E-mail : Quickwashthailand@gmail.com Tel : 092-281-2771

5 ระดับมาตรฐาน การขับเคลื่อนอัตโนมัติ ของรถแห่งอนาคต

หากพูดถึงความสามารถในการขับเคลื่อนของรถยนต์อัตโนมัติ หรือ ยานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous vehicle) อาจเกิดข้อถกเถียงว่ารถยนต์แบรนด์ไหนจะสามารถขับเคลื่อนอัตโนมัติ 100% เราจึงมาสรุปให้หายสงสัยว่าความจริงแล้วระดับความสามารถในการขับเคลื่อนแบ่งเป็นกี่ระดับกันแน่ แล้วแต่ระดับนั้นต่างกันอย่างไร มาดูกัน

 

ระดับของการขับเคลื่อนรถยนต์อัตโนมัติ

Society of Automotive Engineers หรือ SAE International อาจจะเป็นชื่อหน่วยงานคนใช้รถคุ้นตา เพราะเป็นหน่วยงานเดียวกันกับหน่วยงานที่แบ่งเกรดน้ำมันเครื่อง ที่เรามักจะเห็นโลโก้กันเป็นประจำอยู่ด้านข้างกระป๋อง โดยหน่วยงานนี้ยังเข้ามามีบทบาท ทำหน้าที่ในการแบ่งระดับของการทำงานของระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติด้วยเช่นกัน แบ่งเอาไว้ทั้งหมด 6 ระดับ ดังนี้

New call-to-action

SAE Automation Levels 0: No Automation

ระดับ 0 : รถจะไม่มีระบบอัตโนมัติอยู่เลย ผู้ขับขี่ที่เป็นมนุษย์จะทำหน้าที่ในการควบคุมเองทุกอย่าง ทั้งพวงมาลัย, เบรก คันเร่ง สรุปง่ายๆ ว่าระดับนี้คือ ระดับรถยนต์ส่วนใหญ่ที่วางจำหน่ายอยู่ในขณะนี้

 

SAE Automation Levels 1: Driver Assistance (Hands on)

ระดับ 1 : ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติจะเริ่มเข้ามาช่วยเหลือผู้ขับขี่ในบางฟังก์ชั่น เช่น ระบบ Adaptive Cruise Control ที่ควบคุมคันเร่งได้อัตโนมัติ, Lane Keeping ที่ควบคุมพวงมาลัยให้อยู่ในเส้นทางเดินรถโดยอัตโนมัติ เป็นต้น โดยการทำงานของระบบอัตโนมัติจะไม่ทำงานพร้อมกัน อีกทั้งคนขับยังจำเป็นเป็นคนมองเส้นทางอยู่ และพร้อมที่จะกลับเข้าไปควบคุมได้ตลอดเวลา

 

SAE Automation Levels 2: Partial Automation (Hands Off)

แฟรนไชส์ ร้านล้างรถ ควิกวอช

ระดับนี้ จะคล้ายกับ Level 1 เพียงแต่ว่า ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติจะทำงานพร้อมกันตั้งแต่ 2 อย่างขึ้นไป อย่างเช่นระบบ Pilot Assist ของ Volvo ที่เมื่อตั้งระบบ Adaptive Cruise Control ให้ทำงาน ระบบจะทำการปรับระดับความเร็วให้อัตโนมัติ ตามที่เราตั้งค่าเอาไว้ และปรับความเร็วไปตามความเร็วรถข้างหน้าได้ พร้อมกันนี้ ระบบก็จะเข้ามาควบคุมพวงมาลัย และเบรกด้วย ทาง SAE จึงนิยามในระดับนี้ว่า Hands Off หรือปล่อยมือได้ แต่ผู้ขับขี่ก็ยังคงต้องตรวจสอบเส้นทางด้วยสายตาตัวเองอยุ่ตลอดเวลา และพร้อมกลับเข้าไปควบคุมตัวรถเองได้ทุกวินาทีเช่นเดิม

 

SAE Automation Levels 3 : Conditional Driving Automation

ในระดับนี้จะมีความสามารถในการตรวจจับสภาพแวดล้อม และสามารถตัดสินใจได้อย่างเต็มที่และอย่างชาญฉลาดยิ่งขึ้น เพิ่มขีดความสามารถในการใช้งานระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติได้ในพื้นที่ที่มีการจำกัดโซนเอาไว้ เช่น ฟรีเวย์, ไฮเวย์ โดยผู้ขับขี่สามารถละการควบคุมรถไปทำกิจกรรมอย่างอื่นในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการละสายตาจากถนนไปหยิบสิ่งของ หรืออ่านข้อความสั้นๆ ในโทรศัพท์มือถือ ทั้งนี้ผู้ขับขี่ยังคงต้องตื่นตัว เตรียมตัว และพร้อมในการเข้าควบคุมรถเองในสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่ตลอดเวลา อธิบายง่ายๆ คือ สามารถละสายตาได้ชั่วขณะ แต่ไม่สามารถละสายตาจนอ่านหนังสือจบเล่มได้ และเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เงื่อนไขการทำงานในระบบผิดพลาด รถจะมีฟังก์ชั่นขอความช่วยเหลือจากมนุษย์ด้วย โดยรถยนต์จากผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ ยังคงพัฒนาอยู่ในแค่ระดับนี้ แม้กระทั่ง Tesla เองก็ตาม

 

SAE Automation Levels 4 : High Driving Automation

ระดับ 4 เป็นระบบอัตโนมัติระดับสูง ยานพาหนะนั้นจะสามารถบังคับขับเคลื่อนและวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใต้สภาวะที่เกิดขึ้นใน ณ ขณะที่ยานหานะเคลื่อนที่ ไม่ว่าจะเป็นหลบหลีกสิ่งกีดขวาง มีรถเลี้ยวออกมาจากซอย อีกทั้งเตือนถึงความเร็วที่มากจนเกินไปในขณะขับขี่ โดยที่มนุษย์นั้นมีส่วนในการบังคับควบคุมนั้นน้อยมาก ๆ หรือแทบจะไม่ต้องบังคับเลย แต่มนุษย์ยังคงสามารถควบคุมตัวรถได้ หากเกิดสถานการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ในระดับ 4 นี้ ระบบสามารถขับเคลื่อนด้วยตัวเองอย่างสมบูรณ์ แต่ฟังก์ชันนี้มีข้อจำกัดว่าไว้เฉพาะขอบเขตพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่เฉพาะเจาะจงและสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมอื่นๆ อาจต้องเป็นเส้นทางที่ตั้งไว้ หรือ เป็นเส้นทางประจำ ไม่มีการออกนอกเส้นทางเด็ดขาด เช่น ในเมือง หรือ ชนบท ซึ่งทำให้การพัฒนารถยนต์ไร้คนขับระดับ 4 ส่วนใหญ่จะมีจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นรถรับส่งสาธารณะ ที่วิ่งด้วยความเร็วไม่สูงมาก และมีเส้นทางที่ระบุชัดเจน

New call-to-action

SAE Automation Levels 5 : Full Driving Automation (No driver!)

ระดับนี้ไม่ต้องการมนุษย์มาช่วยขับอีกต่อไป เพราะระบบจะทำงาน Dynamic Driving Task เต็มประสิทธิภาพ เป็นระดับสูงสุดที่ SAE ตั้งข้อกำหนดเอาไว้ ตัวระบบไม่ต้องการการควบคุมใดๆ จากผู้ขับเลยในทุกกรณี ผู้ขับเพียงแต่สตาร์ทเครื่องและระบุจุดหมายปลายทางบนเนวิเกเตอร์เท่านั้น หรืออาจใช้อุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง เช่น สมาร์ทโฟน ดังนั้นระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติในคลาสนี้ต้องมีความสามารถในการขับเคลื่อนตัวรถเองในทุกสถานการณ์โดยไม่ละเมิดกฏหมายใดๆ และสามารถตัดสินใจประเมินสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ด้วยตัวเอง ส่วนผู้ขับสามารถทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ตามความต้องการ เป็นรถยนต์ในฝันแห่งโลกอนาคตที่พาคุณไปได้ทุกที่ตามใจต้องการ

 

จากระดับการขับเคลื่อนรถยนต์อัตโนมัติที่กล่าวไป อาจทำให้หลายคนเข้าใจรถยนต์อัตโนมัติ หรือยานยนต์ไร้คนขับมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันยังไม่มีแบรนด์ใดพัฒนาไปได้ถึงจุดระดับ Full Driving Automation แม้แต่ระบบขับเคลื่อนกึ่งเคลื่อนอัตโนมัติจากบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Tesla Model S ที่มีชื่อทางการค้าว่า AutoPilot ก็ยังไม่ถึงขั้นอัตโนมัติ 100% และยังเป็นเพียงรถในระดับ Level 3 เท่านั้น แต่หลังจากนี้เรามารอติดตามกันดีกว่าว่า วงการยานยนต์จะสร้างความเซอร์ไพรส์ หรือบริษัทไหนจะสามารถพัฒนาระบบจนสามารถขับเคลื่อนอัตโนมัติ 100% ได้ก่อนกัน เพื่อไม่ให้พลาดข่าวสารและสาระสำคัญ กดติดตาม (Subscribe) บทความของเราไว้ได้เลย รับรองว่าจะอัพเดทให้ทันทุกเทรนด์ยานยนตแน่นอน

 

New call-to-action

 

Panida Nue

Panida Nue

Content Creator

Related posts

ซ่อมสีด่วน วันเดียวจบ จริงไหม?

รอยสีถลอกเล็กๆ น้อยๆ บริเวณผิวรถที่ไม่รู้ว่าได้มาตอนไหน หรืออาจเกิดจากอุบัติเหตุเล็กๆ...

Continue Reading

Autonomous Vehicle คืออะไร? รถยนต์ไร้คนขับได้จริงหรือ?

Autonomous vehicle อาจจะเป็นคำที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยคุ้นชิน แต่ถ้าในวงการรถและยานยนต์นั้น...

Continue Reading

คอนโด vs รถ ซื้อควรซื้ออะไรดี ?

เป็นปัญหาที่ทำให้หลายๆ คนถึงกับคิดหนักกับหัวข้อนี้ เมื่อเรามีเริ่มมีเงินเก็บ มีรายได้ที่มั่นคง...

Continue Reading