จากการที่ได้เห็นจุดเริ่มต้นของเทสล่า สิ่งที่ช่วยส่งเสริม สนับสนุนเทสล่าให้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักแบบก้าวกระโดดจนขึ้นแท่นเป็นผู้นำการผลิตในตลาดรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุดแซงหน้าบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่ครองแชมป์มาอย่างยาวนานอย่าง Toyota มีสาเหตุมาจากหลากหลายปัจจัยแต่วันนี้เราจะหยิบยกประเด็นเรื่องหลักการคิดของ บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชื่อดังอย่าง เทสล่า (Tesla) มาให้ได้อ่านกันค่ะ
TESLA (เทสล่า) คือ บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานสะอาด 100% (Electric Vehicle) ที่นำเสนอจุดเด่นในเรื่องเทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่าง Autopilot ระบบที่ใช้ AI ขับแทนคน โดยการเชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์และระบบต่างๆ อย่างกล้องผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ออกแบบดีไซน์เรียบง่ายทั้งภายนอกและภายในเน้นไปทางเทคโนโลยีที่สามารถควบคุมได้ผ่านหน้าจอและอีกหนึ่งความโดดเด่นคือกระจกหลังคา Tesla การันตีว่ากระจกแผ่นหลังคามีความแข็งแกร่งทนทานสูงรองรับน้ำหนักของรถทั้งคันได้ ป้องกันกระจกหลังคาแตกกรณีเกิดการพลิกคว่ำ
ด้วยการที่เทสล่าเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่เน้นหนักไปทางเทคโนโลยีโดยมี แบตเตอรี่ ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ และมอเตอร์เป็นหลักจึงทำให้มีโดดเด่นขึ้นแตกต่าง โดยแบตเตอรี่ของ Tesla ได้จดสิทธิบัตรสำหรับแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มีอายุการใช้งานยาวนานกว่า 1 ล้านไมล์หรือเป็นระยะทางกว่าถึง 1.6 ล้านกิโลเมตร ถือแบตเตอรี่เป็นหัวใจสำคัญ ของการก้าวต่อไปเป็นเทคโนโลยีหลักสำคัญต่อไปในอนาคต ในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้านี้ เทสล่ามีจุดเริ่มต้นจากการนำต้นแบบรถสปอร์ตไฟฟ้าแฮนด์เมด tZERO มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างรถยนต์ไฟฟ้าของตัวเองอย่าง Roadster ที่เป็นรถสปอร์ตไฟฟ้าระดับไฮเอนด์คันแรกของเทสล่า ผลิตมาให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงก่อน ด้วยเหตุนี้เทสล่าจึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมากด้วยเรื่องเทคโนโลยีและสมรรถนะสูงระดับ Supercar เมื่อผลิตรุ่นแรกออกมาแล้วประสบความสำเร็จ เทสล่าจึงผลิตรถหรูในโมเดลถัดมานั่นก็คือ Model S และ Model X ต่อมาเทสล่าได้ทำการตลาดด้วยการลดต้นทุนในการผลิต โดยการสร้าง Gigafactory โรงผลิตแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่ 20 GWh มีปริมาณเทียบเท่ากำลังผลิตแบตเตอรี่ทั้งโลกรวมกันเป็นของตัวเองจนทำให้เกิด Tesla Model 3 ในลำดับถัดมาและ Tesla Model 3 ด้วยความที่ต้นทุนการผลิตลดลงและสมรรถนะที่น่าสนใจ เช่น
– อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 3.2 วินาที
– แบตเตอรี่ความจุ 75 กิโลวัตต์ชั่วโมง ทำระยะทางได้ 481 กิโลเมตรต่อการชาร์จ
– ความเร็วสูงสุด 360 กม./ชม.
– ระบบช่วยขับ Autopilot ที่สามารถอัปเกรดเป็นระบบไร้คนขับสมบูรณ์ได้ในอนาคต
จึงทำให้มีราคาให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้มากที่สุด จนขึ้นแท่นรถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) ที่คว้ายอดไปได้ 325,000 คัน หลังจากนั้นเมื่อนับจนถึงเดือนสิงหาคมปี 2017 ยอดจองทั้งสิ้นอยู่ที่ 455,000 คัน หรือมีคนจองวันละ 1,800 คัน เรียกว่าสูงมากชนิดไม่มีใครเทียบได้
และสิ่งที่ช่วยส่งเสริมให้เทสล่าขึ้นมาเป็นผู้นำด้านตลาดรถยนต์อีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือผู้บริหาร อีลอน มัสก์ (Elon Musk) CEO คนปัจจุบันของเทสล่าได้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของเขาว่า Tesla จะเข้ามามีส่วนช่วยแก้ปัญหาวิกฤตพลังงานของโลกด้วยการสร้างยานยนต์คุณภาพสูงสู่ตลาดโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล จากวิสัยทัศน์นี้เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และนวัตกรรมของเทสล่าที่ถูกคิดค้นขึ้นมาให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่มีการปล่อยมลพิษขึ้นสู่อากาศเลย เพราะไม่มีการใช้เครื่องยนต์น้ำมันเป็นส่วนประกอบแต่ใช้เป็นการใช้แบตเตอรี่ไฟฟ้าลิเทียมไอออนแทน นอกจากนี้จากการที่อีลอน มัสก์ ยังมีภาพลักษณ์ผลงานที่ได้สั่งสมมา พร้อมกับเรื่องราวชีวิตส่วนตัวที่มีสีสัน ทำให้อยู่ในความสนใจของสาธารณชนและกระแสข่าวมาโดยตลอด และเขาเองก็มีส่วนช่วยในการดูแลการออกแบบ Roadster และเป็นผู้นำในการออกแบบส่วนประกอบต่าง ๆ ตั้งแต่โมดูลไฟฟ้ากำลังไปจนถึงไฟหน้าจนได้รับรางวัล Global Green 2006 และรางวัล Index Design 2007 จากการออกแบบ Tesla Roadster รถสปอร์ตระดับพรีเมี่ยมที่มุ่งเป้าไปที่ผู้ใช้งานในยุคแรก ๆ จากนั้นจึงเริ่มการผลิตรถยนต์ที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคหลักมากขึ้นรวมถึงรถยนต์ราคาประหยัดอีกด้วย
ด้วยการที่ Tesla (เทสล่า) มีแนวคิดที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญจึงได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพื่อผลักดันรถยนต์ไฟฟ้าออกมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคในอนาคตจะเห็นได้จากปัจจุบันราคาน้ำมันมีราคาสูงขึ้น จนรถยนต์ไฟฟ้า (EV)ได้รับมาสนใจเป็นอย่างมาก บวกกับเทสล่ามีเทคโนโลยีที่โดดเด่น ดีไซน์แตกต่าง และวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ทำในที่สุดก็ให้เทสล่าขึ้นแท่นมาเป็นผู้นำการผลิตในตลาดรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก : katexoxo , thunkhaotoday