รถยนต์อัตโนมัติ หรือ ยานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous vehicle) เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ก้าวข้ามจากรถยนต์ในฝัน และภาพจำในภาพยนตร์ เข้าสู่ความเป็นจริง มีบริษัทยักษ์ใหญ่มากมายที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และกำลังเดินหน้าพัฒนาระบบ เพื่อเป็นที่หนึ่งของตลาดยานยนต์ไร้คนขับก่อนใคร บางบริษัทก็ไต่ระดับ พัฒนาความสามารถในกับขับเคลื่อนอัตโนมัติของรถยนต์ จนอยู่ในขั้นสูงกว่าที่เคยและสามารถสร้างรถยนต์กึ่งอัตโนมัติได้สำเร็จ บริษัทไหนจะเป็นตัวเต็งในสนามแห่งยานยนต์ไร้คนขับที่น่าจับตาบ้าง มาดูกัน TESLA หากพูดถึงรถยนต์อัตโนมัติ นาทีนี้ต้องมีชื่อ Tesla (เทสล่า) เป็นชื่อบริษัทอันดับแรกที่อยู่ในใจหลายๆ คนแน่นอน โดยบริษัท Tesla เป็นบริษัทผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานสะอาด 100% (Electric Vehicle) จากฝั่งสหรัฐอเมริกาที่มุ่งเน้นในการพัฒนาเทคโนโลยีไร้คนขับ โดยเริ่มเปิดตัวความอัจฉริยะของรถยนต์อัตโนมัติด้วยการใส่ระบบขับขี่อัตโนมัติ ( AutoPilot ) เข้ามาในรถยนต์ Tesla model S ซึ่งสามารถช่วยขับแทนผู้ใช้งานได้จริง แต่จัดในอยู่ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติอยู่ในระดับ 3 ( SAE Automation Levels 3 : Conditional Driving Automation ) ปัจจุบัน Tesla สามารถพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติมาจนถึงระดับที่ 4 ( SAE Automation Levels 3 : High Driving Automation ) ที่สามารถให้รถขับเคลื่อนได้เอง โดย Elon Musk ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ CEO คนล่าสุด ออกมาเผยว่ารถยนต์ที่กำลังพัฒนาอยู่นั้น จะสามารถขับเคลื่อนอัตโนมัติได้ 100% แต่จะเป็นยังไงนั้น ต้องมารอติดตามกัน Alphabet Inc. Alphabet Inc. เป็นที่รู้จักในนามของบริษัทแม่ของ Google บริษัทมองเห็นโอกาสในการสร้างรายได้จากงานวิจัย และใช้เวลากว่า 7 ปีไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเองจนพาตัวมาอยู่ในแถวหน้า ในนามบริษัทลูกอย่าง Waymo เมื่อปี ค.ศ. 2015 เริ่มมีการนำรถยนต์ขับขี่อัตโนมัติไร้คนขับมาทดลองขับขี่ใน Austin, Texus โดยให้ชายผู้บกพร่องทางการมองเห็น โดยสารรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติคันดังกล่าว พร้อมทีมวิศวกรนั่งประกบเพื่อทดสอบการใช้งานจริง และเมื่อปี ค.ศ. 2019 ได้หันมาจับมือกับบริษัทพันธมิตรอย่าง Honda และ Intel เพื่อพัฒนาชิปของรถยนต์อัตโนมัติร่วมกัน ต้องรอดูว่าการรวมพลังครั้งนี้จะสร้างนวัตกรรมไหนให้ผู้ใช้รถเซอร์ไพรส์ได้อีก ต้องติดตาม Daimler บริษัทรถยนต์สัญชาติเยอรมัน เจ้าของแบรนด์ Mercedes-Benz จับมือกับ Baidu บริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน Search Engine และเทคโนโลยีสัญชาติจีน ร่วมกันนำระบบรถยนต์อัตโนมัติขับเคลื่อนตัวเองที่ Baidu พัฒนาขึ้น มาใช้ในรถยนต์ที่ Daimler เป็นผู้ผลิต นอกจากนั้นบริษัท Daimler ได้พัฒนาระบบรถยนต์จนมีความสามารถในการขับเคลื่อนอัตโนมัติอยู่ในระดับ 3 หรือยังต้องมีมนุษย์การควบคุมอยู่นั่นเอง แต่ก็ถือว่าเป็นบริษัทที่น่าจับตา เพราะ บริษัท Daimler ได้ร่วมมือกับบริษัท Uber พัฒนารถยนต์เพื่อให้สามารถขับเคลื่ออัตโนมัติได้ในระดับ 4 และ 5 ที่สามารถขับเคลื่อนอัตโนมัติ 100% ต้องรอติดตามว่ารถดังกล่าวจะเป็นอย่างไร จะสามารถขึ้นแซง Tesla ได้หรือไม่ ต้องรอดู BMW บริษัทรถยนต์ที่เราคุ้นหูกันเป็นอย่างดี ได้ร่วมมือกับ Intel บริษัทผู้นำด้านคอมพิวเตอร์ และ Mobileye บริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยี ในนาม BMW iNEXT โดยเป็นรถนวัตกรรมใหม่ ใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ 4 ระดับ หรือคนขับเองได้เหมือนรถไฟฟ้าทั่วไป หากเกิดกรณีที่ไม่มั่นใจในระบบ เมื่อเข้าสู่โหมดขับเคลื่อนอัตโนมัติ พวงมาลัยจะหดกลับเข้าไปในแดชบอร์ด แป้นเบรกและแป้นคันเร่งก็หายไปด้วยเช่นกัน โดยคันเร่งและเบรกจะหดลงไปจมอยู่กับพื้นเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการวางเท้า เมื่อต้องการกลับมาควบคุมรถยนต์ด้วยตัวของคุณเองก็แค่กดลงไปบนตราสัญลักษณ์ BMW พวงมาลัยจะยื่นออกมาพร้อมๆ กับสัญญาณเตือนที่จะส่งมอบการควบคุมให้กับคนขับ จัดว่าเป็นรถในฝันที่น่าครอบครองอีกหนึ่งแบบ ต้องรอติดตามว่าในอนาคต BMW จะสามารถพัฒนาระบบขับเคลื่อนไปสู่ระดับ 5 หรือขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบ 100% ได้หรือไม่ ต้องรอชม Apple Inc. บริษัทคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เบอร์ต้นๆ ของโลกที่เปิดจำหน่ายสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ดีไซน์เรียบหรูจนเป็นที่นิยมของคนส่วนใหญ่ บริษัท Apple เคยมีโครงการ “ไททัน” ที่พัฒนาด้านรถยนต์อัตโนมัติในปี ค.ศ. 2014 แต่ก็ต้องพับโปรเจ็คไป ตอนนี้ Apple กำลังกลับมาพัฒนาอีกครั้ง และกำลังคืบหน้าขึ้นเรื่อยๆ Apple ได้ยื่นขอและเผยแพร่สิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ถึง 248 รายการ แต่จะออกมาหน้าแบบไหน ตรงตามโมเดลที่วางไว้ไหม ต้องรอติดตาม แม้ว่าจะยังไม่มีแบรนด์ใดที่สามารถพัฒนาและผลิตยานยนต์ไร้คนขับ หรือรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ 100% ออกมา แต่ก็ถือว่าการพัฒนาของแต่ละแบรนด์นั้นเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว รถยนต์ไร้คนขับอาจเป็นจริงได้ในอีกไม่ช้า ต้องรอติดตามว่าจะมีแบรนด์ไหนที่สามารถทำลายขีดจำกัด และพัฒนารถยนต์อัตโนมัติ 100% ได้ก่อนกัน หรือไม่แน่ว่า อาจจะมีม้ามืดนอกจาก 5 บริษัทนี้สามารถพัฒนารถยนต์ไร้คนขับได้ก่อนก็เป็นได้ เราขอแนะนำว่าให้ กดติดตาม (Subscribe) บทความนี้ไว้ เพื่อไม่ให้พลาดสาระความรู้ และติดตามข่าวสารวงการยานยนต์ก่อนใคร
Autonomous vehicle อาจจะเป็นคำที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยคุ้นชิน แต่ถ้าในวงการรถและยานยนต์นั้น คงเป็นคำยอดฮิตที่หลายคนให้ความสำคัญและกำลังศึกษา รวมถึงติดตามข่าวสารอยู่ตลอดเวลาเป็นแน่ เพราะ Autonomous vehicle คือ นวัตกรรมยานยนต์ไร้คนขับ สุดยอดเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่โลกกำลังให้ความสนใจ จนมีหลากหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกกำลังแข่งขันกันพัฒนาระบบ อาทิเช่น Tesla, Apple, และ Google โดยบางบริษัทก็เริ่มมีการผลิตยานยนต์กึ่งไร้คนขับออกมาใช้บ้างแล้ว ซึ่งมีแนวโน้มว่าอาจจะมีการผลิตยานยนต์ไร้คนขับแบบเต็มรูปแบบเข้าสู่ตลาดโลกอย่างรวดเร็วในอีกไม่ช้าแน่นอน แต่ยานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous vehicle) คืออะไร รถยนต์ไร้คนขับได้จริงหรือไม่ มาดูกัน ยานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous vehicle) คืออะไร? ยานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous vehicle หรือ Self-driving Car) คือ เทคโนโลยีที่ทำให้ยานพาหนะหรือรถยนต์สามารถรับรู้สภาพแวดล้อมรอบข้าง และสามารถขับเคลื่อนไปยังที่ต่างๆ ได้เองแบบอัตโนมัติและปลอดภัย โดยที่มนุษย์ไม่จำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง หรือไม่จำเป็นต้องมีผู้โดยสารที่เป็นมนุษย์อยู่ในรถเลยก็ได้ ซึ่งความล้ำหน้าสุดเจ๋งนี้ เกิดจากการใช้นวัตกรรมของเทคโนโลยีหลักๆ 4 เทคโนโลยี ดังนี้ Computer Vision : เทคโนโลยีที่ทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาให้กับยานยนต์ไร้คนขับ โดยใช้กล้อง และเรดาร์ตรวจจับคลื่นต่างๆ ทั้งเสียงและวัตถุโดยรอบเมื่อรถวิ่ง 2. Robotic : เทคโนโลยีที่ทำหน้าที่เสมือนเส้นประสาทที่เชื่อมต่อสมองของมนุษย์เข้ากับแขนขาและส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยทำการเชื่อมต่อระบบประมวลผลส่วนกลางเข้ากับระบบเครื่องจักรต่างๆ ในตัวรถ 3. Deep Learning : เทคโนโลยีที่เป็นสมองของยานยนต์ไร้คนขับ สามารถตัดสินใจควบคุมรถได้ด้วยระบบตนเอง โดยมาจากการประมวลผลข้อมูลที่รับมาจากระบบ Computer Vision 4. Navigation : เทคโนโลยีที่เป็นระบบแผนที่ที่เราคุ้นหูกันดี โดยประกอบด้วยระบบการระบุตำแหน่งของรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติจากดาวเทียม และระบบแผนที่เสมือนจริงที่เก็บรวบรวมข้อมูลในคลังข้อมูลดิจิทัล ทั้งนี้ยังทำหน้าที่เก็บข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการวิ่งของรถบนถนน เช่น ตำแหน่งของไฟจราจร ตำแหน่งทางม้าลาย ป้ายสัญญาณต่างๆ รวมถึงความเร็วสูงสุดที่กฎหมายอนุญาตให้รถวิ่งได้ในถนนแต่ละเส้น ยานยนต์ไร้คนขับจะใช้ระบบแผนที่ซึ่งประมวลผลร่วมกับระบบ Sensor เพื่อเพิ่มความถูกต้องและแม่นยำในการตัดสินใจให้เสถียร์มากยิ่งขึ้น ข้อดีของยานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous vehicle) ขับขี่สะดวกสบายมากขึ้น : ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางระยะทางสั้นหรือยาว ใกล้หรือไกล ระบบช่วยขับอัตโนมัติของยานยนต์ไร้คนขับ จะช่วยทำให้ผู้ใช้สามารถงีบหลับ พักผ่อน เพื่อคลายความเมื่อยล้าได้ในขณะขับรถได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเวลาที่รถติด การจราจรหนาแน่น ยานยนต์ไร้คนขับก็จะช่วยผ่อนแรงไปได้มาก หมดปัญหาปวดขา อีกทั้งยังช่วยทำให้อัตราการเกิดอุบัติเหตุจากความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ลดลงได้อีกด้วย อัตราการเกิดอุบัติเหตุบนถนนลดลง : เนื่องจากยานยนต์ไร้คนขับทุกคันนั้นมีกล้องมองรอบทิศทาง มีเซ็นเซอร์ตรวจจับ อีกทั้งยังใช้ความเร็วที่เหมาะสมกับสภาพการจราจร จึงทำให้อุบัติเหตุจากการขับจี้ท้าย ปาดหน้า และหลับใน มีอัตราและแนวโน้มที่จะลดน้อยลงซึ่งจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนนให้มากขึ้นไปอีก มีเวลาชีวิตเพิ่มมากขึ้น : เมื่อยานยนต์ไร้คนขับสามารถขับเคลื่อนได้อย่างอัตโนมัติ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถนำเวลาในการเดินทางไปทำอย่างอื่นได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้บนรถ หรือการใช้รถให้ขับขี่ไปยังที่หมายแทนตัวผู้ขับขี่ และทำกิจกรรมที่สำคัญหรือเร่งด่วนกว่า นอกจากนั้นยานยนต์ไร้คนขับยังช่วยลดการเกิดรถติด และทำให้ระยะเวลาในการเดินทางสั้นลง McKinsey มีการประเมินเบื้องต้นว่าเมื่อยานยนต์ไร้คนขับเข้าสู่รถยนต์กระแสหลักของโลก จะช่วยประหยัดเวลาในท้องถนนรวมๆ แล้วกว่า 1 พันล้านชั่วโมงต่อวัน ข้อเสียของรถยนต์ไร้คนขับ (Autonomous vehicle) อันตรายจากความไม่ชัดเจนของป้ายจราจร : ถึงแม้ยานยนต์ไร้คนขับจะมีความสามารถในการใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับและอ่านป้ายจราจร แต่หากเกิดกรณีที่ป้ายจราจรทำชำรุดหรือมีร่องรอยจนอ่านได้ยากและไม่ชัดเจน อาจส่งผลให้ระบบประมวลผลทำงานผิดพลาด และนำไปสู่การตัดสินที่ผิดพลาดได้ อันตรายจากผิวถนน : ระบบของยานยนต์ไร้คนขับอาจจะไม่สามารถแยะสภาพพื้นผิวของถนนที่เปลี่ยนไปทุกวันได้ เซ็นเซอร์อาจแยกหลุมบ่อบนพื้นถนนผิดพลาด และหากตกหลุมที่ลึกมากๆ อาจส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุได้ อันตรายจากรถยนต์คันอื่น : เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ไม่สามารถควบคุมได้กับการใช้รถหรือยานยนต์ไร้คนขับบนท้องถนนร่วมกับผู้อื่น เพราะไม่ใช่รถทุกคันที่จะใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ผู้ขับขี่ที่มีพฤติกรรมการขับขี่ตามใจตนเอง หรือยากในการประมวลผลผ่านระบบ เช่น การขับปาดหน้า และขับย้อนศร อาจส่งผลให้ยานยนต์ไร้คนขับตัดสินใจผิดพลาด และนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้ ราคาแพงกว่ารถยนต์ทั่วไป : แม้จะได้รับความนิยมและความสนใจเป็นอย่างมาก แต่ต้องยอมรับว่าในปัจจุบัน ยานยนต์ไร้คนขับนั้นมีราคาค่อนข้างสูงมาก เป็นราคาที่เกินเอื้อมสำหรับบุคคลทั่วไป ตัวอย่างเช่น รถยนต์ไร้คนขับอย่าง Tesla Model S มีราคาขานในประเทศไทย คือ 6.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาสูงมากสำหรับรถยนต์ทั่วไป ทำให้เป็นเพียงรถในฝันของบุคคลทั่วไปเท่านั้น แต่ในอนาคตก็มีแนวโน้มที่ราคาจะต่ำลงจนคนทั่วไปเอื้อมถึงได้ อย่างไรก็ตามยานยนต์ไร้คนขับก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจและน่าติดตามมากสำหรับชาวรักรถทุกคน วันนี้เรามาแนะนำเพียงข้อมูลเบื้องต้นของยาวยนต์ไร้คนขับ ครั้งหน้าเราจะเอาข้อมูลข่าวสารของยานยนต์ไร้คนขับในแง่มุมหรือด้านไหนมาฝาก รอติดตามได้เลย หรือสามารถ กดติดตาม (Subscribe) บล็อกของเราไว้ได้ เพื่ออ่านข้อมูลและสาระดีๆ ได้ก่อนใครเลย Blog แนะนำ 5-ระดับมาตรฐาน-การขับเคลื่อนอัตโนมัติ-ของรถแห่งอนาคต
หากพูดถึงคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ค หรือแล็ปท็อป ชื่อของ Macbook คงเป็นคำค้นหายอดฮิต และเป็นชื่อแรกที่ลอยเข้ามาในหัวเป็นแน่ เพราะไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็เจอใครต่อใครจับจองเป็นเจ้าของเจ้าแล็ปท็อปดีไซน์เรียบหรูรุ่นนี้ทั้งนั้น จะนักศึกษา หรือคนวัยทำงานก็ใช้กัน ขนาดเปิดหน้าจอทีวีก็ยังเจอเจ้า Macbook เป็นอุปกรณ์ประกอบฉากการทำงานของพระเอกนางเอกแทบทุกเรื่องไป แล้วจะไม่ขึ้นแท่นให้เป็นแล็ปท็อปนัมเบอร์วันก็คงไม่ได้ แต่อะไรที่เป็นสาเหตุให้ Macbook เป็นอุปกรณ์พกพาสุดปังในวงการคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊คกัน วิวัฒนาการที่ตอบโจทย์การใช้งานของ Macbook ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากว่าจะเป็น Macbook ที่มีระบบปฏิบัติการสุดล้ำ สเปกสุดแรง และดีไซน์สุดจึ้งในเวอร์ชั่นอย่างทุกวันนี้ ทุกอย่างได้ผ่านกระบวนการคิด และพัฒนาโดยบริษัท Apple มาหมดแล้ว เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้งานมากที่สุด โดยแรกเริ่มจุดกำเนิดของ Macbook เริ่มจากคอมพิวเตอร์พกพาเครื่องแรกอย่าง Macintosh Portable ในปี ค.ศ. 1989 แม้รุ่นนี้ไม่ได้รับความนิยมมากนัก แต่ก็ได้รับเสียงฮือฮาในวงการเทคโนโลยี เพราะ Apple สร้างความแตกต่างด้วยระบบแบตเตอรี่ ทำให้เครื่องสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียบปลั๊ก หลังจากนั้น Apple ก็มีการเปิดตัวคอมพิวเตอร์พกพาในชื่อ Powerbook ออกมาอีกหลายรุ่น ซึ่งได้รับความสนใจและเสียงฮือฮาบ้าง แต่อาจยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2001 ยุคทองของ iBook ก็เริ่มต้นขึ้น Apple เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายหันมาจับกลุ่มผู้ใช้งานทั่วไป ทำให้คอมพิวเตอร์พกพารุ่นนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และในด้านดีไซน์ iBook ได้มีการออกแบบผ่านแนวคิดใหม่ จึงทำให้เป็นแล็ปท็อปที่มีรูปทรงล้ำสมัยพร้อมสีสันที่สะดุดตา เช่น สี Aqua ยิ่งสร้างอิทธิพลให้ Macintosh กลับเข้ามาอยู่ในระบบอีกครั้ง แม้ว่าในประเทศไทยในยุคนั้นอาจมีการเข้าถึงและการใช้งาน Macintosh เฉพาะกลุ่ม และแพร่หลายไม่มากนักก็ตาม ด้วยกระแสความนิยมของ iBook ที่เพิ่มขึ้นนั้นทำให้ Apple ได้พัฒนาและเปิดตัว Macbook รุ่นแรกขึ้นในปี ค.ศ. 2006 มีตัวเครื่องบางกว่าเดิม 20% ใช้ซีพียู Intel Core Duo แรงกว่า iBook ถึง 5 เท่า และแรงกว่า PowerBook รุ่น 12 นิ้ว ถึง 4 เท่า หน้าจอของ MacBook มีขนาด 13.3 นิ้ว มีความสว่างมากกว่า iBook และ PowerBook 79% มีกล้อง iSight ในตัว พร้อม MagSafe มีตัวเครื่องให้เลือก 2 สี คือ สีขาวและดำ ราคาเปิดตัว $1,099 สำหรับสีขาว และ $1,499 สำหรับสีดำ นอกจากนั้นยังมาพร้อมกับ MacBook Pro หน้าจอขนาด 15 นิ้ว มีความสว่างกว่ารุ่นก่อน ๆ 67% พร้อม Trackpad แบบ Scroll ได้ และมีเซ็นเซอร์ตรวจจับเวลาทำเครื่องตกพื้นเพื่อช่วยป้องกันฮาร์ดดิสก์เสียหาย ใช้ซีพียู Intel แรงกว่า PowerBook G4 ถึง 4 เท่า ราคาเปิดตัว $1,999 ซึ่งได้รับกระแสความนิยมอย่างถาโถม สร้างฐานแฟนคลับจากมหาศาลให้กับ Apple และเสียงฮือฮาก็กลับมาดังกระหึ่มอีกครั้งในปี ค.ศ. 2008 เมื่อ Steve Jobs เทบางสิ่งรูปร่างคล้ายแล็ปท็อปออกจากซองเอกสารสีน้ำตาลที่ใช้งานตามออฟฟิศทั่วไป บนเวทีงาน Mac World 2008 และนั่นคือ การเปิดตัว Macbook Air อย่างเป็นทางการ จัดว่าเป็นแล็ปท็อปที่บางและเบาที่สุดในยุค จนมีหลากหลายแบรนด์นำไปเป็นต้นแบบของ Ultrabook ในช่วงหลัง Macbook ดีกว่าโน้ตบุ๊คทั่วไปอย่างไร ในยุคแห่งเทคโนโลยีทำให้เรามีตัวเลือกมากมาย และทำไม Macbook ถึงขึ้นแท่นแล็ปท็อปนัมเบอร์วัน คอมพิวเตอร์ในฝันของคนทำงาน มีดูข้อดีหรือจุดแข็งที่เหนือกว่าแบรนด์อื่นอย่างไร มาดูกัน MacBook มีระบบปฏิบัติการเสถียรภาพสูงอย่าง MacOS ต้องยอมรับว่า MacBook ครองใจผู้ใช้งานระดับมืออาชีพ ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในกลุ่ม ช่างภาพนิ่ง ช่างวีดีโอ และนักตัดต่อวีดีโอ เพราะสามารถใช้ในงานตัดต่อวีดีโอ หรือกราฟฟิคต่างๆ หรือ CG ได้เป็นอย่างดี ไม่กระตุก ในวงการเพลงก็พบว่านักดนตรีส่วนใหญ่มักจะนำ MacBook ไปใช้กับการทำเพลง นอกจากนี้ก็ยังมีสถาปนิกที่นำไปใช้ในการออกแบบโครงสร้างบ้าน หรืออาคาร 3 มิติ เนื่องจากระบบปฏิบัติการ MacOS มีความเสถียรภาพสูงมาก ไม่ค่อยพบปัญหา หรืออาการงอแงบ่อยเท่า Windows ทำให้ผู้ใช้งานค่อนข้างพอใจนั่นเอง MacBook มีแบตอึดมาก และให้ประสบการณ์ใช้งานที่ดี MacBook ในบางรุ่นสามารถใช้งานต่อเนื่องบนแบตเตอรี่ได้มากถึง 13 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว รวมไปถึงหน้าจอ Retina Display ที่เป็นจอภาพคุณภาพสูง ให้ความละเอียดที่มากกว่า Notebook ทั่วไป อีกทั้งยังมีขอบเขตสีที่เกิน 100% sRGB จนทำให้อยู่เหนือกว่าคู่แข่งแบรนด์อื่น ไม่ใช่เพียงแบตเตอรี่ ส่วนอื่นของ MacBook เองก็มีความทนทานเป็นอย่างมากเช่นกัน MacBook มีความเข้ากันของฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจาก Apple เป็นผู้ออกแบบ และพัฒนาทั้งในส่วนของตัวเครื่อง ฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการ MacOS จึงทำให้ไม่เกิดอุปสรรคในเรื่องของการเข้ากันได้ของฮาร์ดแวร์ต่างๆ และสามารถซิงค์ข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ของ Apple ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น iMac, iPad หรือ iPhone การส่งไฟล์แชร์ไฟล์ ทำให้ระหว่าง MacOS และ iOS ทำงานกันได้แบบไร้รอยต่อทีเดียว จึงได้รับการยอมรับจากเหล่าคนทำงานมืออาชีพ เหตุผลที่เรากล่าวไปทั้งหมดนั้น อาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้ Macbook ขึ้นแทน No.1 ในกลุ่มแล็ปท็อป ยังมีเหตุผลอีกมากมายที่ทำให้ Macbook ครองใจผู้ใช้งานทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ ถึงแม้จะมีราคาที่สูงกว่าแล็ปท็อปแบรนด์ส่วนใหญ่ แต่ด้วยประสิทธิภาพที่ Macbook ทำได้ก็ถือว่าคุ้มค่าที่จะยอมจ่าย แถมยังมีรูปลักษณ์และดีไซน์ที่เรียบหรูโดดเด่นอีก ไม่มีเหตุผลไหนที่ปฏิเสธคำพูดที่ว่า คอมพิวเตอร์ในฝัน ได้เลย ใครที่เป็นสาวก Apple และ Macbook มารอลุ้นกันดีกว่ารุ่นต่อไปจะเปิดตัวได้ปังขนาดไหน หรือสามารถ กดติดตามBlog ของเราได้ หากมีข่าวสารอัปเดตอย่างไร เราจะรีบเอามาแชร์ให้ทุกคนได้อ่านกันแน่นอน Quickwash x Carmunity
รถ EV หรือรถยนต์ไฟฟ้า กำลังเป็นที่นิยม เพราะเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ดีสำหรับผู้ต้องการซื้อยานพาหนะ ด้วยพลังงานสะอาด ทันสมัย และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 5 สิ่งสำคัญ ที่คนใช้รถ EV ต้องรู้ มาทำความรู้จักกับ 5 สิ่งสำคัญที่คนใช้รถ EV ต้องรู้ ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับคำว่า EV กันดีกว่าค่ะ EV คำนี้ย่อมาจาก “EV-Electric Vehicle” หรือยานยนต์ไฟฟ้า ในประเทศไทยกำลังเริ่มเป็นที่นิยมและเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ดีสำหรับผู้ต้องการซื้อยานพาหนะมาใช้สอย และสำหรับผู้ที่ใช้รถ EV แล้วมาทำความรู้จักให้มากขึ้นกันผ่าน 5 สิ่งสำคัญนี้กันค่ะ การชาร์จ 1 ครั้งสามารถวิ่งได้ไกลแค่ไหน รถยนต์ไฟฟ้ามีทั้งหมดด้วยกัน 4 ประเภท แต่ว่ายอดขาย 4 ล้านคันที่นับกันว่าเป็น “รถ EV” เฉพาะรุ่นที่เสียบปลั๊กชาร์จไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่ได้ มี 2 ประเภท คือ Plug-in Hybrid (PHEV) และ Battery Electric Vehicle (BEV) - PHEV คือการใช้พลังงานผสมระหว่างน้ำมันเชื้อเพลิง และไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ที่เสียบปลั๊กชาร์จไฟได้ โดยระยะทางที่ใช้ไฟฟ้าวิ่งได้จะขึ้นอยู่กับความจุของแบตเตอรี่ ส่วนใหญ่ความจุแบตเตอรี่อยู่ที่ 6-14 kW วิ่งได้ 25-50 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง - BEV คือ การขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่แบบ 100 % จึงไม่มีการปล่อยมลพิษทางอากาศ ต้องชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่โดยตรงเท่านั้น มีความจุแบตเตอรี่อยู่ที่ 60-90 kW วิ่งได้ 338-473 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง ใช้รถยนตร์ไฟฟ้า Ev ประหยัดกว่ารถยนตร์ธรรมดาจริงไหม หากพูดถึงค่าใช้จ่ายค่าไฟในการชาร์จรถยนตร์ไฟฟ้าหากนำมาเทียบกับรถยนตร์ธรรมดาที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง รถยนตร์ไฟฟ้าประหยัดกว่าถึง 3 เท่า!! โดยอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง จะอยู่ที่ 3 บาท/กิโลเมตร ส่วนค่าไฟในการชาร์จรถ EV จะอยู่ที่ราวๆ 0.7 – 1 บาท/กิโลเมตร เท่านั้น แต่หากชาร์จตามสถานที่อื่นๆ ก็อาจจะมีเพิ่มค่าบริการอีกเล็กน้อย แล้วแต่สถานที่ การชาร์จในแต่ละครั้ง ใช้เวลาในการชาร์จนานแค่ไหน เวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ของรถยนต์ EV แต่ละคันไม่เท่ากัน เนื่องจากมีขนาดความจุของแบตเตอรี่ที่ต่างกัน หากใช้สายชาร์จแถม (Mode 2) ก็จะทำให้ใช้เวลาชาร์จนาน ชาร์จได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ หากใช้ชาร์จรถไฮบริด (Hybrid) ที่มีแบตเตอรี่ขนาดเล็ก ความจุ 6 – 14 kW จะใช้เวลาประมาณ 3 – 7 ชั่วโมง และหากเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ แบตเตอรี่จะมีขนาดใหญ่ 60 – 90 kW ใช้เวลาชาร์จนานถึง 40 ชั่วโมง รถ EV สามารถชาร์จที่บ้านได้ไหม ปลอดภัยหรือเปล่า ? สายชาร์จที่แถมมากับตัวรถ เป็นแค่ Emergency Charge ! (สาย Mode 2) เหมาะสำหรับการชาร์จ “เพียงชั่วคราวสั้นๆ ในยามฉุกเฉิน!” ที่แบตเตอรี่รถ EV หมดนอกบ้านในยามฉุกเฉินเท่านั้น ไม่ได้ออกแบบมาใช้สำหรับเสียบชาร์จกับปลั๊กไฟบ้านเป็นเวลานาน หรือประจำ เนื่องจากอาจเกิดความร้อนสะสมที่เต้าเสียบไฟบ้าน อาจส่งผลให้ระบบไฟบ้านเกิดปัญหาได้ ดังนั้นเมื่อชาร์จเต็มแล้วควรถอดปลั๊กทันที สาเหตุเกิดจากสายไฟบ้านทั่วไปในไทยทนกระแสไฟได้เพียง 10 A หรืออาจน้อยกว่า แต่สายชาร์จแถม สามารถดึงกระแสไฟสูงสุดถึง 12A ซึ่งเกินจากสายไฟบ้านรับได้! หากต้องการใช้อย่างปลอดภัย ต้องเดินสายไฟใหม่ขนาด 4 Sq.mm. ขึ้นไป สำหรับเฉพาะเต้าเสียบนี้เท่านั้น โดยไม่พ่วงกับอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ และที่สำคัญจะต้องมีระบบสายดินด้วย ที่ชาร์จตามปั๊มแบบรวดเร็ว สามารถชาร์จรถ EV ได้ทุกรุ่นไหม? การชาร์จไฟแบบ DC Quick Charge (Mode 4) ตามที่เห็นในปั๊มน้ำมันในต่างประเทศ รองรับแค่รถประเภท BEV แค่เพียงไม่กี่ยี่ห้อ เท่านั้นเช่น Tesla, Nissan Leaf, BMW i3/i8 เป็นต้น (ไม่สามารถชาร์จรถ PHEV ส่วนใหญ่ได้) แม้ว่าจะชาร์จได้เร็วมากเพียง 20 นาทีก็เกือบเต็ม แต่หากใช้เป็นประจำ มีโอกาสทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วกว่ากำหนด ควรใช้แค่ 2 ใน 10 ของการชาร์จทั้งหมด ส่วนอีก 8 ใน 10 ควรชาร์จแบบ AC charge โดยใช้เครื่อง Wallbox EV Charger (Mode 3) หรือ สายแถม (Mode 2) แต่ทั้งนี้ในไทยยังมี DC Quick Charge Station ให้บริการน้อยมาก มีเพียงแต่ AC Charge ตามห้างหรือปั๊ม ซึ่งบางที่มีหัวชาร์จไม่ครบทุกประเภท จึงอาจไม่สามารถชาร์จรถบางยี่ห้อได้ เพราะรถจากแต่ละประเทศก็มีหัวชาร์จที่แตกต่างกัน เช่น รถสหรัฐอเมริกา รถญี่ปุ่น เป็นหัวชาร์จ Type 1, รถยุโรป เป็นหัวชาร์จ Type 2, รถจีนเป็นหัวชาร์จ GB/T อีกทั้งยังมีหัว Quick Charge ประเภทต่างๆ อีก เป็นยังไงกันบ้างคะกับ “5 สิ่งสำคัญ ที่คนใช้รถ EV ต้องรู้” เป็นประเด็นสำคัญที่หลายท่านกำลังสงสัย หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์และสามารถไขข้อสงสัยให้กับผู้ใช้รถยนตร์ไฟฟ้ามากขึ้นนะคะ