ยังคงมีกระแสแรงอย่างต่อเนื่องกับ “รถไฟฟ้า EV” ที่เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในปัจจุปัน เพราะเป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจึงทำให้ค่าใช้ง่ายในเรื่องพลังงานเชื้อเพลิงถูกลงเป็นอย่างมาก และแถมรถ EV ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ข้อดีเยอะขนาดนี้แล้ว ใครที่ยังลังเลอยู่วันนี้เรานำข้อมูลเรื่อง “รถยนต์ไฟฟ้า EV ต้องใช้ไฟบ้านแบบไหน? จ่ายค่าไฟเท่าไหร่?” มาให้ทุกคนได้อ่านเพื่อเพิ่มความรู้ และเหตุผลที่อาจจะช่วยทำให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นมากฝากกันค่ะ สามารถทำความรู้จักรถประเภทรถ EV และข้อดี-ข้อเสียได้ผ่านบทความนี้เลยค่ะ สิ่งที่ต้องรู้ก่อนติดตั้งระบบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าภายในบ้าน ก่อนอื่นเลยสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคนที่กำลังจะซื้อรถไฟฟ้านั่นคือการศึกษาทำความเข้าใจระบบไฟฟ้าในบ้านของตัวเองก่อน มิเช่นนั้นระบบไฟฟ้าภายในบ้านอาจจะมีปัญหาได้ โดยมี 5 ขั้นตอนการติดตั้งระบบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้านมาฝากทุกคนกันค่ะ 1.ขนาดมิเตอร์ไฟฟ้า คือ สำรวจมิเตอร์ไฟฟ้าของตัวเอง โดยปกติขนาดมิเตอร์ของบ้านพักอาศัยทั่วไปจะใช้เป็น 15(45) 1 เฟส(1P) หมายถึงมิเตอร์ขนาด 15 แอมป์(A) และสามารถใช้ไฟได้มากถึง 45(A) สำหรับคนที่ต้องการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในบ้าน ทางการไฟฟ้าแนะนำให้เปลี่ยนขนาดมิเตอร์เป็น 30(100) ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ป้องกันการใช้ไฟฟ้าที่มากเกินไป **สำหรับคนที่คิดว่าต้องเปลี่ยนระบบไฟเป็น 3 เฟสรึเปล่า? คำตอบคือ “ไม่จำเป็น” เนื่องจากถ้าบ้านไม่มีการใช้งานไฟฟ้ามากเกินไป การใช้ไฟ 1 เฟสก็เพียงพอ 2.เปลี่ยนสายเมน และลูกเซอร์กิต (MCB) คือ สำหรับสาย Main ของเดิมใช้ขนาด 16 ตร.มม. ต้องปรับให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 25 ตร.มม. และเปลี่ยนลูกเซอร์กิต(MCB) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ป้องกันร่วมกับตู้ MDB ที่แต่เดิมรองรับได้สูงสุด 45(A) เปลี่ยนเป็น 100(A) หรือพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ขนาดมิเตอร์ ขนาดสายเมน และขนาดลูกเซอร์กิต (MCB) ต้องสอดคล้องกัน 3.ตู้ควบคุมไฟฟ้า (MDB) คือ ตรวจสอบภายในตู้ว่ามีช่องว่างสำรองเหลือให้ติดตั้ง Circuit Breaker อีก 1 ช่องรึเปล่า? เพราะการชาร์จไฟของรถยนต์ไฟฟ้าจะต้องมีส่วนตัว แยกใช้งานกับเครื่องไฟฟ้าอื่นๆ หรือถ้าหากภายในตู้หลักไม่มีช่องว่าง ควรเพิ่มตู้ควบคุมย่อยอีก 1 จุด 4.เครื่องตัดไฟรั่ว (RCD) คือ เป็นเครื่องตัดไฟฟ้าอัตโนมัติที่จะตัดวงจรไฟฟ้า เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้าออกมีค่าไม่เท่ากัน ซึ่งอาจจะส่งผลให้ไฟฟ้าลัดวงจร และเกิดเพลิงไหม้ได้ในอนาคต กรณีที่สายชาร์จไฟฟ้ามีระบบตัดไฟภายในตัวอยู่แล้ว เราก็ไม่ต้องติดตั้งเพิ่ม 5.เต้ารับ (EV Socket) คือ สำหรับการเสียบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นชนิด 3 รู (มีสายต่อหลักดิน) ต้องทนกระแสไฟฟ้าได้ต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 16(A) *แต่รูปทรงอาจจะปรับตามรูปแบบปลั๊กของรถยนต์แต่ละรุ่น การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามีกี่แบบ? ใช้เวลานานเท่าไหร? สำหรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าหลักๆ มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่ การชาร์จแบบธรรมดา (Normal Charge) คือ การชาร์จไฟฟ้าจากตัวเต้ารับโดยตรง โดยขนาดมิเตอร์ขั้นต่ำที่แนะนำคือ 30(100)A และเต้ารับต้องติดตั้งใหม่เฉพาะการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น โดยเป็นการใช้ไฟบ้านที่เป็นกระแสสลับ (AC) ที่ใช้ระยะเวลาในการชาร์จประมาณ 12-16 ชม. การชาร์จแบบรวดเร็ว (Double Speed Charge) คือ เป็นการชาร์จจากเครื่องชาร์จ EV Charger เป็นตู้ชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Charging) ที่ช่วยให้ชาร์จพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรี่รถให้เต็มเร็วยิ่งขึ้น โดยเหลือเวลาชาร์จประมาณ 6-8 ชม. การชาร์จแบบด่วน (Quick Charge) คือ เป็นการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charging) ตรงเข้าแบตเตอรี่โดยตรง ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า จาก 0-80% ได้ภายในเวลา 40-60 นาที นิยมใช้ตามสถานีบริการนอกบ้าน ที่ต้องการความรวดเร็วในการชาร์จ แต่ก็มีข้อเสียคือทำให้ตัวแบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วขึ้น ได้แก่ CHAdeMo, GB/T และ CCS เป็นต้น หัวชาร์จสำหรับรถแต่ละรุ่นแบบด่วน (Quick Charge) DC CHAdeMo ย่อมาจากคำว่า CHArge de Move แปลได้ว่า ชาร์จไฟแบบเร็วสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งระบบ CHAdeMO มีการใช้แพร่หลายในประเทศญี่ปุ่น จ่ายกระแสไฟฟ้าขนาด 50 kW DC CCS2 ย่อมาจาก Combined Charging System เป็นหัวชาร์จที่นิยมใช้ในแถบทวีปยุโรป จ่ายกระแสไฟฟ้าขนาด 50 kW เทคนิคการเลือกเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า EV Charger ความเร็วในการชาร์จไฟรถยนต์นั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับไฟ (On Board Charger) ของรถยนต์แต่ละรุ่น หรือก็คือตัวควบคุมการดึงพลังงานไฟฟ้าจากตัวรถ สั่งการไปยังเครื่อง EV Charger โดยทั่วไปขนาดมีตั้งแต่ 3.6kW ถึง 22kW ซึ่งทำให้ตัวเครื่องชาร์จออกแบบมาให้มีทั้งหมด 4 ขนาด คือ 3.7 kW, 7.4 kW, 11 kW, 22 kW (มาตรฐาน) ราคาเครื่องชาร์จหลากหลายมีตั้งแต่ 15,000-100,000 กว่าบาท(แล้วแต่ยี่ห้อ) การเลือกจุดติดตั้งเครื่องชาร์จ บริเวณพื้นที่จอดรถ 1.ระยะทางไม่เกิน 5 เมตร จากตัวเครื่องชาร์จจนถึงจุดที่เสียบชาร์จกับตัวรถ ไม่ควรวางห่างกันเกิน 5 เมตร เนื่องจากสายเครื่องชาร์จ EV Charger โดยทั่วไปอยู่ที่ 5-7 เมตรเท่านั้น 2.วางใกล้ตู้ MDB เลือกทำเลใกล้ตู้เมนไฟฟ้าในบ้าน ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินสายไฟที่มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น 3.หลังคาปกคลุม เลือกจุดที่อยู่ด้านในใต้หลังคา เพื่อป้องกันละอองฝน และเป็นการรักษาให้ใช้งานได้ยาวนานมากขึ้น คำนวณค่าไฟในการชาร์จรถไฟเต็ม 1 รอบการใช้งาน ยกตัวอย่าง : รถยนต์ไฟฟ้าชาร์จสูงสุดที่ 7.4 kW แบตเตอรี่จุได้ 60 kW หรือระยะทางขับขี่ประมาณ 350 กิโลเมตร พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือเวลา 1 ชม. เก็บพลังงานไฟฟ้าได้ 7.4 kW โดยถ้าต้องจุให้เต็ม 60 kW ต้องใช้เวลาถึง 7-8 ชั่วโมง สมมุติว่าไฟฟ้า 1 หน่วย = 1 kW สมมุติที่ 4 บาท/หน่วย – ชาร์จไฟ 1 ชม คิดค่าไฟฟ้า = 7.4 x 4 x 1 = 29.6 บาท – ชาร์จไฟ 2 ชม คิดค่าไฟฟ้า = 7.4 x 4 x 2 = 59.2 บาท – ชาร์จไฟ 8 ชม คิดค่าไฟฟ้า = 7.4 x 4 x 8 = 236.8 บาท สรุป ถ้าเราชาร์จแบตเตอรี่เต็มใช้เงินประมาณ 236.8 บาท ขับรถยนต์ได้ 350 กิโลเมตร หรือตก 1.4 บาท/กิโลเมตร เมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง อยู่ที่ประมาณ 3-5 บาท/กิโลเมตร เรียกได้ว่าประหยัดค่าใช้จ่ายได้หลายเท่าตัวเลย เป็นอย่างไรกันบ้างคะสำหรับข้อมูลที่เรานำมาเสนอกับข้อมูลความรู้ที่เรานำมาเสนอ หากใครที่กำลังตัดสินซื้อรถยนต์ไฟฟ้า Ev เรื่องการชาร์จไฟเป็นประเด็นที่สำคัญมาก หวังว่าความรู้นี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะคะ
ถ้าหากนึกถึงร้านล้างรถอัตโนมัติแบรนด์ที่มีชื่อเสียงแบรนด์หนึ่งก็คงจะหนีไม่พ้น QuickWash (ควิกวอช) ร้านล้างรถอัตโนมัติ ล้างรถเร็วใน 7 นาที ราคาเริ่มต้น 89 บาท โดยในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับที่มาของแบรนด์ร้านล้างรถอัตโนมัติให้มากขึ้นกันค่ะ QuickWash (ควิกวอช) ร้านล้างรถอัตโนมัติ ล้างรถเร็วใน 7 นาที ราคาเริ่มต้น 89 บาท มีจุดเริ่มต้นในปี 2017 จากการที่เราเริ่มตั้งคำถามง่ายๆ ว่า “ทำไมการล้างรถมันถึงเป็นเรื่องยุ่งยากเหลือเกิน? ได้รับบริการไม่ค่อยมีมาตรฐาน ล้างสะอาดบ้างไม่สะอาดบ้าง แล้วก็ต้องรอนาน สุดท้ายกลับให้ความรู้สึกไม่คุ้มเลย” เราได้เล็งเห็นถึงปัญหานี้และอยากมีส่วนร่วมแก้ไข เราจึงได้พัฒนา Quick Wash ร้านล้างรถอัตโนมัติขึ้นมาเพื่อคนไทย โดยทำให้ “การล้างรถต้องไม่ใช่เรื่องยากและคุ้มค่าคุ้มราคาที่สุด” เครื่องล้างรถอัตโนมัติของเราเป็นเครื่องล้างที่นำเข้ามาจากสเปน มีเทคโนโลยีรับรู้ลักษณะยานพาหนะและปรับระยะให้เข้ากับรถได้อย่างดีเยี่ยม โดยเราใช้น้ำยาล้างรถนำเข้าจากยุโรปมีจุดเด่นในเรื่องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของการประหยัดน้ำและพลังงาน ทำให้มั่นใจว่าได้ว่าจะได้รับบริการที่มีคุณภาพและมาตรฐาน นอกจากนี้ขนแปรงล้างรถผลิตจากวัสดุโฟม ฟูนุ่ม น้ำหนักเบา ไม่อมน้ำ เคลือบด้วยน้ำยาพิเศษ จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดร่องรอยต่างๆ หรือไม่เป็นอันตรายต่อสีรถแน่นอน วิสัยทัศน์/vision “We will be No.#1 Quick Car Wash in customer heart” “เราจะเป็นร้านล้างรถสะดวกล้าง อันดับ 1 ในใจลูกค้า” เป้าหมาย/ Mission QuickWash จะเป็นร้านล้างรถสะดวกล้าง อันดับ 1 ในใจคนไทย ที่มีเครือข่ายครอบคลุม เพื่อให้บริการลูกค้าและสร้างคุณค่าให้คนไทยมากที่สุด Purpose “Make change for car wash industry in which Speed/Value of Time & Money/Standard for Thai Consumer” “ร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลง การล้างรถ เร็ว คุ้ม ดีเพื่อคนไทย” ทำไมต้องเลือก QuickWash เกิดมาเพื่อ? “ร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลง การล้างรถ เร็ว คุ้ม ดีเพื่อคนไทย” เหมือนชื่อเรา “QuickWash” เรามุ่งเน้นไปที่ความ “สะดวกรวดเร็ว” เพื่อที่เราจะได้ช่วยทุกคนประหยัดทั้งเงินในกระเป๋าและประหยัดเวลาที่มีค่ายิ่งกว่าทอง ของทั้งลูกค้าผู้ใช้รถที่มาใช้บริการและคู่ค้าผู้ให้บริการ ทำไมต้องล้างรถ QuickWash? ประหยัดเวลา ลูกค้าก็ใช้บริการได้ในเวลาเพียง 7 นาที ประหยัดเงิน เพราะราคาเริ่มต้นเพียง 89 บาทเท่านั้น 3.บริการสะดวกสบาย สามารถล้างรถแบบ Drive Thru เป็นการล้างรถโดยที่ไม่จำเป็นต้องลงจากรถเลย 4.ปลอดภัย เครื่องล้างและน้ำยาล้างรถนำเข้าจากยุโรป ได้มาตรฐาน ไม่เป็นอันตรายกับรถแน่นอน Values “4ส. วัฒนธรรม สปีด สมาย สหาย สะอาด” Slogan “เร็วกว่าที่คิด เป็นมิตรกว่าที่เคย” Hashtag #Quickwash #ล้างรถอัตโนมัติ #ล้างรถด่วน #ล้างรถDrivethru #เร็วกว่าที่คิดเป็นมิตรกว่าที่เคย รูปแบบการลงทุน มีกี่แบบ แต่ละแบบราคาเท่าไหร่ Quickwash ได้เปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจมาร่วมลงทุนธุรกิจ Franchise โดยมีโมเดลให้เลือก 2 รูปแบบ Franchise system ลงทุน 2.5 ล้านบาท Franchise Business ลงทุน 1.8 ล้านบาท QuickWash มีกี่สาขา ในตอนนี้ควิกวอชมีร้านล้างรถอัตโนมัติให้บริการครอบคลุมกรุงเทพฯ และปริมณฑล ถึง 13 สาขา และกำลังขยายสาขาเพิ่มมากขึ้นในอนาคต Quickwash ทั้ง 13 สาขาได้แก่ Quick Wash วิภาวดี 36 Quick Wash ESSO บางพูด Quick Wash ESSO หนองแขม Quick Wash PTT บางบอน Quick Wash ESSO กาญจนา Quick Wash ESSO ประชาอุทิศ Quick Wash ESSO อ่อนนุช Quick Wash ESSO ปิ่นเกล้า Quick Wash ESSO ราชพฤกษ์ Quick Wash Caltex กิ่งแก้ว Quick Wash Shell สายไหม Quick Wash Susco เอกชัย101 Quick Wash PTT คลอง7 ธัญบุรี Quick Wash PTT ถนนเศรษฐกิจ (สาขาแฟรนไชส์) Quick Wash ร้านล้างรถอัตโนมัติที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า เป็นร้านล้างรถสมัยใหม่ที่ทั้ง สะดวก สะอาดสบาย รวดเร็วและราคาประหยัด แถมเครื่องล้างและน้ำยายังได้รับมาตรฐาน มั่นใจได้ว่าปลอดภัยกับตัวของท่านแน่นอน ซึ่งหากใครที่ยังไม่เคยไปใช้บริการสามารถไปเปิดประสบการณ์ล้างรถอัตโนมัติครั้งแรกที่ควิกวอชทั้ง 13 สาขากันนะคะ
ในปัจจุบัน แอปพลิเคชัน Food Delivery เป็นอีกหนึ่งแอปที่ต้องมีติดเครื่องโทรศัพท์ของทุกคน เพราะทั้งสะดวก สบาย รวดเร็วในการสั่งอาหาร ทำให้เราได้เลือกทานอาหารได้หลากหลายมากขึ้น โดยที่ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปไกล เพียงแค่คุณกดสั่งและชำระค่าบริการ ก็สามารถรอรับอาหารี่บ้านกันได้เลย สะดวกสบายแบบนี้จำเป็นต้องมีแล้ว วันนี้เราเลยได้ทำการรวบรวม “แอปพลิเคชั่น Food Delivery ที่ต้องมีติดเครื่อง” มาให้ทุกคนอ่านกันค่ะ 1.Grab เป็นแอปพลิเคชันแรกๆ เลยถ้าหากนึกถึง Food delivery เพราะ Grab เป็นแอปพลิเคชันที่มีบริการหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น การเดินทาง Grab Taxi, Grab Car, Just Grab, Grab Bike การขนส่ง Grab Express ไปจนถึงบริการด้านอาหาร Grab Food และเนื่องด้วยเป็นแอฟพลิเคชั่นแรกๆ ที่คนทั่วไปนึกถึงจึงมีร้านอาหารมากมายให้เลือกซื้อ รวมทั้งแกร็บเองก็ยังจัดโปรโมชันสุดคุ้มมาเอาใจลูกค้าอยู่เสมอๆ อีกทั้งยังสามารถจ่ายเงินได้หลายช่องทางทั้ง จ่ายสด การตัดบัตรเดบิต/เครดิต ฯลฯ จึงเป็นแอปพลิเคชันที่จะต้องมีในโทรศัพท์ของทุกคนกันเลย 2.Food panda แอปพลิเคชันโลโก้สีชมพูสดใสที่ใครๆ ก็นึกถึง มีจุดเด่นในเรื่องของการทำโปรโมชัน ส่วนลด และราคาส่งที่ถูกเริ่มต้นที่ 9 บาทจึงทำให้ Food panda เป็นอีกหนึ่งเจ้า Food delivery ในไทยที่ได้รับความนิยมและถือเป็นแอพสำหรับสั่งอาหารที่น่าใช้งานพอสมควรเลยทีเดียว 3.LINE MAN เป็นแอปพลิเคชันที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน เพราะมีบริการส่งฟรีในระยะใกล้ หากมีระยะทางเกิน 3 กิโลเมตรจากร้านอาหาร ค่าส่งอาหารจะเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 10 บาท นอกจากนี้ในแอพยังมีมีร้านอาหารให้เลือกเยอะแยะมากมาย หลากหลายประเภท การจ่ายเงินก็สามารถทำได้หลากลหายช่องทาง และมีคูปองส่วนลดค่าอาหารออกมาให้ผู้ใช้ได้นำไปใช้อยู่เรื่อย ๆ ด้วย และที่สำคัญ ขั้นตอนการสมัครเข้าใช้งานก็ง่ายมาก เพียงแค่เรามีบัญชี LINE ก็สามารถซิงค์ข้อมูลเพื่อเข้าใช้ LINE MAN ได้แล้ว 4.7-Eleven ร้านค้าแฟรนไชส์มินิมาร์ทชื่อดังที่มีบริการครอบคลุมอยู่ทุกพื้นที่ ได้หันมาเสริมบริการแบบ Delivery ซึ่งการที่บริการเสริมนี้ขึ้นมาก็เป็นการที่ทำให้คนเข้าถึง 7-Eleven สามารถสั่งได้ทั้งอาหาร ของใช้ น้ำดื่ม หรือสินค้าต่างๆ ที่มีอยู่ใน 7-Eleven เป็นราคาที่วางขายจริง ๆ ไม่มีการบวกเพิ่ม และที่สำคัญหากสั่งครบ 100 บาท ก็จะมีบริการส่งฟรีให้อีกด้วย สามารถใช้งานโปรโมชัน ส่วนลด สะสมแต้มได้เหมือนกับบริการหน้าร้านกันเลยทีเดียว 5.Robinhood แอปพลิเคชันสำหรับสั่งอาหารจากเครือธนาคารไทยพาณิชย์หรือ SCB ที่เพิ่งเปิดตัวไปในช่วงที่ผ่านมาไม่นาน ถือว่าเป็นแอพพลิเคชันน้องใหม่ ที่ได้รับกระแสตอบรับจากผู้ใช้บริการเป็นอย่างดี ในตอนแรกมีค่าส่งเริ่มต้นเพียง 10 บาทเท่านั้นและร้านค้านั้น สามารถเข้าร่วมกับแอพนี้ได้โดยไม่มีค่าบริการ โดยการชำระเงินก็สามารถชำระได้ง่ายๆ ยิ่งหากใช้บัญชีธนาคาร SCB ก็จ่ายเงินที่สะดวก รวดเร็ว ได้รับเงินทันที 6.LalaMove นั้นขึ้นชื่อเรื่องของการขนส่งพัสดุ หรือการขนย้ายของ แต่กระนั้นเองทาง LalaMove ก็มีบริการขนส่งอาหารด้วย โดยทาง LalaMove จะมีบริการขนส่งพัสดุด่วน ภายใน 1 ชั่วโมง ด้วยรถจักรยานยนต์ และจะมีพนักงานบริการอยู่แทบจะตลอด (ช่วงที่ไม่มี COVID-19 นั้นมีบริการ 24 ชั่วโมงด้วย) ในส่วนนี้เองเราสามารถเรียกใช้บริการเป็นการส่งอาหารได้ ทั้งร้านอาหารที่มีอยู่ในแอพสั่งอาหารออนไลน์ และร้านที่ไม่มีชื่ออยู่ในแอพสั่งอาหารออนไลน์ การขนส่งนั้นสามารถทำได้ง่าย ๆ ผ่านแอพเลย แถมเรายังติดตามพิกัดของผู้ส่งได้ด้วยว่าในขณะนี้อยู่บริเวณไหนแล้ว 7.1112 Delivery แอพสั่งอาหารอย่าง 1112 Delivery นั้น ก็ไม่ได้มีบริการเพียงแค่ พิซซ่า อย่างที่ใครหลายคนเข้าใจ แต่ยังมีบริการจากร้านชื่อดังอื่น ได้แก่ Swensen’s, Sizzler, Dairy Queen, Burger King และ The Coffee Club, S&P และ Bonchon ด้วย สำหรับใครที่ชอบทานอาหารจากร้านค้าเหล้านี้ ไม่ควรพลาดเลยทีเดียว และด้วยเป็นการบริการจากทางบริษัทที่รวมร้านอาหารระดับไมเนอร์เหล่านี้ไว้ด้วยกัน ทำให้ผู้ใช้งานมั่นใจได้ในระดับหนึ่งเลยว่า อาหารส่งถึงมืออย่างดีแน่นอน แถมยังประหยัดค่าจัดส่ง และมีโปรโมชันส่วนลดต่าง ๆ มาให้ได้ใช้งานกันอยู่บ่อย ๆ ด้วย 8.Shopee Food แอปพลิเคชั่นช็อปปิ้งออนไลน์ชื่อดัง ที่ได้หันมาทำบริการ Food Delivery โดยทาง Shopee มีจุดเด่นในเรื่องของการใส่โค้ดส่วนลด โดยที่มีโค้ดส่วนลดแจกกันทุกอาทิตย์ อีกทั้งยังมีร้านอาหารที่มาเข้าร่วมแคมเปญส่วนลดมากมาย ยิ่งใส่โค้ดลดก็ยิ่งถูกเข้าไปอีก การจ่ายเงินก็สามารถเลือกใช้จ่ายได้หลายช่องทาง เป็นอีกหนึ่งแอปพลิเคชันที่ควรมีติดเครื่องมาก เช่นเดียวกัน
กระแสรถรถไฟฟ้า หรือ EV (Electric Vehicle) แรงดีไม่มีตก สำหรับใครที่กำลังตัดสินใจที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้านี้แล้ว ก็มักจะมีคำถามยอดฮิตตามมา ว่าสถานีชาร์จรถ EV นั้นตอนนี้มีครอบคลุมแล้วหรือยัง หรือว่ามีมากน้อยเพียงใดหากต้องการเดินทางออกไปต่างจังหวัดจะยังพบกับจุดชาร์จอยู่หรือไม่ วันนี้เราจึงรวบรวมสถานีชาร์จรถ EV ในประเทศไทยมีที่ไหนกันบ้าง เพื่อไว้สำหรับคนที่ต้องการวางแผนการเดินทางไกลจะได้หมดกังวลเรื่องแบตเตอรี่หมดกลางทาง หรือหาสถานีชาร์จไม่ได้ MEA EV การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้านครหลวงมีแอปพลิเคชั่น MEA EV Application สามารถใช้ค้นหาสถานีชาร์จรถแบบเรียลไทม์ ได้ทั้งของการไฟฟ้านครหลวง (MEA), บริษัท EA Anywhere (EA) และ สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) พร้อมแสดงเส้นทางไปยังสถานีชาร์จด้วยแผนที่ GIS ร่วมกับการนำทางของ Google Application รวมถึงสามารถจองสถานีชาร์จ หรือหัวชาร์จได้ด้วยแบบเรียลไทม์ (เฉพาะสถานีที่ลงทะเบียนกับการไฟฟ้านครหลวงเท่านั้น) มีด้วยกันทั้งหมด 11 ที่ ได้แก่ กฟน. สำนักงานใหญ่ เพลินจิต กฟน. เขตวัดเลียบ กฟน. เขตสามเสน กฟน. เขตบางเขน กฟน. เขตบางขุนเทียน กฟน. เขตลาดกระบัง กฟน. เขตบางใหญ่ กฟน. เขตสมุทรปราการ กฟน. เขตราษฎร์บูรณะ กฟน. เขตธนบุรี กฟน. ที่ทำการบางพูด การไฟฟ้านครหลวง ได้ร่วมมือกับบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เพิ่มจุดติดตั้ง MEA EV Charging Station บริเวณร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ 7-Eleven สาขา บ้านสวนลาซาล (ศรีนครินทร์) และ 7-Eleven สาขา สน.บางขุนนนท์ และส่งมอบเครื่องอัดประจุไฟฟ้า MEA EV Charger ในโครงการศึกษาวิจัย MEA EV Smart Charging System พร้อมใช้งานได้แล้ววันนี้ ได้แก่ MBK EV Charging Station จำนวน 3 เครื่อง บริเวณลานจอดรถ ชั้น 2 โซน C ช่อง 23-24 เวลา 10.00 – 21.00 น. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน 5 เครื่อง อาคารจามจุรี 5 เวลา 6.00 – 19.00 น. (ในช่วงทดลอง ขอสงวนสิทธิ์เฉพาะบุคลากรของจุฬาฯ) CP Tower 1 CPLAND จำนวน 1 เครื่อง อาคาร ซี.พี.ทาวเวอร์ 1 (สีลม) บริเวณลานจอดรถชั้น 8 เวลา 8.30 – 17.30 น. ด้านหลังห้างสรรพสินค้า Siam Square One (ร่วมกับ Great Wall Motors) สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ ฝ่ายธุรกิจบริการและคุณภาพไฟฟ้า โทร. 0 2476 5666-7 ระหว่างเวลา 07.30-15.30 น. ในวันเวลาทำการ หรือ MEA Call Center 1130 Facebook : การไฟฟ้านครหลวง MEA Line : MEA Connect Twitter: @mea_news และศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ไฟฟ้าการไฟฟ้านครหลวง MEA Call Center 1130 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง สถานีอัดประจุไฟฟ้า EV Station ปตท. (PTT) บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR หรือปั๊มน้ำมันที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะเจอกับสถานีบริการมากที่สุด ได้ปรับแผนธุรกิจให้มีการเพิ่มจุดให้บริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV (PTT EV Charging Station) เพิ่มมากขึ้น ด้วยกำลังไฟ 50 กิโลวัตต์/เครื่อง ด้วยหัวชาร์จ DC รูปแบบ CCS Combo 2 และ CHAdeMO และหัวชาร์จ AC รูปแบบ Type 2 โดยสามารถชาร์จได้พร้อมกัน 2 หัวจ่าย ระหว่าง DC และ AC อีกทั้ง ยังมี EV Station ในรูปแบบ Normal Charge ที่เปิดให้บริการแล้ว 25 สถานี ทาง PTT หรือ ปตท. มีจุดชาร์จไฟแบบ Quick Charge 5 แห่ง ดังนี้ PTT Station สาขาพหลโยธิน กม. 25 กรุงเทพฯ PTT Station สาขาวงแหวนกาญจนาภิเษก-ตลิ่งชัน กรุงเทพฯ PTT Station สาขาพัฒนาการ ขาออก กรุงเทพฯ PTT Station สาขาหนองแขม กรุงเทพฯ PTT Station สาขาแยกหาดจอมเทียน พัทยา จุดชาร์จไฟแบบธรรมดา 25 แห่ง ทั่วประเทศ ดังนี้ กรุงเทพมหานคร สาขาแยกประชาอุทิศ-ลาดพร้าว กรุงเทพฯ สาขาทุ่งครุ สาขาพระราม 2 (ขาออก) สาขาบรมราชชนนี (ขาเข้า) สาขาราชพฤกษ์ 1 สาขาเอกมัย-รามอินทรา สาขาลาดพร้าว-วังหิน สาขานวลจันทร์ สาขามัยลาภ สาขาราษฎร์บูรณะ (ขาออก) นนทบุรี สาขาประชาชื่น 2 ปทุมธานี สาขาวงแหวนตะวันตก (ขาเข้า) สาขาคลองหลวง กม.6 สาขาแยกสันติสุข สมุทรสาคร สาขาพระราม 2 (ขาเข้า) นครปฐม สาขาพุทธมณฑล สาย 4 สาขาพุทธมณฑล สาย 5 พระนครศรีอยุธยา สาขาวังน้อย สาขาบางปะอิน สระบุรี สาขาสระบุรี ระยอง สาขาโรงแยกก๊าซระยอง สาขาตำบลมาบข่า ขอนแก่น สาขาเมืองขอนแก่น เชียงใหม่ สาขาสารภี สงขลา สาขาหาดใหญ่ใน (ขาออก) สถานีอัดประจุไฟฟ้า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) เปิดให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้า PEA VOLTA จำนวน 11 สถานี ดังนี้ สายภาคเหนือ (กรุงเทพฯ – พระนครศรีอยุธยา) จำนวน 2 สถานี สายภาคใต้ (กรุงเทพฯ – หัวหิน) จำนวน 4 สถานี สายภาคตะวันออก (กรุงเทพฯ – พัทยา) จำนวน 3 สถานี สายภาคตะวันตก (กรุงเทพฯ – นครปฐม) จำนวน 1 สถานี สำนักงานใหญ่ กฟภ. จำนวน 1 สถานี และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ยังร่วมกับ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ติดตั้งจุดบริการชาร์จแบตเตอรี่รถไฟฟ้า (EV Charger Station) ให้บริการในสถานีบริการน้ำมันบางจากมากที่สุดในไทย ซึ่งจะเปิดให้บริการบนเส้นทางสายหลัก 56 สาขา ต่อเนื่องทุกระยะ 100 กิโลเมตรรองรับการเดินทางขาเข้า-ออกเมือง เครื่องอัดประจุไฟฟ้าเป็นแบบ Multi-Standard (CHAdeMO (ย่อมาจาก CHArge de Move แปลได้ว่า ชาร์จไฟแล้วขับต่อไป), CCS COMBO2, AC TYPE2) ตามมาตรฐานนานาชาติ รองรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ติดตั้งหัวจ่ายกระแสไฟฟ้าตามมาตรฐานยุโรปและญี่ปุ่น การอัดประจุไฟฟ้าอย่างรวดเร็ว (QUICK CHARGE) ใช้เวลาประมาณ 20 นาที อัตราค่าบริการอัดประจุไฟฟ้าในการใช้เครื่องอัดประจุไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charger) ในช่วง Peak ค่าบริการ 7.5798 บาท/หน่วย ในช่วง Off-Peak ค่าบริการ 4.1972 บาท/หน่วย อัตราค่าบริการอัดประจุไฟฟ้าในการใช้เครื่องอัดประจุไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Charger) ในช่วง Peak ค่าบริการ 7.5798 บาท/หน่วยในช่วง Off-Peak ค่าบริการ 4.1972 บาท/หน่วย ปัจจุบัน PEA VOLTA สามารถเชื่อมโยงกับแอปพลิเคชันผ่านสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานได้ค้นหาตำแหน่งสถานีและนำทางไปยังสถานี ตรวจสอบสถานะสถานีอัดประจุ พร้อมชำระค่าบริการอัดประจุไฟฟ้าผ่านระบบการเติมเงินได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย และรวดเร็ว เพราะเป็นหัวจ่ายแบบชาร์จเร็ว โดย 1 สถานีมี 5 หัวจ่าย ซึ่งผู้ใช้งานสามารถใช้บริการได้ 24 ชั่วโมง สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นฟรีได้ที่ iOS : https://apps.apple.com/th/app/pea-volta/id1503297093?l=th Android : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.pea.peavolta สถานีอัดประจุไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (EGAT) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เริ่มต้นจัดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า ตั้งแต่ปี 2560 และในปี 2564 จึงเริ่มจัดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า “EleX by EGAT” ชาร์จไฟได้รวดเร็ว ปลอดภัย มั่นใจ เพื่อรองรับทุกการเดินทางของผู้ใช้ยานยนต์ทั่วประเทศโดยปัจจุบันติดตั้งไปแล้ว 50 สถานี 25 จังหวัด เช็กสถานีบริการได้ที่นี่ โดย กฟฝ. มีการร่วมมือกันระหว่างบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือผู้ให้บริการปั้มน้ำมัน PT เปิดตัวจุดสถานีชาร์จแห่งแรกชื่อ EleX by EGAT และขยายพื้นที่ครอบคลุมพื้นที่ในประเทศไทย สถานีอัดประจุไฟฟ้า EA Anywhere หรือ บ.พลังงานบริสุทธิ์ EA Anywhere เป็นบริษัทเอกชนที่เข้าร่วมกับบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น คาลเท็กซ์, ซีพี ออลล์, บริดจสโตน เอ.ซี.ที และ โรบินสัน ร่วมกันจัดตั้งสถานีชาร์จทั่วประเทศไทย โดยปัจจุบันมีมากกว่า 400 แห่งทั่วประเทศ สามารถตรวจสอบจุดการให้บริการได้ที่ EA Anywhere
การเลือกที่อยู่อาศัยเป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะในเมืองมีพื้นที่จำกัด และมีประชากรอยู่เป็นจำนวนมาก หากตัดสินใจซื้อไปแล้ว เราเองจะต้องอยู่กับสิ่งที่เราเลือกซื้อนี้ไปตลอด และเนื่องจากที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ที่สำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ที่อยู่อาศัยจึงเป็นสินค้าที่มีความต้องการอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นวันนี้เราจึงมานำเสนอปัจจัยที่ทำให้เราตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในเมืองมาบอกทุกคนกันค่ะ 1.ทำเล ปัจจัยที่คนให้คนเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์เป็นอันดับแรกเลย นั่นก็คือ “ทำเล” โดยคิดเป็นร้อยละ 25.9 ทั้งนี้ทำเลที่ตั้งของโครงการนอกจากจะหมายถึง ใกล้สถานที่ทำงาน โรงเรียน และสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่างๆ แล้ว ยังหมายรวมถึงปัจจัยการเดินทางด้วย ปัจจุบันอสังหาริมทรัพย์มีตัวเลือกมากขึ้น มีโครงการน้อยใหญ่แข่งกันขึ้นเต็มไปหมด ในเมืองมีความหนาแน่นของที่อยู่อาศัยมากขึ้น ส่วนพื้นที่ชานเมืองก็มีการขยายตัวของโครงการอสังหาริมทรัพย์ มีตัวเลือกให้คนตัดสินใจซื้อทั้งบ้านและคอนโดมิเนียมซึ่งส่วนใหญ่มักเกาะกลุ่มกันอยู่ตามแนวรถไฟฟ้าหรือทำเลใกล้สถานที่สำคัญ เดินทางสะดวก การเลือกทำเลที่ดีหรือไม่ดีก็มักจะพ่วงไปกับปัจจัยด้านอื่นๆ เช่น ราคา การเดินทาง โดยส่วนใหญ่มักจะมีการเลือกให้เหมาะหรือตอบโจทย์กับวิถีชีวิต มากกว่าจะเลือกทำเลที่อยู่ในเมืองที่มีราคาสูงมาก ซึ่งการเลือกโดยปัจจัยนี้มักจะอ้างอิงจากทำเลและราคาเป็นหลักด้วย จึงมักจะเห็นโครงการโครงการบ้านหรือคอนโดใหม่ๆ ที่ขึ้นตามแนวรถไฟฟ้า หรือใกล้ทางด่วนเพิ่มมากขึ้น 2.ศักยภาพทำเลในอนาคต ปัจจัยนี้ในอดีตมักเป็นปัจจัยหลักในการเลือกที่อยู่อาศัย ซึ่งคนส่วนใหญ่มักมองว่าปัจจัยนี้เป็นปัจจัยที่คุ้มค่ากับการลงทุน เพราะทำเลที่ตั้งมีโอกาศที่จะสามารถพัฒนาสูง พอทำเลได้รับการพัฒนาสูงก็จะมาพร้อมกับความเจริญ ความสะดวกสบายและมูลค่าทำเลก็มีโอกาสสูงขึ้นด้วย ซึ่งทั้งนี้หากเลือกทำเลที่ตอบโจทย์ความเจริญในอนาคตได้ก็ถือเป็นอัตราผลตอบแทนที่ผู้อยู่อาศัยจะได้รับ หากมองในมุมนักลงทุนก็จะตรงกับข้อความที่ว่า ทำเลที่ดีย่อมทำให้เราเป็นต่อในการทำกำไรมากขึ้น 3.ความปลอดภัยบนพื้นที่ ปัจจัยที่รองลงมานั่นก็คือ ความปลอดภัยของพื้นที่รวมถึงระบบสาธารณูปโภค ต่อให้เป็นปัจจัยที่รองลงมาแต่ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก สภาพแวดล้อมรอบๆ ที่อยู่อาศัยควรมีความปลอดภัย ในหลายพื้นที่หรือทำเลที่มีราคาถูกก็มักจะแลกมาด้วยความไม่ปลอดภัยในการใช้ชีวิต ดังนั้นเราควรต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่าถี่ถ้วน เลือกให้ดี ตัดสินใจให้รอบคอบ อย่าเพียงแต่นึกถึงแต่ราคาที่ถูก ควรให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของตัวเองหรือของครอบครัวเป็นหลักด้วย 4.ราคาที่อยู่อาศัย จากผลการสำรวจปัจจัยราคาที่อยู่อาศัยคิดเป็นร้อยละ 22.5 หลายคนอาจมองว่าราคาเป็นปัจจัยแรกที่เรานึกถึงหากต้องการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย แต่ก็มีอีกหลายคนที่มองว่าการที่เสียเงินเป็นจำนวนมาก ได้ที่พักอาศัยมีราคาสูงก็แลกมาด้วยความคุ้มค่าของเงินที่เสียไป เช่น ความสะดวกสบาย ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของแต่ละคน เหตุนี้จึงทำให้ปัจจัยด้านราคาจึงเป็นปัจจัยที่ถูกลดหลั่นลงมาจากการเลือกทำเลและความปลอดภัย ทั้งนี้ราคาของที่อยู่อาศัยนั้น ผู้ซื้อจำเป็นต้องเลือกในระดับราคาที่สอดคล้องกับความสามารถหรือกำลังซื้อของตน ซึ่งในปัจจุบันราคาที่คนให้ความสนใจมาก จะอยู่ในช่วงราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท 5.การเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ขาดไม่ได้นั่นก็คือปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง ระบบขนส่งสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นระบบขนส่งมวลชน แท็กซี่ วินมอเตอร์ไซค์ ถนนหนทาง ตลอดจนทางด่วน ทางพิเศษต่างๆ เนื่องจากจะต้องดำเนินชีวิตด้วยการออกไปทำงาน หลายๆ คนจึงมักเลือกที่อยู่อาศัยที่ทำให้ตัวเองเดินทางได้สะดวกที่สุด เช่น ซื้อคอนโดติดกับรถไฟฟ้า, ซื้อบ้านที่ไกลออกไปแต่ติดทางด่วน เป็นต้น ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องเลือกที่อยู่ด้วยการอยู่ใกล้กับระบบขนส่งสาธารณะ เพียงแต่ควรเลือกที่อยู่ที่ไม่ได้ไม่ทำให้ตัวเองเดินทางอย่างยากลำบากก็พอ 6.ดีไซน์ที่อยู่อาศัย ปัจจัยนี้ก็เป็นสิ่งที่คนให้ความสำคัญไม่มากก็น้อย ไม่น่าเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่อาศัยเพราะดีไซน์การออกแบบต่างๆ เพราะปัจจุบันการเลือกที่อยู่อาศัยในเมืองการออกแบบดีไซน์ สี พื้นที่ใช้สอยให้คุ้มค่านั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อผู้อาศัยเป็นอย่างมาก เพราะที่อยู่อาศัยอาจะเป็นตัวบ่งบอกภาพลักษณ์ ทัศนะคติ ของผู้อาศัยได้ ถ้าเราเลือกผิดก็ส่งผลเสียก่อทำให้เกิดความรำคาญ เดือดเนื้อร้อนใจ หรืออยู่ไม่สบายได้เพราะฉนั้นดีไซน์จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนเลือกซื้อหรือไม่เลือกซื้อได้เลย 7.พื้นที่ใช้สอยของที่อยู่อาศัย การเลือกที่อยู่อาศัยภายในเมือง พื้นที่ใช้สอยจึงเป็นสิ่งสำศัญเพราะฉนั้นหากจะเลือกซื้อสิ่งที่จำเป็นต้องพิจารณาถึงสิ่งนี้โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคที่กำลังวางแผนอนาคตครอบครัวหรือคิดจะมีลูก จำเป็นอย่างยิ่งที่ควรเลือกที่อยู่อาศัยให้สามารถรองรับการอยู่อาศัยของลูกหลานในอนาคตได้ หรือแม้กระทั่งครอบครัวที่มีสัตว์เลี้ยงการที่มีพื้นที่ใช้สอยให้กับสัตว์เลี้ยงก็ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ถึงแม้ในปัจจุบันหลายครอบครัวจะเลือกทำเลที่สะดวกต่อการใช้ชีวิตมากกว่าพื้นที่ใช้สอย แต่ยังไงก็แล้วแต่พื้นที่ใช้สอยก็ยังสำคัญสำหรับการเลือก 8.ความสามารถทางการเงินในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ความสามารถทางการเงินหลายคนคิดว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญมากอันดับต้นๆ ในการเลือกที่อยู่อาศัย แต่ในปัจจุบันนี้มีช่องทางการเลือกที่อยู่อาศัยมากมายทั้งจากการอ่านโฆษณา การอ่านรีวิว ทำให้สามารถเลือกที่อยู่อาศัยในราคาที่ตรงกับงบประมาณบนทำเลที่ถูกใจได้ง่ายมากขึ้นก่อนจะเข้าไปชมโครงการ ความสามารถทางการเงินจึงเป็นปัจจัยท้ายๆ ที่คนดูกัน เพราะส่วนใหญ่ก็จะมีงบประมาณที่ตั้งไว้ในใจก่อนเลือกบ้านแล้ว หรือ หากไม่สามารถตั้งงบประมาณได้ก่อนตัดสินใจซื้อบ้านก็สามารถเข้ามาดู 9.สิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ สิ่งอำนวยความสะดวกเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้คนตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น เช่น โครงการใกล้สถานที่สำคัญต่างๆที่ถือเป็นศูนย์กลางของชุมชนนั้นๆ เช่น ศูนย์การค้า โรงเรียน อาคารสำนักงานเป็นต้น หรือไม่ว่าจะเป็นส่วนกลางเช่น สระว่ายน้ำ ฟิตเนส co working space ต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันเรามักจะเห็นส่วนกลางของคอนโดมิเนียมหรือกระทั่งคลับเฮ้าส์ในโครงการที่อยู่อาศัยถึงแม้จะมีคนมาใช้บริการค่อนข้างน้อย แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการมีสิ่งอำนวยความสะดวกก็มักทำให้คนตัดสินใจได้ง่ายมากยิ่งขึ้น 10.ใกล้ชิดรถไฟฟ้า เป็นปัจจัยยอดฮิตเลยก็ว่าได้สำหรับผู้ที่กำลังห่ที่พักอาศัยในเมืองกรุงฯ แบบนี้ หลายคนที่ไม่ได้มีรถยนต์ส่วนตัวเป็นของตัวทำให้ปัจจัยนี้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่สำหรับผู้ที่มีรถยนต์ส่วนตัวการอยู่ในคอนโดมิเนียมราคาประมาณ 1-3 ล้านบาทก็ยังถูกมองว่าไม่คุ้มค่าเพราะต้องแลกมากับพื้นที่ใช้สอยที่น้อยมากทำให้หลายคนตัดสินใจไปเลือกที่อยู่อาศัยบริเวณชานเมืองก้มักมีรถยนต์ส่วนตัวใช้ และมักจะเลือกที่อยู่อาศัยให้ใกล้กับทางด่วนหรือบริการขนส่งมวลชนอื่นๆ มากกว่า โดยถึงแม้จะไม่ได้ใกล้ชิดกับรถไฟฟ้าก็ยังมีตัวเลือกในการเดินทางเชื่อมต่อไปสู่รถไฟฟ้าหรือสถานที่สำคัญอื่นๆ ได้ ปัจจัยเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ควรคำนึงถึงหากจะซื้อที่อยู่อาศัยในเมืองกรุงฯ แบบนี้ซึ่งปัจจัยที่กล่าวมานี้จะเป็นตัวช่วยให้กับคนที่กำลังจะตัดสินใจซื้อบ้านสามารถเรียงอันดับความสำคัญและตัดสินใจซื้อได้อย่างถูกใจ ตรงกับราคาและสิ่งที่ผู้ซื้อต้องการมากที่สุด เพราะจะเป็นสิ่งที่เราอยู่ด้วยไปอีกนานแสนนาน
บริการ Drive Thru เป็นอีกบริการหนึ่งในไทยที่ได้รับความนิยมหลายคนเลือกใช้บริการ เพราะทั้งสะดวกและรวดเร็ว แถมยังเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ยิ่งในช่วงสถานการณ์โควิดที่ผ่านมาหลายธุรกิจหันมาปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ด้วยการปรับเปลี่ยนแนวทางในการดำเนินธุรกิจบริการ ให้สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป บริการ Drive Thru คือ บริการที่เพียงแค่คุณขับรถเข้าไปใช้บริการโดยที่ตัวคุณเองไม่จำเป็นต้องลงจากรถ หากเป็นร้านอาหารก็สามารถรับของอร่อยได้เลยทันที ในช่วงสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ที่ผ่านมาทำให้หลากหลายธุรกิจเสริมบริการแบบ Drive Thru ขึ้นมาเพื่อตอบโจทก์ผู้บริโภค วันนี้เราได้รวบรวมธุรกิจที่มีบริการ Drive Thru มาให้ทุกคนทราบกันค่ะ จะมีธุรกิจอะไรบ้างไปดูกันเลยค่ะ DRIVE-THRU Food (บริการด้านอาหาร) KFC Drive Thru แบรนด์ไก่ทอดชื่อดังที่ใครๆ ก็รู้จัก มีสาขาทั่วประเทศไทย มีตัวเลือกให้ตั้งแต่ สามารถนั่งทานที่ร้าน สั่งเดลิเวอรี่ หรือบริการไดร์ทรู ร้านเปิดบริการ : แล้วแต่สาขา โทร : 1150 เว็บไซต์ : https://www.facebook.com/kfcth Burger King Drive Thru สายเบอร์เกอร์ แน่นอนว่าจะต้องไม่พลาดกับร้าน Burger King ร้านเบอร์เกอร์ชื่อดังแสนอร่อย ที่มีสาขามากมาย ซึ่งเบอร์เกอร์คิงก็มีให้บริการ Drive Thru เช่นกัน ร้านเปิดบริการ : แล้วแต่สาขา โทร : 1112 เว็บไซต์ : https://www.facebook.com/BurgerKingThailand McDonald's Drive Thru จะนับว่าเป็นแบรนด์แรกๆ ที่เริ่มต้นทำบริการแบบ Drive Thru เลยก็ว่าได้ ร้านอาหารฟาสฟู๊ดส์ชื่อดังนี้มีบริการมาอย่างยาวนาน สามารถบริการได้รวดเร็ว สะดวก และคุณภาพดีอีกด้วย ร้านเปิดบริการ : แล้วแต่สาขา โทร : 1711 เว็บไซต์ : https://www.facebook.com/McThai Starbucks Drive Thru สายกาแฟ แบรนด์ชั้นนำที่เริ่มขยายการบริการแบบ Drive Thru มากขึ้นเรื่อยๆ เป็นแบรนด์กาแฟอันดับต้นๆ ในตลาด จึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับการบริการ รสชาติ อาหารที่มีคุณภาพดีอย่างแน่นอน ซึ่งตอนนี้มีสาขาทั่วประเทศเกือบ 10 สาขาแล้ว ร้านเปิดบริการ : แล้วแต่สาขา โทร : 0-2339-0996 เว็บไซต์ : https://www.facebook.com/StarbucksThailand Café Amazon Drive Thru ร้านกาแฟชื่อดังที่คุ้นเคย มีอยู่ตามปั๊มน้ำมันแทบทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย ก็หันมาเปิดให้บริการแบบ Drive Thru แล้ว รสชาติดี ราคาเข้าถึงได้ง่าย พอมีบริการ Drive Thru ก็สะดวกสบายสุดๆ ร้านเปิดบริการ : แล้วแต่สาขา โทร : ไม่ระบุ เว็บไซต์ : https://www.facebook.com/cafeamazonofficial DRIVE-THRU Car Wash (บริการด้านล้างรถอัตโนมัติ) ควิกวอช Quick wash ร้านล้างรถอัตโนมัติแบบ Drive Thru ร้านล้างรถอัตโนมัติที่ปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย สร้างความสะดวกสะบายด้วยการล้างรถโดยไม่ต้องลงจากรถ มาด้วยราคาที่ถูกแสนถูกที่เริ่มต้นที่ 89 บาท เท่านั้นเอง สาขา Drive Thru : คลิก ร้านเปิดบริการ : 08.00 – 20.00 น. โทร : 092-246-1255 เว็บไซต์ : https://hubs.la/Q01h440Z0 DRIVE-THRU ATM (บริการด้านธนาคาร) KBank ATM Drive Thru ธนาคารก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ปรับให้มีบริการแบบ Drive Thru ด้วยบริการถอน โอน จ่าย แบบไม่ต้องลงจากรถ เปิดแห่งแรกที่สถานีบริการน้ำมัน PTT Station บรมราชชนนีขาเข้า สามารถทำธุรกรรมได้ตลอด 24 ชั่วโมง ใช้งานง่ายด้วยระบบ Touch Screen ใช้ได้กับรถทุกประเภทที่สูงไม่เกิน 2.4 เมตร มาพร้อมความปลอดภัยขั้นสูงสุดจากกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่โดยรอบ เปิดบริการ : 24 ชั่วโมง เว็บไซต์ : https://www.kasikornbank.com/th/personal DRIVE-THRU HOSPITAL (บริการด้านโรงพยาบาล) บริการด้านโรงพยาบาล เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่จำเป็นต้องรับยารักษาโรคประจำตัวอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 แบบนี้ หลายโรงพยาบาลจึงเปิดบริการรับยาแบบ Drive-Thru ขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการ เพียงแค่ลงทะเบียนเพื่อแสดงความต้องการเข้ารับยาแบบ Drive-Thru กับโรงพยาบาลนั้นๆ เมื่อถึงเวลานัดหมายก็สามารถขับรถไปรับได้เลยโดยไม่ต้องลงรถ DRIVE-THRU POST (บริการด้านไปรษณีย์) ไปรษณีย์ไทย Drive Thru บริการด้านไปรษณีย์ เป็นบริการที่ตองบโจทย์พ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์ที่ต้องส่งพัสดุให้ลูกค้าทุกวัน แต่ไม่อยากออกไปเจอความแออัดของผู้คนข้างนอก โดยทางไปรษณีย์ไทยได้จัดบริการรับส่งพัสดุภายใน 3 นาทีเท่านั้น แบบไม่ต้องลงจากรถยนต์ เปิดบริการ : 07.30 น. ถึง 15.30 น. โทร : 1545 เว็บไซต์ : www.thailandpost.co.th
เป็นปัญหาที่ทำให้หลายๆ คนถึงกับคิดหนักกับหัวข้อนี้ เมื่อเรามีเริ่มมีเงินเก็บ มีรายได้ที่มั่นคง เราควรเลือกซื้ออะไรก่อนกันระหว่าง คอนโด หรือ รถยนต์ กันแน่ที่เราควรซื้อ วันนี้เราจะมาชวนทุกคนลองคิดพิจารณากันว่าเราควรจะซื้อแบบไหนดีกว่ากัน 1. พิจารณาความจำเป็น สิ่งที่ต้องพิจารณาเป็นอันดับแรกเลยนั่นก็คือ ความจำเป็น เราควรพิจารณาว่าสิ่งที่เราต้องการนั้นมีความจำเป็นมากน้อยเพียงใดต่อการดำเนินชีวิต เช่น หากซื้อรถแล้วทำให้เดินทางได้สะดวกมากขึ้นสบายใจขึ้น หรือ ซื้อคอนโดแล้วจะได้มีอสังหาริมทรัพย์เป็นของตัวเอง เป็นต้น ซึ่งความจำเป็นนี้ก็พิจารณาว่าจะไม่กระทบกับการเงินจนทำให้ตัวเองเดือดร้อนอีกด้วย โดยทั่วไปแล้ว มูลค่าบ้านและคอนโดมักมีมูลค่าเพิ่มขึ้น หากคอนโดนั้นมีทำเลที่ดี ก็สามารถขายต่อได้มูลค่าเพิ่มมากขึ้น หรือหากเปล่าเช่าก็ได้เช่นกัน แต่สำหรับผู้ที่มีคอนโดยู่แล้ว แต่อยู่ไกลที่ทำงานมาก ต้องเดินทางหลายต่อ ไม่สะดวกสบาย การซื้อรถยนต์อาจตอบโจทย์ได้มากกว่าการซื้อคอนดี เพราะซื้อแล้วทำให้เดินทางสะดวก สบายเป็นส่วนตัวมากขึ้น 2.คำนวณความสามารถในการผ่อน สิ่งสำคัญที่สำคัญมากๆ อีกหนึ่งสิ่งนั่นก็คือ ความสามารถในการผ่อนชำระของแต่ละคน การซื้อบ้านหรือซื้อรถเป็นสิ่งที่ต้องให้กำลังทรัพย์ในการซื้อสูงมากๆ ทั้งคู่ เพราะฉะนั้นหากจะตัดสินใจซื้อสิ่งใดสิ่งหนึ่งควรพิจารณาเรื่องนี้ให้ละเอียดรอบคอบที่สุด โดยทั่วไปการขอสินเชื่อจากธนาคารหรือสถาบันการเงิน ภาระหนี้ต่อเดือนไม่ควรเกิน 40-60% ของรายได้ ซึ่งสัดส่วนภาระหนี้ที่สามารถมีได้นั้น ขึ้นอยู่กับรายได้ต่อเดือน ยิ่งรายได้สูง ก็สามารถมีสัดส่วนหนี้ต่อเดือนได้สูง ทั้งนี้ แนะนำว่า ภาระผ่อนหนี้ต่อเดือนไม่ควรเกิน 30% ของรายได้ เพราะถ้ามีสัดส่วนหนี้ต่อเดือนที่สูงเกินไป อาจสร้างปัญหาการเงินตามมาในอนาคตได้ ยกตัวอย่าง ตัดสินใจเลือกซื้อบ้านก่อน หากรายได้ต่อเดือนอยู่ที่ 30,000 บาท โดยธนาคารให้มีภาระผ่อนหนี้แต่ละเดือนไม่เกิน 40% เท่ากับว่าสามารถมีภาระผ่อนหนี้ทั้งหมดเท่ากับ 40% x 30,000 = 12,000 บาท โดยหากเลือกระยะเวลาผ่อนประมาณ 20 ปี จะขอวงเงินสินเชื่อจากธนาคารได้ประมาณ 1.3 ล้านบาท แต่หากเลือกซื้อรถก่อน รถราคาประมาณ 6 แสนบาท ผ่อน 5 ปี จะผ่อนประมาณเดือนละ 11,000-12,000 บาท เตรียมเงินดาวน์ ไม่ว่าจะซื้อคอนโด หรือซื้อรถ เมื่อใช้วิธีขอสินเชื่อจากธนาคาร ก็ต้องมีการเตรียมเงินดาวน์ก้อนหนึ่ง โดยทั่วไป การขอสินเชื่อบ้านต้องมีเงินดาวน์ประมาณ 20% ของราคาคอนโด หรือรถต้องมีเงินดาวน์ประมาณ 25% ของราคารถ ดังนั้น ก่อนตัดสินใจเป็นหนี้ก้อนใหญ่ ต้องสำรวจความพร้อมเรื่องเงินดาวน์ก่อน ยกตัวอย่าง ซื้อบ้านราคา 2 ล้านบาท ควรมีเงินดาวน์ประมาณ 4 แสนบาท แต่หากเงินที่ต้องออมต่อเดือนสูงเกินกำลังความสามารถในการออม ก็อาจต้องเลื่อนเป้าหมายการขอสินเชื่อออกไปก่อน เช่น เลื่อนการกู้บ้านจาก 2 ปี เป็น 3 ปี เพื่อให้มีเวลาเก็บออมเงินดาวน์นานขึ้น หรือลดขนาดเป้าหมายลง เช่น ซื้อบ้านหลังเล็กลงมาหน่อยจาก 2 ล้านบาทเหลือ 1.5 ล้านบาท เพื่อให้จำนวนเงินออมต่อเดือนลดลงอยู่ในความสามารถที่ออมได้ พร้อมที่จะยอมรับหนี้ระยะยาวได้แล้วหรือยัง? ต้องยอมรับว่าไม่ว่าจะเป็นหนี้จากการซื้อคอนโดหรือจากการซื้อรถ ล้วนแล้วแต่เป็นหนี้ระยะยาวทั้งสิ้น ดังนั้นจึงต้องตอบคำถามตัวเองให้ได้ว่าพร้อมเป็นหนี้ระยะยาวหรือไม่ หากเป็นคอนโดมีกำลังที่จะจ่ายเงินให้กับทางธนาคารตลอด 20-30 ปีหรือเปล่า ควรพิจารณาตัวเองอย่างรอบคอบ รถยนต์ ข้อดี-ข้อเสีย สำหรับคนที่คิดจะซื้อรถยนต์ ต้องทำความเข้าใจว่า รถยนต์ เป็นสินทรัพย์ที่มีค่าเสื่อมไปตามกาลเวลา เช่น เมื่อคุณถอยรถใหม่ออกจากโชว์รูมก็นับว่ามูลค่าของรถคันนั้นลดลงในทันที และการซื้อรถหากซื้อด้วยเงินสดก็คงจะไม่มีปัญหาเท่าไหร่ แต่หากเป็นการผ่อน คุณจะต้องมีภาระผูกพันกับการผ่อนค่างวดรถยนต์ไปอย่างน้อย 5-6 ปี และในแต่ละวันจะต้องจ่ายค่าน้ำมันรถ แต่ละปีต้องจ่ายค่าบำรุงรักษารถยนต์ และค่าต่อประกันภัยรถยนต์อีกด้วย ข้อดีของการมีรถ ขับไปไหนก็ได้ ทุกที่ทุกเวลา ไม่ต้องเผชิญความวุ่นวายกับผู้คนบนรถสาธารณะในการเดินทาง สะดวกสบายในการเดินทางไปกับเพื่อนและครอบครัว แสดงสัญลักษณ์สถานะทางสังคม เพียงพอสำหรับการลงทุน มีความเป็นส่วน ข้อเสียของการมีรถ มีค่าบำรุงรักษารายเดือน-รายปี ค่าประกัน และเสื่อมสภาพเร็ว 10 ปี รถกลายเป็นซากแต่คอนโดยังมีราคา ยุ่งยากในการหาที่จอด หากที่อยู่อาศัยเดิมมีขนาดเล็ก ไม่มีโรงจอดรถ ต้องเผชิญปัญหารถติดช่วงเวลาเร่งด่วน รถยิ่งใช้นาน ราคายิ่งลดลงตามสภาพการใช้งาน คอนโด สำหรับคนที่คิดจะซื้อคอนโด สำหรับคอนโดนั้นถือเป็นการลงทุนระยะยาวอย่างหนึ่ง หากได้พื้นที่ทำเลที่ดี ก็มีโอกาสที่ที่ดินตรงนั้นมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ราคาซื้อขายก็เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ยิ่งหากเป็นคอนโดที่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าก็ยิ่งมีโอกาสปรับราคาสูงขึ้นมากๆ ไม่เหมือนกับรถยนต์ที่ยิ่งนานวันมูลค่าตัวรถยิ่งเสื่อมลงไปด้วย ข้อดีของการซื้อคอนโด มีราคาที่ดินแพงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป แสดงความสำเร็จด้านสถานะทางการเงิน ลงทุนครั้งเดียวแต่ส่งต่อเป็นมรดกให้กับลูกหลานต่อไปได้ ประหยัดเวลาและเงินในการดูแลรักษาระยะยาว คอนโดสมัยนี้อยู่ใกล้รถไฟฟ้า สะดวกสบายในการเดินทาง เป็นได้ทั้งที่อยู่อาศัยหรือปล่อยเช่า ข้อเสียของการซื้อคอนโด ค่าใช้จ่ายรายเดือนที่อาจจะเพิ่มขึ้นตามอัตราดอกเบี้ย จำกัดเงินที่จะผ่อนสิ่งของชิ้นใหญ่ให้กับตัวเอง เช่น รถยนต์ อาจมีข้อจำกัดเรื่องกฎการอยู่อาศัยร่วมกับผู้อื่นมากกว่าการอยู่บ้าน เช่นการเลี้ยงสัตว์ ไม่ว่าจะเลือกซื้อสิ่งใดก่อน สิ่งที่สำคัญที่สุดเลยนั่นก็คือความจำเป็น ความพร้อมและความละเอียดรอบคอบในการตัดสินใจซื้อ เพื่อที่จะไม่ให้เกิดปัญหาการเงินตามมาในอนาคต แต่หากคำนวณดูดีๆ แล้วคิดว่าคุ้มค่าก็ซื้อได้เลยค่ะ
มาทำความรู้จักกับแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าชื่อดังอย่าง TESLA (เทสล่า) ให้มากขึ้นด้วยผ่านโมเดลรถยนต์ที่เทสล่ามีทั้งหมด 4 โมเดล พร้อมบอกสเปกและราคาจำหน่ายเริ่มต้น TESLA (เทสล่า) คือบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% (Electric Vehicle) ที่นำเสนอจุดเด่นในเรื่องเทคโนโลยีที่ทันสมัยเช่น Autopilot (ระบบขับขี่อัตโนมัติ) และการสั่งการผ่าน Smartphone เป็นต้น นอกจากนี้ TESLA ยังถือว่าเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสะอาดเป็นมิตรกับโลก ด้วยการที่ไม่มีการปล่อยมลพิษขึ้นสู่อากาศเลย เนื่องจากไม่มีการใช้เครื่องยนต์น้ำมันเป็นส่วนประกอบแต่ใช้เป็นแบตเตอรี่ไฟฟ้าลิเทียมไอออนแทน TESLA ทุก MODEL ถูกออกแบบให้มีความมินิมอล รูปโฉมเรียบง่าย สะอาดตา ไม่หลุดภาพลักษณ์รถยนต์รักสิ่งแวดล้อมอีกด้วย และด้วยการที่ Tesla (เทสล่า) มีแนวคิดที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญจึงได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพื่อผลักดันรถยนต์ไฟฟ้าออกมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคในอนาคตจะเห็นได้จากปัจจุบันราคาน้ำมันมีราคาสูงขึ้น จนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้รับมาสนใจเป็นอย่างมาก บวกกับเทสล่ามีเทคโนโลยีที่โดดเด่น ดีไซน์แตกต่าง และวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ทำในที่สุดก็ให้เทสล่าขึ้นแท่นมาเป็นผู้นำการผลิตในตลาดรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุด เรามาทำความรู้จัก 4 MODELS ของแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าชื่อดังนี้กันดีกว่าค่ะ ว่าจะมีสมรรถนะเป็นอย่างไรบ้าง TESLA MODEL S TESLA MODEL S เป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Sedan ถูกเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2012 โมเดลนี้ถูกพัฒนามาเป็นระยะเวลาเกือบ 10 ปีเพื่อพัฒนาสมรรถนะของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ให้ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปัจจุบันมี TESLA MODEL S ทั้งหมด 2 รุ่นด้วยกันคือ Model S Dual Motor AWD ราคาโดยประมาณ 3,405,000 บาท (99,990 USD) อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม.: 3.1 วินาที ขุมพลัง 670 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 3.1 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 249 กม. /ชม. ระยะทางขับขี่: 603 - 651 กิโลเมตร (375 - 405 ไมล์) Model S Plaid Tri Motor AWD ราคาโดยประมาณ 4,635,000 บาท (135,990 USD) อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม.: 1.99 วินาที ระยะทางขับขี่: 560 - 637 กิโลเมตร (348 - 396 ไมล์) ซึ่งรุ่น Plaid นี้ถูกอัพเกรดใหม่ให้สามารถใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว ส่งพลังสูงสุดถึง 1,020 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม. /ชม. ต่ำกว่า 2 วินาทีเลยทีเดียว อีกทั้งยังทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 320 กม. /ชม. TESLA MODEL 3 TESLA MODEL 3 เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับกระแสความนิยมมากที่สุด กับการเปิดตัวด้วยการมียอดจองสูงที่สุดในโลกด้วยตัวเลขมากกว่า 325,000 คัน ภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์หลังการเปิดตัว และมียอดจองทะลุ 500,000 คันภายใน 3 เดือนเท่านั้น เพราะด้วยตัวโมเดลมีขนาดที่กระทัดรัด ชาร์จได้รวดเร็ววิ่งได้ไกลและมีราคาที่สามารถจับต้องได้ด้วยราคาเริ่มต้นประมาณ 1 ล้านบาท ส่วนในเรื่องของสมรรถนะก็ทำออกมาได้โดดเด่นไม่แพ้ใครด้วยเครื่องยนต์มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ที่ทำงานแบบอิสระ โดย MODEL 3 นี้มีให้เลือกถึง 3 รุ่นด้วยกัน รุ่น Model 3 Standard (Rear Wheel Drive) ราคาโดยประมาณ 1,601,000 บาท (46,990 USD) ขุมพลัง 283 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 5.3 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 225 กม. /ชม. เมื่อชาร์จไฟเต็มสามารถวิ่งได้ 430 กม. รุ่น Model 3 Long Range (All-Wheel Drive) ราคาโดยประมาณ 1,908,000 บาท (55,990 USD) ขุมพลัง 346 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 4.2 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 233 กม. /ชม. ขับเคลื่อนแบบ All-Wheel Drive เมื่อชาร์จไฟเต็มสามารถวิ่งได้ 580 กม. รุ่น Model 3 Performance (All-Wheel Drive) ราคาโดยประมาณ 2,147,000 บาท (62,990 USD) ขุมพลัง 450 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 3.3 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 261 กม. /ชม. มอเตอร์คู่ ระบบขับเคลื่อนแบบ All-Wheel Driveเมื่อชาร์จไฟเต็มสามารถวิ่งได้ 567 กม. TESLA MODEL X TESLA MODEL X เป็นรถยนต์ไฟฟ้า Crossover ขนาดกลาง (Mid-size) ที่ถูกพูดถึงในส่วนของประตูมากที่สุดเพราะ ประตูของโมเดลรถรุ่นนี้มาในรูปแบบ Falcon Wing (ลักษณะปีกนก) ที่เวลาเปิดประตูจะถูกยกขึ้นเหมือนปีกนก มาพร้อมรูปทรงที่ดูบึกบึน ทรงพลัง ซี่ง TESLA MODEL X ถูกแบ่งออกเป็นอีก 2 รุ่นย่อย รุ่น Tesla Model X Plaid (Tri Motor) ราคาโดยประมาณ 4,740,000 บาท (138,990 USD) มีกำลังถึง 1,020 แรงม้า สามารถเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 2.5 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 262 กม. /ชม. รุ่น Tesla Model X (Dual Motor) ราคาโดยประมาณ 2,640,000 บาท (114,900 USD) มีกำลัง 670 แรงม้า สามารถเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 3.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 249 กม. /ชม. TESLA MODEL Y TESLA MODEL Y รถยนต์ไฟฟ้า Compact Crossover SUV ที่ถูกพัฒนาแพลตฟอร์มมาจาก TESLA MODEL 3 ซึ่งมีชิ้นส่วนคล้ายคลึงกันถึง 75 % มีขนาดที่กะทัดรัด มีที่นั่งให้เลือกตามใจชอบอีกด้วย ทั้งแบบ 5 ที่นั่งและ 7 ที่นั่ง TESLA MODEL Y แบ่งออกเป็น 2 รุ่นย่อยคือ รุ่น Performance ราคาโดยประมาณ 2,320,000 บาท (67,990 USD) สามารถทำความเร็ว 0 – 100 กม./ชม. ที่ 3.5 วินาที ระบบขับเคลื่อนแบบ All-Wheel Drive ทำความเร็วสูงสุด 241 กม./ชม. รุ่น Long Range ราคาโดยประมาณ 2,150,000 บาท (62,990 USD) สามารถทำความเร็ว 0 – 100 กม./ชม. ที่ 5.3 วินาที ระบบขับเคลื่อนแบบ All-Wheel Drive ทำความเร็วสูงสุด 217 กม./ชม. เทสล่ามีความสามารถในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกมาให้ตอบโจทย์และหลากหลาย ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกในการตัดสินใจมากขึ้นซึ่งก็จะแตกต่างกันในด้าน ดีไซน์สมรรถนะ รวมทั้งราคา เหตุนี้จึงทำให้ TESLA ถูกเป็นที่พูดถึงและเป็นที่ต้องการของผู้คนมากมาย
รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle, EV) ได้รับกระแสความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องด้วยปัญหาราคาค่าน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นบวกกับผู้คนก็หันกลับมาใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพราะเนื่องจากที่ผ่านมาได้มีปัญหาโลกร้อน มลพิษทางอากาศ PM2.5 จึงทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นรถยนต์ที่ไม่เป็นพิษกับสิ่งแวดล้อมได้รับกระแสความนิยมเพิ่มสูงขึ้นมา หากใครที่กำลังตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ เรามาลองทำความรู้จักกับประเภทรถยนต์ไฟฟ้าและข้อดีข้อเสีย ให้มากขึ้นกันดีกว่าค่ะ รถยนต์ไฟฟ้ามีด้วยกันทั้งหมด 4 ประเภทคือ รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด | Hybrid Electric Vehicle (HEV) การทำงานของรถยนต์ในรูปแบบนี้คือจะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์สันดาป และพลังงานไฟฟ้าที่ได้จากแบตเตอรี่ โดยระบบของรถยนต์จะทำงานสลับการใช้งานกันระหว่างเครื่องยนต์และแยตเตอรี่อัตโนมัติ หรือ บางครั้งพลังงานอาจจะมาจากทั้งสองแหล่งเลยก็ได้ เพราะจะได้เป็นการเสริมอัตราการเร่งของรถยนต์ การทำงานของตัวแบตเตอรี่ของรถยนต์ หลักๆ ระบบจะดึงพลังงานมาใช้ในช่วงที่รถออกตัวในระยะทาง 2-3 กิโลเมตรแรก หลังจากนั้นจึงจะสลับกลับมาใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อน และเมื่ออยู่ในช่วงระหว่างรถติดหรือหยุดนิ่ง หากมีแบตเตอรี่มากพอระบบจะดึงพลังงานไฟฟ้ามาใช้งานกับอุปกรณ์ต่างๆ ภายในตัวรถ เช่น ไฟหน้า แอร์รถยนต์ เครื่องเสียง โดยให้เครื่องยนต์หยุดทำงานชั่วขณะ เพื่อลดการใช้น้ำมันและลดการปล่อยควันพิษเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊ก-อิน ไฮบริด | Plug-in Hybrid (PHEV) รถยนต์ไฟฟ้าประเภทปลั๊ก-อิน ไฮบริดนี้ จะมีระบบการทำงานที่มีความคล้ายคลึงกับรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด คือ มีการผสมผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์และแบตเตอรี่ เพียงแต่ว่าสามารถเสียบชาร์จไฟแบตเตอรี่ได้เองจากที่บ้านหรือสถานีชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า โดยใช้เวลาในการชาร์จประมาณ 4-5 ชั่วโมง ซึ่งเมื่อแบตเตอรี่เต็ม 100% แล้วนั้นจะสามารถขับได้ไกลถึง 20-50 กิโลเมตรโดยประมาณ และไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมันเลย หากแบตเตอรี่หมดลงระบบจะสลับกลับมาใช้พลังงานจากเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนปกติดังเดิม รถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบตเตอรี่ | Battery Electric Vehicle (BEV) รถยนต์ไฟฟ้าประเภทนี้เป็นประเภทที่ใช้มอเตอร์ในการขับเคลื่อนแบบ 100% โดยที่ไม่มีเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้ระบบน้ำมันเชื้อเพลิงใดๆ จึงมั่นใจได้ว่ารถยนตืไฟฟ้าประเภทนี้จะเป็นมิตรกับธรรมชาติอย่างแน่นอน เพราะไม่มีการปล่อยไอเสียจากตัวรถออกมาเลยแม้แต่น้อย สำหรับการชาร์จแบตเตอรี่แต่ละครั้งนั้น ใช้เวลาประมาณ 6 - 8 ชั่วโมง สำหรับการชาร์จปกติ หรือ 2 - 4 ชั่วโมง สำหรับการชาร์จผ่านแทนชาร์จเร็ว หลังจากชาร์จไฟเต็ม 100% แล้ว รถยนต์ไฟฟ้าประเภทนี้จะสามารถวิ่งได้สูงสุดประมาณ 300 กิโลเมตรเลยทีเดียว สำหรับใครที่ชอบเที่ยวต่างจังหวัดหรือชอบเดินทางแบบระยะทางไกลขึ้นมาหน่อย รถยนต์พลังงานไฟฟ้าประเภทนี้ถือว่าตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สุด ๆ รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง | Fuel Cell Electric Vehicle (FCEV) เป็นรถยนต์ไฟฟ้าประเภทนี้ขับเคลื่อนและใช้พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากเซลล์เชื้อเพลิง ซึ่งพลังงานนั้นมาจากพลังงานของก๊าซไฮโดรเจนที่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ ซึ่งจะสร้างพลังงานไฟฟ้าขึ้นมา และเมื่อพลังงานไฟฟ้าถูกชาร์จเข้าแบตเตอรี่มอเตอร์จะดึงพลังงานจากแบตเตอรี่นำไปขับเคลื่อนล้อ ข้อดีของ FCEV คือ สามารถเติมไฮโดรเจน เหมือนกับเราเติมก๊าซNGV และจะใช้เวลาในการเติมไม่นาน แต่มีข้อเสียคือสามารถติดไฟได้ง่ายหากเกิดการรั่วไหลเนื่องจากมีก๊าซไวไฟมาก เมื่อรู้จักกับประเภทรถ Ev กันมากขึ้นแล้ว มาลองดูข้อดีและข้อเสียของมันกันบ้างดีกว่าค่ะ ว่าจะมีอะไรบ้าง ข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้า 1.เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แน่นอนอยู่แล้วว่าหากเป็นรถไฟฟ้าพี่ช้พลังงานไฟฟ้า 100% นั่นแปลว่าเป็นพลังงานสะอาด เพราะรถยนต์จะทำงานด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ ทำให้ไม่มีการปล่อยไอเสียหรือก๊าซเรือนกระจกออกมาและไม่เป็นการสร้างมลพิษ 2.ลดมลพิษทางเสียง เนื่องจากกลไกในการขับเคลื่อนของรถยนต์ไฟฟ้าไม่ต้องใช้การจุดระเบิดเพื่อเผาไหม้ จึงทำให้ไม่มีเสียงดังขณะขับ และการทำงานขอมอเตอร์ไฟฟ้า มีเสียงที่เบากว่าเครื่องยนต์มาก 3.ประสิทธิภาพสูง เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่สู่มอเตอร์เพื่อทำการขับเคลื่อน สามารถทำให้มีอัตราเร่งเป็นไปได้อย่างที่ใจต้องการ เพราะไม่มีขั้นตอนการทดเกียร์อีกต่อไป จึงทำให้รถยนต์สามารถตอบสนองในการขับขี่ได้ตามความต้องการของผู้ขับ 4.ประหยัดค่าใช้จ่าย เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าไม่มีเรื่องยนต์ จึงไม่ต้องใช้เชื้อเพลิงในการเผาไหม้ และรถยนต์พลังงานไฟฟ้ายังมีราคาที่ถูกกว่าหลายเท่าตัว และผันผวนน้อยกว่าราคาน้ำมันส่วนในเรื่องของการบำรุงรักษานั้น ในรถยนต์ไฟฟ้ามีเพียงมอเตอร์ไฟฟ้าเท่านั้นที่เป็นส่วนกำลังทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ ไม่มีของเหลวหรือกรองของเหลวที่ต้องบำรุงรักษาตามวาระ 5.สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้จากที่บ้าน รถยนต์ไฟฟ้านั้น สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้จากที่บ้าน ซึ่งสามารถชาร์จได้ระหว่างที่นอนหลับ เมื่อถึงยามเช้ารถยนต์ไฟฟ้าก็จะอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน จึงทำให้ไม่ต้องกังวลในเรื่องการเสียเวลาที่สถานีบริการน้ำมันอีกต่อไป ข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้า 1.ยังมีศูนย์ให้บริการชาร์จไฟน้อย แน่นอนว่ามีข้อดีเรื่องประหยัดน้ำมัน ก็ย่อมมีข้อเสียเพราะจุดที่ให้บริการชาร์จไฟเข้าสู่ตัวรถยนต์จะต้องมีเพียงพอและเทียบเท่ากับปริมาณของปั๊มน้ำมันทั่วประเทศ พร้อมไปด้วยระบบการจ่ายไฟต้องมีความปลอดภัยสูง ผู้ที่ใช้รถก็ต้องศึกษาวิธีการชาร์จให้ดี ไม่เช่นนั้นอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ 2.ราคาสูง ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้ายังคงมีราคาที่สูงอยู่ เนื่องจากกระบวนนการผลิตจนถึงการวางจำหน่ายจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีที่มีราคาแพง ทำให้มูลค่าตัวรถมีราคาแพงไปด้วย แต่หากในอนาคตมีนวัตกรรมการผลิตที่ดีและผลิตได้มากขึ้น รถยนต์ไฟฟ้าก็อาจจะมีราคาถูกลง 3.ระยะการขับ เนื่องจากระยะการขับของรถยนต์ไฟฟ้ามักขึ้นอยู่กับขนาดความจุของแบตเตอรี่ ซึ่งอาจจะต้องทำให้ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าวางแผนการชาร์จระหว่างทาง และวางแผนการเดินทางสำหรับขับขี่ระยะไกล การบำรุงรักษา รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยยังถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่มาก อาจจะต้องใช้เวลาเพื่อให้บุคลากรทางสายยานยนต์เรียนรู้เรื่องการบำรุงรักษาระบบต่าง ๆ 5.การจำกัดขยะจากแบตเตอรรี่ เนื่องจากแบตเตอรรี่มีอายุการใช้งานที่จำกัดการเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่เป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย แต่การกำจัดแบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพไปแล้วนั้น ในปัจจุบันยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจนในการกำจัดแบตเตอรี่ที่เป็นขยะเหล่านี้ ซึ่งเป็นความท้าทายที่จะต้องมีการดำเนินการต่อไป ปัจจุบันผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้มีการแก้ไขพัฒนาแบตเตอรี่ให้มีประสิทธิภาพวิ่งได้ระยะทางที่ไกลมากขึ้น และทางภาครัฐและเอกชนเองก็ให้ความร่วมมือในการสร้างอัดประจุให้คลอบคลุมมพื้นที่ในประเทศเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย คลิก!! โหลด App Carmunity เพื่อสะสมคะแนน 👇🏻
การดูแลรถยนต์หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องยาก เราจึงนำ 8 เคล็ดลับ คนใช้รถต้องรู้ ซึ่งขั้นตอนการดูแลสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงด้วยตัวเองได้เลย อาจเป็นเรื่องที่ที่ทุกคนรู้อยู่แล้วหรืออาจจะเป็นเรื่องที่ทุกคนยังไม่รู้ก็ได้นะ เราลองมาอ่านตามกันได้เลยค่ะ 1.ขับขี่อย่างนุ่มนวล การขับรถอย่างนุ่มนวลเพื่อรักษาสุขภาพตัวรถ ยกตัวอย่างเช่น การออกตัวแบบไม่กระชาก การเว้นระยะเบรก การชะลอความเร็วเพื่อเข้าโค้งหรือการเลี้ยวไปยังอีกเส้นทาง นอกจากจะช่วยให้ตัวรถยนต์ของคุณสมบูรณ์อยู่ยาวนาน ยังเป็นการช่วยลดความเสี่ยงอุบัติเหตุที่เกิดจากความประมาทได้อีกด้วย 2.ล้างรถสัปดาห์ละครั้ง การล้างรถถือเป็นวิธีการดูแลรถยนต์อย่างง่ายที่สุด โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการล้างรถที่เหมาะสมคือ 1 ครั้ง/สัปดาห์ การล้างรถจะช่วยชะล้างสิ่งสกปรกที่มีฤทธิ์กัดกร่อนให้หลุดออกผิวรถ เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดคราบสกปรกฝังแน่นเพราะหากปล่อยไว้นานอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ เช่น รถผุ เกิดสนิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาฤดูฝนที่มักมีโคลน ดิน ติดตามตัวถังรถได้บ่อย จึงต้องการล้างทำความสะอาดทุกครั้งที่ตรวจเจอ ดีกว่าปล่อยเป็นปัญหาที่ใหญ่มากขึ้นไปอีกได้ ในขั้นตอนสุดท้ายของการล้างรถภายนอกควรลงแว็กซ์ให้คราบเหล่านี้เกาะตัวฝังแน่นติดกับตัวรถกลายเป็นปัญหาภาวะสีด่าง สีของรถไม่เท่ากัน กลายเป็นปัญหาที่ใหญ่มากขึ้นไปอีกเพราะฉนั้นเราจึงต้องล้างรถบ่อยๆ เพื่อเป็นการป้องกันรถของคุณจากคราบความสกปรก เมื่อล้างรถเสร็จแล้วสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ การแว็กซ์ (Wax) เพราะการแว็กซ์เป็นอีกขั้นตอนสำคัญในการดูแลรถ จะช่วยเพิ่มความเงางาม และเป็นการรักษาสีของรถยนต์ให้ดูใหม่อยู่ตลอดเวลา นอกจากทำความสะอาดภายนอกแล้วก็ควรทำความสะอาดภายในตัวรถด้วย ไม่ว่าจะเป็น การดูดฝุ่นภายในรถ การซักเบาะ ซักพรมปูพื้น ก็เป็นอีกสิ่งที่ควรทำคราวเพื่อไม่ให้เกิดสิ่งหมักหมมและเป็นอันตรายต่อทางเดินหายใจ 3.เช็กและดูแลยางรถยนต์ เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ใครหลายคนละเลยสำหรับการเช็กลมยาง ขั้นตอนการเช็กลมยางควรต้องตรวจสอบแรงดันลมยางอย่างสม่ำเสมอ เพราะยางรถยนต์ มีหน้าที่ในการรับน้ำหนักของตัวรถทั้งคัน หากขาดการตรวจเช็กอย่างสม่ำเสมออาจทำให้เกิดปัญหาด้านการขับขี่จนเกิดอันตรายได้ แต่หากมีการตรวจเช็กลมยางตามคู่มืออยู่เสมอ นอกจากจะปลอดภัยในการขับขี่แล้วยังเป็นการประหยัดน้ำมันได้อีกด้วย โดยเราจะต้องตรวจสอบแรงดันลมยางอย่างสม่ำเสมอโดยเติมลมยางตามคู่มือรถอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง และอีกหนึ่งสิ่งที่ควรทำ นั่นก็คือการเปลี่ยนยางตามสภาพของยางรถยนต์ ยางรถยนต์จะมีระยะการใช้งานที่เหมาะสม ขอแนะนำให้คุณเปลี่ยนยางที่มีอายุการใช้งานยางรถยนต์มากกว่า 10 ปีขึ้นไป ถึงแม้ว่ายางเหล่านั้นจะยังดูสามารถใช้ได้ดีก็ตาม แต่เมื่อยางเหล่านี้เกิดความแข็ง และมีการเปราะ รวมถึงรอยแตกเล็ก ๆ ที่แทบมองไม่เห็นที่อาจเกิดขึ้นบริเวณดอกยางและแก้มยาง ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนลดลงเป็นอย่างมาก หากเปลี่ยนแล้วจะเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรก การยึดเกาะถนนรวมถึงเสียงที่ดังขึ้นในระหว่างการขับขี่ 4.เปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อครบกำหนด การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเป็นสิ่งที่เราได้ยินกันบ่อยๆ แล้วทำไมถึงต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเมื่อครบระยะเวลากำหนดด้วยหล่ะ เป็นเพราะน้ำมันเครื่องเปรียบได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของรถยนต์เลยก็ว่าได้ ทำหน้าที่หล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆ ของเรื่องยนต์ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยระบายความร้อนให้เครื่องยนต์ ปกป้องชิ้นส่วนภายในของเครื่องยนต์และเป็นการชำระสิ่งสกปรกออกอีกด้วย การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องควรที่จะเปลี่ยนทุก ๆ 8,000 กิโลเมตร ไม่เกิน 10,000 กิโลเมตรหรือทำการเปลี่ยนทุกๆ 4 เดือน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แต่ละรูปแบบ 5. เช็กหัวเทียนเป็นประจำ หัวเทียน เป็นชิ้นส่วนที่สำคัญสำหับเครื่องยนต์ เป็นอุปกรณ์สร้างประกายไฟ เช่นเมื่อเราสตาร์ทเครื่องยนต์ ตัวคอยล์จะทำหน้าที่จุดระเบิดส่งกระแสไฟไปยังหัวเทียน ทำงานร่วมกับน้ำมันและอากาศ ทำให้เกิดการระเบิดและเผาไหม้ เพื่อดันลูกสูบให้เคลื่อนที่ขึ้น-ลง สร้างกำลังในการขับเคลื่อนตัวรถอีกด้วย แล้วทำไมเราถึงต้องเปลี่ยนหัวเทียนเป็นประจำหล่ะ ? เพราะเมื่อหัวเทียนถูกใช้งานไปได้ระยะหนึ่ง จะเกิดการสึกกร่อน หากใช้เป็นเวลานานไม่มีการตรวจเช็กหรือเปลี่ยน จะทำให้เครื่องยนต์ไม่มีกำลัง กินน้ำมันมากขึ้น เนื่องจากหัวเทียนจุดประกายไฟ และจุดระเบิดเริ่มไม่สม่ำเสมอ โดยค่ายรถยนต์หลายๆ ค่ายแนะนำให้มีการเปลี่ยนหัวเทียนทุก 50,000 กม. 6.ตรวจสอบแบตเตอรี่ ควรตรวจสอบและทำความสะอาดแบตเตอรี่รถยนต์ของคุณอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการยืดอายุการใช้งาน วิธีทำความสะอาดง่ายๆ เช่น ทำความสะอาดที่ขั้วแบตเตอรี่ด้วยการเทน้ำร้อนราดที่ขั้ว และตรวจสอบเช็กระดับน้ำกลั่นให้อยู่ในตำแหน่ง UPPER/LEVEL ควรเติมให้พอดี ห้ามเติมเกินระดับนี้ และไม่ควรเติมน้ำดื่มหรือน้ำประปาหรือของเหลวชนิดอื่นๆ นอกจากน้ำกลั่นเด็ดขาด เพราะเป็นการทำให้แบตเตอรี่เสื่อมไวยิ่งขึ้น ซึ่งแบตเตอรี่รถส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งานประมาณ 4 ถึง 5 ปี หากอยู่ในภูมิอากาศเขตร้อนอาจจะอยู่ได้แค่ประมาณ 3 ปีเท่านั้น ถ้าชาร์จแบตเตอรี่แล้วพบว่าประจุไหลออกทั้งที่ไม่ได้ใช้รถ แสดงว่าได้เวลาต้องเปลี่ยนแบตแล้วล่ะ 7.ตรวจสอบระบบเบรกและน้ำมันเบรก ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เปลี่ยนน้ำมันเบรกในทุกๆ 6 เดือน เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่รถยนต์ ควรตรวจเช็กระดับน้ำมันเบรกให้อยู่ระหว่าง MAX และ MIN โดยน้ำมันเบรกคุณภาพดีจะต้องมีลักษณะสีเหลืองใส ไม่ควรเป็นสีคล้ำหรือสีดำที่เสื่อมสภาพจากความชื้นหรือน้ำปนลงไป และควรตรวจเช็กระบบเบรกว่ามีรอยสึกเสมอกันทั่วทั้งวงหรือไม่ หากจากบางแล้วควรเปลี่ยนลูกยางเบรกใหม่ และตรวจเช็กผ้าเบรกโดยการดูแนวร่องกลางผ้าเบรกถ้าร่องเริ่มมีการตื้นแล้วควรเปลี่ยนใหม่ทันที 8.สังเกตไฟเตือนที่หน้าปัด หน้าปัดรถยนต์เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่หลายคนมองข้าม คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยสนใจอะไรนอกจากนาฬิกาหรือไม่ก็ระดับน้ำมันเชื้อเพลิง เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรหรือจะแก้ไขยังไง แต่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะมันจะบ่งบอกความผิดปกติของรถยนต์ หากมีสัญญาณเตือนขึ้นมาควรรีบนำรถเข้าไปตรวจเช็กทันทีก่อนที่จะสายเกินไป เป็นอย่างไรกันบ้างคะ การวิธีการดูแลรถง่ายๆ ที่คุณควรรู้ ที่เราได้รวบรวมมาให้อ่านเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถทำได้ และเป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำด้วยค่ะ เพื่อสุขภาพรถยนต์และความปลอดภัยในการใช้รถของทุกคน ควรเช็กให้ครบทุกข้ออย่าสม่ำเสมอกันนะคะ อ่านบทความเกี่ยวกับการดูแลรถเพิ่มเติมได้ที่นี่