.0) การตลาดยุค 1.0 ยุคทุนนิยม หรือยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม หรือหลายคนเรียกว่า ยุค Mass Marketing นับเป็นจุดเริ่มต้นการตลาด ที่เน้นผลิตสินค้าออกมาจำหน่ายมาดๆ เพื่อลดต้นทุนการผลิต (Product Centric) ยุคนี้ผลิตยึดตัวเองเป็นหลัก เน้นในเรื่องการผลิตสินค้าออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าในลักษณะมวลชน ขนาดใหญ่ และผลิตสินค้าตามความต้องการของตลาด เน้นการผลิตที่เน้นตัวสินค้าเป็นหลัก เน้นการผลิตจำนวนมากเพื่อลดต้นทุน ส่วนเทคนิคทางการตลาดนิยมนำมาใช้กันอย่างมากในยุคนี้ก็คือการใช้หลัก 4P’s ก็คือ Products ปัจจัยแรก ที่หมายถึงสินค้า หรือบริการที่ส่งมอบสู่ลูกค้า ไม่ว่าธุรกิจจะส่งมอบอะไรจับต้องได้หรือไม่ ล้วนเป็น Product Price ปัจจัยที่ 2 นี้เป็นด้านราคา ซึ่งจำเป็นต่อธุรกิจอย่างมาก เป็นปัจจัยสร้างกำไรให้ธุรกิจ และก็เป็นอีกปัจจัยในสายตาผู้บริโภค Place ปัจจัยที่ 3 คือ สถานที่ ที่ธุรกิจสามารถจัดแสดงหรือส่งออกสินค้า และบริการออกไปให้ใกล้ชิดผู้บริโภค Promotion ปัจจัยที่ 4 เป็นเรื่องการสื่อสารและกระจายเสียงของแบรนด์ให้เข้าถึงใจลูกค้ามากที่สุด ซึ่งในยุคนี้เป็นยุคที่มีการทำเครื่องหมายการค้าให้กับแบรนด์ (ตีตราแบรนด์เป็นสินค้า) ซึ่งเรายังมีกาตลาดที่ดำเนินมาอีกหลายยุคจนกว่าจะถึงปัจจุบัน สามารถอ่านต่อได้บทความหน้านะครับ
ธุรกิจล้างรถ หรือธุรกิจคาร์แคร์เป็นธุรกิจที่มีมายาวนาน และยังเป็นธุรกิจที่สามารถเติบโตได้ในตลาด แต่หากต้องการเติบโตในธุรกิจก็ต้องพัฒนา และปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม รถยนต์เป็นพาหนะที่อำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน และการที่มีรถยนต์ก็ต้องดูแลรักษา ซ่อมบำรุงเพื่อยืดอายุการใช้งาน คาร์แคร์จึงเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่มีการเติบโตและน่าจับตามองแต่เนื่องจากเวลาที่เปลี่ยนไป สังคมที่เปลี่ยนแปลง จึงได้มีการพัฒนาจากล้างคนที่ใช้แรงงานเป็นล้างด้วยเครื่องล้างอัตโนมัติ และปัจจุบันธุรกิจล้างรถที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย เพระาด้วยความสะดวกรวดเร็ว และตอบโจทย์คยยุคใหม่ หลายคนคงเคยได้ยินการล้างรถรูปแบบใหม่อย่าง การล้างรถอัตโนมัติ มาบ้างแล้ว แต่ก็มีหลายคนเช่นกันที่ยังไม่ทราบว่า การล้างรถอัตโนมัติต่างจากการล้างรถทั่วไปอย่างไร? มีประโยชน์อย่างไร? เรามี 3 เหตุผลมาตอบคำถามที่ว่า ทำไมต้องล้างรถอัตโนมัติกัน สะดวก รวดเร็ว เพิ่มเวลาชีวิต การล้างรถเป็นการดูแลรถที่ใช้เวลาไม่น้อย ลำพังจะทำเองก็ใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะครอบคลุมครบทุกจุด จะให้ร้านล้างให้ก็คงใช้เวลาไม่น้อย ยิ่งถ้าล้างก่อนเดินทางไปไหน เห็นว่าคงไม่ทันเวลา แต่จะไม่ล้างก็ไม่ได้ การล้างรถอัตโนมัติจึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ช่วยเซฟเวลาให้คุณสามารถนำรถที่สะอาดหมดจดไปใช้งานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะการล้างรถอัตโนมัติช่วยให้รถของคุณสะอาดและได้รับการดูแลครบทุกจุดในเวลาไม่เกิน 10 นาที เพียงเท่านี้.. คุณก็จะมีเวลาเหลือไปทำอย่างอื่นพร้อมรถคู่ใจที่สะอาดหมดจดได้แล้ว สะอาด ไร้รอย ดูแลครบครัน หากเราไม่ได้เป็นคนล้างรถด้วยตัวเอง ก็คงอดกังวลไม่ได้ว่ารถจะสะอาดหรือไม่? มีรอยขีดข่วนหรือเปล่า? แต่ถ้าเป็นการล้างรถด้วยเครื่องล้างรถอัตโนมัติแล้ว บอกได้เลยว่า “หายห่วง” ด้วยระบบที่คิดค้นมาให้เป็นมิตรต่อรถ เส้นใยที่ใช้ล้างนั้นผลิตจากวัสดุประเภทโฟมที่ให้สัมนุ่มนวลกับรถของคุณ ไร้รอยขีดข่วน คงไว้ซึ่งสภาพที่สวยงามดังเก่า อีกทั้งยังสะอาดหมดจุดเพราะได้รับการทำความสะอาดที่ครอบคลุมทุกจุด มั่นใจได้เลยว่าการล้างรถอัตโนมัติจะช่วยให้คุณคลายกังวลเรื่องความสะอาดและความปลอยภัยของรถได้อย่างปลิดทิ้ง สบายกระเป๋า คุ้มค่า คุ้มราคา จากเหตุผลสองข้อที่กล่าวไป จะเห็นได้ว่าการล้างรถอัตโนมัตินั้น ช่วยดูแลรถของคุณให้สะอาดด้วยเวลาอันสั้น และครอบคลุมครบทุกจุด ถึงแม้ว่าจะดูแลได้ดีขนาดนี้ แต่ค่าบริการเริ่มต้นกลับไม่ได้สูงอย่างที่คิด จ่ายแบงค์ร้อยมีทอน! เทียบกับการล้างที่ Car Care ดูแล้วจัดว่าคุ้มค่าไม่เบา ช่วยให้คุณนำเงินในกระเป๋าไปใช้ในส่วนอื่นได้อีกสบายๆ ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้คงช่วยให้คุณตัดสินใจได้ไม่ยาก หากต้องการดูแลรถให้ครบครันคลอมคลุมทุกจุดในเวลาเร่งรีบ หลังจากนี้ เราหวังว่าคุณจะให้การล้างรถอัตโนมัติเป็นตัวเลือกแรกในการดูแลรถ และเปิดใจลองใช้บริการดูสักครั้ง เพราะการล้างรถอัตโนมัติจะเปลี่ยนภารกิจยุ่งยากให้เป็นเรื่องง่ายและใช้เวลาน้อยกว่าที่คิด
เคยสงสัยกันมั้ยว่า ทำไมเราต้องล้างรถ วันนี้แอดจะมาแชร์สาเหตุหลักที่เราต้องล้างรถ เพราะการล้างรถก็เหมือนกับการที่เราอาบน้ำดูแลตัวเองเป็นประจำเสมอ ไม่งั้นจะเกิดคราบไคลเป็นชั้นๆ ส่งผลให้ดูแลยากระยะยาว และการดูแลรถก็มีหลายวิธี การล้างรถเป็นวิธีเบื้องต้นที่เราสามารถทำให้รถสวยเงางามได้ และเป็นวิธีที่่ง่ายที่สุดอีกด้วย เพราะนอกจากการนำรถยนต์เข้าศูนย์เช็คระยะแล้ว “การล้างรถ” ก็ถือเป็นขั้นตอนหนึ่งของการดูแลรักษารถยนต์เพื่อช่วยให้รถดูสะอาดและเป็นการถนอมสีรถไปในตัวที่ผู้ใช้รถยนต์จะต้องรู้ด้วย แต่ทั้งนี้จะต้องเป็นขั้นตอนการล้างรถจะต้องเป็นวิธีล้างรถที่ถูกต้องด้วยเช่นกัน แล้วการล้างรถมีประโยชน์อะไรกันบ้าง เรามาลองอ่าน 5 เหตุผลที่ผ่านบทความนี้กันค่ะ 1.เพื่อเป็นการดูแลรักษารถยนตร์ให้สะอาดอยู่ตลอดเวลา เพราะการล้างรถเป็นขั้นตอนที่ทำให้รถของเราสะอาดและดูดี ในปัจจุบันมีร้านคาร์แคร์และธุรกิจล้างรถ ล้างอัดฉีด ดูดฝุ่นอำนวยความสะดวกให้เลือกใช้บริการมากมาย ไม่ว่าจะเป็น บริการล้าง Car Care แบบเดิมที่ล้างด้วยคน, การบริการ ล้างรถ Drivethru ที่ล้างด้วยเครื่องล้างอัตโนมัติ ไม่ต้องลงจากรถ เป็นต้น ซึ่งการล้างรถให้รถสะอาดอยู่เสมอ ยังเป็นการบ่งบอกความใส่ใจดูแลรถของเจ้าของรถคันนั้นๆ อีกด้วย 2. เพื่อขจัดคราบสกปรกและฝุ่นละออง ต้นเหตุที่ทำลายสีของรถ คราบสกปรกและฝุ่นละออง ต้นเหตุที่ทำร้ายสีของรถยนต์ ความสกปรกต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ผู้ใช้รถยนต์ต้องเจอกับปัญหานี้อยู่เป็นประจำไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ไม่ว่าจะเป็น เศษดินเศษหิน เม็ดทรายขนาดใหญ่ น้ำเสีย หรือสารพัดสิ่งสกปรกที่มาจากบนท้องถนน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นต้นเหตุตัวร้ายที่ทำลายผิวรถยนต์ของคุณให้เสียหายได้ ซึ่งเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่ารถยนต์ของเราจะต้องเจอกับอะไรบ้าง การปล่อยคราบสิ่งสกปรกเหล่านี้ทิ้งไว้นานอาจเกาะติดพื้นผิวรถยนต์ของและพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้สีรถหมอง และสิ่งที่แย่ไปกว่านั้นอาจแปรสภาพกลายเป็นคราบฝังลึก โดยวิธีแก้ก็จะยากกว่าโดยใช้วิธีการขัดสีเพียงอย่างเดียว เป็นเหตุให้ต้องมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นอีก 3. เพื่อเป็นการถนอมสีรถ และทำให้สีรถยังคงเงางาม สำหรับผู้ที่ให้ความใส่ใจทางด้านสีสัน ความเงางามของรถยนต์เป็นพิเศษ เราขอแนะนำวิธีการดูแลรถยนต์ที่ได้ผลดีมาก นั่นก็คือ การแว๊กซ์รถ ให้รถดูสวยเงางามขึ้น โดยสามารถเอารถเข้าคาร์แคร์หรือบริการธุรกิจล้างรถต่างๆ หรือจะแว๊กซ์เองก็ได้ การทำความสะอาดและการดูแลในแต่ละครั้งสามารถช่วยดูแลสีของรถคุณให้สวยเงางามได้ ไม่ใช่ว่าจะมีการทำสีใหม่เพียงอย่างเดียว แต่การทำความสะอาดแล้วลงน้ำยาเคลือบเงาก็ยังรักษาสีรถของคุณให้เงางามอยู่เสมอ ซึ่งข้อดี ของน้ำยาเคลือบเงา คือ ฝุ่นสิ่งสกปรกจะจับตัวได้ยาก และน้ำฝนก็ไม่สามารถทำให้เป็นรอยได้ วิธีนี้ก็จะทำให้รถของคุณดูใหม่อยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องกังวลเรื่องคราบและรอยเปื้อนแต่อย่างใด การดูแลรถเบื้องต้น มีดังนี้ การขัดสีรถ คือ การขัดผิวหน้าสีหรือแล็กเกอร์ออกไป เพื่อลบรอยที่เกิดจากตราบยางไม้ ขี้แมลง และอื่น หลังจากที่เราได้ขัดสีเรียบร้อยแล้ว ผิวหน้าของสีก็จะดูเรียบเนียน สวยและมีความเงางามมากยิ่งขึ้น การเคลือบสี คือ การเคลือบเพื่อปกป้องผิวสีที่ถูกขัดออกไปให้มีความแข็งแรงทนทานต่อรอยที่จะเกิดมากขึ้น ซึ่งการเคลือบนั้นก็ต้องดูตามน้ำยาเคลือบกำหนดเพื่อให้มีอายุการใช้งานยาวนั่นเอง 4. ลดโอกาสการเกิดคราบฝังแน่น คราบฝังแน่นนี้เกิดจากการใช้รถยนต์ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยง เช่น คราบน้ำมัน คราบท่อไอเสีย มลภาวะ หรือสารเคมีที่กระเด็นมาติดขณะอยู่บนท้องถนน สิ่งเหล่านี้ค่อนข้างหลุดออกได้ยาก หากไม่ได้ล้างรถเป็นเวลานานก็จะเกิดครบฝังแน่นล้างออกได้ยาก หลายคนอาจจะคิดว่าแค่ฝนตก ก็สามารถชำระคราบสิ่งสกปรกได้หมดแล้ว แต่ความเป็นจริงหลังฝนตกหากมองด้วยตาเปล่า รถยนต์ของคุณอาจดูเหมือนสะอาดขึ้น แต่หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อเราใช้รถไปเรื่อยๆ โดนลม โดนแดดจนน้ำฝนระเหยแห้ง อนุภาคทั้งหลายที่เกาะติดตามพื้นผิวของตัวรถยนต์ก็จะแห้งไปด้วย แล้วกลายเป็นคราบฝังแน่นบนพื้นผิวรถ ซึ่งนอกจากจะทำความสะอาดได้ยากขึ้นแล้ว เมื่อนานไปจะกัดกร่อนสารเคลือบสีและส่งผลให้สีรถยนต์ของคุณซีดได้ ทางที่ดีหลังจากรถของคุณฝ่าฝนมาใหม่ๆ ควรหาเวลาล้างรถด้วยตัวเองโดยใช้น้ำฉีด ตามด้วยการลงแชมพูล้างรถให้ทั่ว แล้วฉีดน้ำล้างฟองออกจนสะอาด ถึงจะไม่สะอาดเนี้ยบเหมือนใช้บริการคาร์วอช แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้คราบต่างๆ ที่มองไม่ค่อยเห็นนั้นแห้งติดสะสมเป็นคราบฝังลึก 5. ช่วยป้องกันคราบจากเศษใบไม้ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะจอดรถใต้ร่มไม้ไม่ได้ แล้วทราบกันไหมคะหากจอดรถใต้ร่มไม้หลังจากฝนตกอาจมีเศษใบไม้ เกสรดอกไม้ เศษกิ่งไม้เล็กๆ หรือแม้แต่ตัวแมลง เมื่อสิ่งเหล่าแห้งติดบนพื้นผิวรถจะเกิดเป็นคราบแห้งกรัง ทำให้ทำความสะอาดได้ยาก รอยเปื้อนบางจุดล้างด้วยแชมพูล้างรถอย่างเดียวไม่ออก ต้องพึ่งพาน้ำยาทำความสะอาดชนิดพิเศษจากบริการคาร์วอชเท่านั้น เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับ 5 เหตุผลดีๆ ที่ตอบข้อสงสัยว่า ทำไมต้องล้างรถ สามารถช่วยตอบข้อสงสัยและเพิ่มความรู้ทำให้เห็นถึงความสำคัญของการล้างรถกันแล้วใช่ไหมคะ ถ้าเห็นถึงประโยชน์ของการล้างรถกันแล้ว อย่าลืมหันมาใส่ใจดูแลรถยนต์ของคุณด้วยการล้างรถที่ถูกวิธีกันนะคะ และหากคุณกำลังมองหาร้านล้าง หรือดูแลรถที่ไว้ใจได้ทั้งคุณภาพมาตรฐานก็แวะมาใช้บริการที่ Quickwash ได้เลยค่ะ เราพร้อมดูแลรถคุณให้สวยเหมือนใหม่และใส่ใจทุกรายระเอียด